ตื่นขึ้นในเช้าวันต่อมา สืออีเหนียงก็เห็นว่าใบหน้าของสวีลิ่งอี๋บึ้งตึง
นางกำลังจะกลับสกุลเดิม จึงตัดสินใจอยู่ให้ห่างจากเขา จะได้ออกไปอย่างปลอดภัย มีเรื่องอะไรกลับมาค่อยว่ากัน
สะใภ้หนานหย่งม้วนผมมวยดอกโบตั๋นเล็กๆ ให้นาง สวมเครื่องประดับทับทิมสีแดง ประดับด้วยไข่มุกหนานจู สวมเสื้อกั๊กยาวถึงเข่าสีม่วง เจินเจี่ยเอ๋อร์ม้วนผมมวยสองจุก สวมเครื่องประดับไข่มุกหนานจูสีเงิน สวมเสื้อผ้าฝ้ายสีขาวข้างใน ข้างนอกสวมเสื้อคลุมสีชมพู พวกนางยืนอยู่ด้วยกัน ราวกับสองพี่น้อง
“ข้าไปลาท่านแม่แล้วก็จะออกไปตรอกกงเสียนเลยนะเจ้าคะ” สืออีเหนียงย่อเข่าคำนับสวีลิ่งอี๋ นางมองหน้าสวีลิ่งอี๋อย่างระมัดระวัง
สวีลิ่งอี๋สีหน้าเย็นชา ยังคงเอนตัวพิงหมอนอ่านหนังสือเหมือนเมื่อวาน
ได้ยินสืออีเหนียงบอกลาตัวเอง เขาก็เงยหน้าขึ้นมองนาง หยิบกล่องสีแดงเล็กๆ ออกมาจากใต้หมอนแล้วยื่นให้นาง “นำไปด้วยเถิด”
เขาไม่ได้บอกว่ามันคืออะไร แล้วก็ไม่ได้บอกว่านำไปให้ใคร…แต่ไม่ว่าเช่นไร มันก็คือน้ำใจของเขา สืออีเหนียงตัดสินใจที่จะประจบประแจงเขาดีๆ รับมันมาด้วยท่าทีปิติยินดี เปิดกล่องออก “มันคือสิ่งใดหรือเจ้าคะ”
ข้างในมีเหรียญเงินแล้วยังมีตั๋วเงินห้าสิบตำลึงกับหนึ่งร้อยตำลึงสิบกว่าใบ
นางตกใจ
สวีลิ่งอี๋ก้มหน้าลงพลิกหนังสือ “ของที่ให้เจ้านำกลับไปสกุลเดินข้าให้พ่อบ้านไป๋จัดการเรียบร้อยแล้ว พวกนี้นำไปมอบเป็นรางวัล อี๋เหนียงมาที่นี่ครั้งแรก แล้วยังมีน้องสะใภ้ที่พึ่งแต่งเข้ามา…” เขาพูดด้วยสีหน้าที่นิ่งเฉย
สืออีเหนียงนึกถึงเมื่อวานที่สวีลิ่งอี๋เรียกพ่อบ้านไป๋มาพบ…คงเพราะเรื่องนี้แน่นอน นึกถึงความไม่พอใจของตัวเองเมื่อวาน นางก็รู้สึกไม่สบายใจขึ้นมา “ท่านโหว…”
สวีลิ่งอี๋ไม่ได้เงยหน้าขึ้น เขาโบกมือบอกให้นางรีบออกเดินทาง
พูดอะไรสักอย่างกับเขาเสียหน่อยดีหรือไม่
สืออีเหนียงครุ่นคิด กลัวว่าตัวเองจะกลับมาดึก เดิมทีตัวเองก็กลับมาคนเดียวอยู่แล้ว หากยิ่งกลับมาดึกดื่น ไม่รู้ว่าคนอื่นจะเอาไปพูดเช่นไร…นางลำบากใจ ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ช่างมันปะไร กลับสกุลเดิมก่อนก็แล้วกัน พอกลับมาค่อยกล่าวขอโทษเขา
นางย่อเข่าคำนับสวีลิ่งอี๋ “ท่านโหว เช่นนั้นข้าออกไปตรอกกงเสียนก่อนนะเจ้าคะ!”
ดูเหมือนว่าสวีลิ่งอี๋ใจจดใจจ่ออยู่แต่กับหนังสือ เขาพยักหน้าอย่างเหม่อลอย
อ่านหนังสืออะไรเหม่อลอยขนาดนี้! ดูเหมือนว่าเมื่อวานก็อ่านเล่มนี้
สืออีเหนียงอดไม่ได้ที่จะยืดคอออกไปมองหน้าปก
มันคือหนังสือ ‘บันทึกจั่วจ้วน[1]’
สนุกขนาดนั้นเชียวหรือ
นางอดไม่ได้ที่จะบ่นในใจ จากนั้นก็ออกไปกับเจินเจี่ยเอ๋อร์
แต่นางไม่ทันสังเกตเห็นรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ที่ปรากฎอยู่ในสายตาของคนที่กำลังอ่านบันทึกจั่วจ้วน
*****
ออกมาจากลาน เจินเจี่ยเอ๋อร์มองสืออีเหนียงด้วยความเป็นห่วง “ท่านแม่กับท่านพ่อ…”
เด็กๆ โตกันแล้ว บรรยากาศในเรือนเปลี่ยนไปพวกนางก็สัมผัสได้ แทนที่จะปกปิด ไม่สู้บอกเจินเจี่ยเอ๋อร์ไปเลยตรงๆ เด็กมักจะมีความคิดที่เป็นผู้ใหญ่มากกว่าผู้ใหญ่เองเสียอีก
“ข้ากับท่านพ่อเจ้าทะเลาะกันนิดหน่อย” สืออีเหนียงยิ้มอย่างเอือมระอา “แล้วข้าก็ยังต้องรีบกลับสกุลเดิม ประเดี๋ยวกลับมาค่อยมาพูดคุยกับท่านพ่อเจ้าดีๆ”
เจินเจี่ยเอ๋อร์พยักหน้า นางนึกถึงสิ่งที่ไท่ฮูหยินพูดเรื่องท่านแม่ใหญ่กับป้าตู้ นางก็พูดด้วยความลังเล “เป็นเพราะเรื่องที่ท่านพ่อลาออกหรือเจ้าคะ” จากนั้นก็พูดอีกว่า “ข้าได้ยินมาว่า การที่ฮ่องเต้ทรงรั้งท่านพ่อเอาไว้ ก็เพราะว่าเขากำลังทดสอบท่านพ่อ ดูว่าท่านพ่อจะลาออกจริงหรือไม่ หากท่านพ่อลาออกจริงๆ ฮ่องเต้ก็จะวางใจ แต่หากท่านพ่อไม่ลาออก เกรงว่าฮ่องเต้คงจะไม่ปล่อยท่านพ่อไป แต่หากท่านพ่อลาออก จวนของเราก็จะไม่มีอำนาจเหมือนตอนนี้…” พูดจบนางก็หยุดเดิน มองไปที่สืออีเหนียงอย่างจริงจัง “ท่านแม่ คำพังเพยกล่าวไว้ว่า ‘ตราบใดที่มีชีวิต ย่อมมีอนาคตและความหวัง’ ท่านพ่อคือหย่งผิงโหว คือนายท่านและเสาหลักของจวนหลังนี้ ตราบใดที่มีท่านพ่ออยู่ เราก็มีโอกาสกลับมามีอำนาจอีกครั้ง ท่านแม่ ท่านอย่าโกรธเคืองท่านพ่อเลยนะเจ้าคะ ถึงแม้ว่าต่อไปสกุลเราจะไม่มีอำนาจ แต่เราก็สามารถอยู่ด้วยกันอย่างสงบสุข เป็นเรื่องที่ดีเจ้าค่ะ”
สืออีเหนียงตกใจ
คิดไม่ถึงว่าเจินเจี่ยเอ๋อร์กำลังเกลี้ยกล่อมนาง
คิดไม่ถึงว่านางอายุแค่นี้ ไม่เพียงแต่มีจิตใจที่บริสุทธิ์ แล้วยังมีความรู้เช่นนี้ นางอดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา “เจินเจี่ยเอ๋อร์ เจ้าพูดถูก ตราบใดที่มีชีวิต ย่อมมีอนาคตและความหวัง ตราบใดที่ท่านพ่อของเจ้าปลอดภัย สกุลของเราก็ไม่มีทางเป็นอะไร”
เจินเจี่ยเอ๋อร์ได้ยินเช่นนี้ก็ลำบากใจ “ข้าคิดมากไปเอง ท่านแม่เป็นคนใจกว้าง อย่าได้ถือสาข้าเลยนะเจ้าคะ”
“เจินเจี่ยเอ๋อร์ของเราช่างฉลาดเสียจริง” สืออีเหนียงเอ่ยชื่นชมนาง จากนั้นก็อธิบายให้นางฟัง “แต่ว่าเราไม่ได้ทะเลาะกันเพราะเรื่องนี้ เราทะเลาะกันเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ในชีวิต อย่างเช่นข้าชอบทานปลา ท่านพ่อของเจ้าชอบทานเนื้อ…ดังนั้นเราจึงต้องปรับตัวเข้าหากัน”
เจินเจี่ยเอ๋อร์พยักหน้าแล้วพูดเบาๆ “วาสนาทำให้เราได้มาเจอกัน ท่านแม่มีวาสนากับพวกเรา ท่านแม่อย่าได้คิดเล็กคิดน้อยเรื่องพวกนี้กับท่านพ่อเลยเจ้าค่ะ”
เห็นเจินเจี่ยเอ๋อร์เป็นเช่นนี้ ไม่ต้องพูดถึงเรื่องนี้ที่ตัวเองเข้าใจผิดสวีลิ่งอี๋ ถึงแม้ว่าเขาจะทำสิ่งอื่นสิ่งใดผิด สืออีเหนียงก็ไม่ควรไปคิดเล็กคิดน้อยกับเขา
“เจินเจี่ยเอ๋อร์พูดถูก” นางยิ้มแล้วจับมือเจินเจี่ยเอ๋อร์ “ในเมื่อเป็นครอบครัวเดียวกัน ก็ควรใจกว้างต่อกัน”
เจินเจี่ยเอ๋อร์ได้ยินเช่นนี้ก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก จากนั้นก็เดินพูดคุยหัวเราะไปที่เรือนของไท่ฮูหยินกับสืออีเหนียง
จุนเกอรู้ว่าเจินเจี่ยเอ๋อร์จะกลับไปสกุลเดิมกับสืออีเหนียง เขาก็อยากไปด้วย
แต่สืออีเหนียงไม่กล้าพาเขาไปด้วย กลัวว่าหากเกิดเรื่องขึ้นแล้วมันจะไม่ดี นางยิ้มแล้วพูดว่า “สตรีอย่างพวกข้าออกไปเยี่ยมญาติ บุรุษอย่างพวกเจ้าก็ต้องอยู่เป็นเพื่อนท่านย่าที่จวน”
จุนเกอมองไปที่สวีซื่อเจี่ยนที่กำลังยิ้มอยู่ข้างๆ แล้วก็มองไปที่เจินเจี่ยเอ๋อร์ จากนั้นก็ก้มหน้าลง
สืออีเหนียงเห็นเช่นนี้ลูบหัวเขาเบาๆ “ประเดี๋ยวปีใหม่ ข้าจะพาเจ้าไปเยี่ยมญาติ”
วันที่สองของปีใหม่ไปหาท่านลุง วันที่สามของปีใหม่ไปหาพ่อตา ถึงตอนนั้นคงต้องพาจุนเกอไปจวนสกุลหลัวด้วย
จุนเกอได้ยินเช่นนี้ก็สายตาเป็นประกาย แต่ก็ไม่ลืมสวีซื่อเจี่ยน เขาจับมือสวีซื่อเจี่ยนแล้วพูดว่า “พาพี่สามไปด้วยนะขอรับ”
“ข้าไม่ใช่สตรี เอาแต่ไปเยี่ยมญาติ” สวีซื่อเจี่ยนทำสีหน้าไม่พอใจ แต่สายตากลับมีความหวัง “ข้าไม่ไป”
สวีซื่อฉินและสวีซื่ออวี้โตแล้ว พวกเขาฟังออกอยู่แล้วว่าสืออีเหนียงหลอกจุนเกอ พวกเขาพากันยิ้มอยู่ข้างๆ สวีซื่อฉินเปิดม่านให้สืออีเหนียงด้วยตัวเอง “อาสะใภ้สี่อย่าได้สนใจพวกเขาเลยขอรับ เด็กน้อยสองคน”
สืออีเหนียงยิ้มแล้วเดินเข้าไปข้างในกับเจินเจี่ยเอ๋อร์
ไท่ฮูหยินกำลังนั่งพูดคุยอยู่บนเตียงเตาข้างหน้าต่าง เห็นสืออีเหนียงและเจินเจี่ยเอ๋อร์เข้ามา นางถามถึงเรื่องของขวัญและท่านป้าที่ติดตามไปด้วย รวมถึงเวลากลับจวนอย่างละเอียด
สืออีเหนียงตอบกลับทีละคำถาม ไท่ฮูหยินกำชับให้ระมัดระวังตัว จากนั้นก็ให้ป้าตู้ส่งพวกนางออกไป
*****
มาถึงจวนสกุลหลัวที่ตรอกกงเสียน คุณนายใหญ่ออกมาต้อนรับที่ประตูฉุยฮวาด้วยตัวเอง
เห็นเจินเจี่ยเอ๋อร์ที่อยู่ข้างหลัง นางตกใจแต่ก็ไม่เสียมารยาท นางยิ้มแล้วเอ่ยทักทายเจินเจี่ยเอ๋อร์ “…ครั้งก่อนได้ยินคุณหนูใหญ่ดีดพิณที่เรือนเสาหวา ช่างไพเราะเหลือเกิน”
เจินเจี่ยเอ๋อร์คำนับคุณนายใหญ่ด้วยความเคารพ “ท่านป้าชมเกินไปแล้วเจ้าค่ะ”
สืออีเหนียงแปลกใจ
ตามหลักแล้ว นายท่านใหญ่พาทุกคนมาที่เยี่ยนจิง ก็ถือว่าครอบครัวอยู่ด้วยกันพร้อมหน้าพร้อมตา แล้วยังเชิญพวกนางมาทานอาหาร มันควรจะคึกคัก สนุกสนาน แต่เหตุใดสาวใช้และท่านป้าพวกนั้นถึงมีสีหน้าตึงเครียดเช่นนี้ รอยยิ้มของคุณนายใหญ่ก็ดูไม่เป็นธรรมชาติ
นางคิดแล้วในใจก็สั่นไหว รีบเข้าไปจับมือคุณนายใหญ่ “พี่สะใภ้ใหญ่ เกิดเรื่องอันใดขึ้นหรือเจ้าคะ”
คุณนายใหญ่เหลือบมองเจินเจี่ยเอ๋อร์แล้วลังเลที่จะพูด
เจินเจี่ยเอ๋อร์เป็นคนมองสีหน้าคนออก แต่นี่คือจวนสกุลหลัว ถึงแม้ว่านางอยากจะหลบออกไปก็ไม่มีที่ให้หลบ นางจึงก้มหน้าลง
สืออีเหนียงไม่ได้อยากจะปิดบังนาง
ใช้งานคนที่ไม่หวาดระแวง หากหวาดระแวงก็ไม่ต้องใช้งาน ในเมื่อสนิทกับเจินเจี่ยเอ๋อร์ ก็ไม่จำเป็นต้องหลบๆ ซ่อนๆ ยิ่งไปกว่านั้น เจินเจี่ยเอ๋อร์เป็นเด็กที่รู้ความและละเอียดรอบคอบ
“พี่สะใภ้ใหญ่มีเรื่องอะไรก็พูดมาเถิดเจ้าค่ะ!” นางเป็นห่วงอี๋เหนียงห้า
คุณนายใหญ่เห็นนางร้อนใจ คิดว่าประเดี๋ยวก็ต้องเจอกัน…นางยิ้มอย่างขมขื่น “อาการของท่านแม่แย่ลงอีกแล้ว”
“เหตุใดถึงเป็นเช่นนั้น” สืออีเหนียงรู้สึกตกใจ “สองสามวันก่อนข้าส่งคนไปถามยังบอกว่าดีขึ้นแล้ว ปีใหม่ก็ลงจากเตียงได้แล้ว เพราะเหตุใดถึงได้แย่ลง”
คุณนายใหญ่กำลังจะพูดบางอย่าง ก็มีรถม้าเคลื่อนข้ามาพอดี มันคือรถม้าของพี่เขยสี่ อวี๋อี๋ชิงและซื่อเหนียง นางยิ้มให้สืออีเหนียงด้วยความรู้สึกผิดแล้วเดินเข้าไปต้อนรับผู้มาใหม่
ทุกคนคำนับทักทายกันแล้ว เพราะว่าเจินเจี่ยเอ๋อร์อยู่ด้วย อวี๋อี๋ชิงจึงรีบไปที่ห้องของหลัวเจิ้นซิ่ง ซื่อเหนียงจับมือเจินเจี่ยเอ๋อร์แล้วเอ่ยชื่นชมนาง จากนั้นพวกนางก็เดินเข้าไปข้างใน
อี๋เหนียงหกพาสือเอ้อร์เหนียงเดินเข้ามาต้อนรับ
สือเอ้อร์เหนียงสูงขึ้นแล้ว ความเป็นเด็กของนางก็ค่อยๆ หายไป มีความเป็นสาวงามเพิ่มขึ้นมาไม่น้อย
“คุณนายสิบเอ็ด” อี๋เหนียงหกทักทายสืออีเหนียงอย่างเป็นมิตร จากนั้นก็บอกกับสือเอ้อร์เหนียง “ยังไม่คารวะพี่หญิงของเจ้าอีก”
สือเอ้อร์เหนียงย่อคำนับสืออีเหนียงด้วยความเขินอาย
สืออีเหนียงนำหยกออกมามอบให้นางเป็นของขวัญ แล้วยังนำเครื่องประดับไข่มุกหนานจูจากไท่ฮูหยินยื่นให้นาง “นี่คือน้ำใจของไท่ฮูหยิน”
“ไอ๊หยา ได้เช่นไรเจ้าคะ” อี๋เหนียงหกพาสือเอ๋อร์เหนียงย่อเข่าคำนับสืออีเหนียง “ทำให้ไท่ฮูหยินสิ้นเปลืองเงินแล้วเจ้าค่ะ”
“น้ำใจเล็กๆ น้อยๆ” สืออีเหนียงตอบกลับอย่างเกรงใจ
อี๋เหนียงหกพาสือเอ้อร์เหนียงไปคำนับซื่อเหนียง
ซื่อเหนียงมอบกำไลแก้วให้สือเอ้อร์เหนียงเป็นของขวัญ
สืออีเหนียงแนะนำเจินเจี่ยเอ๋อร์ให้รู้จักกับสือเอ้อร์เหนียง
คนหนึ่งมีความอ่อนโยนและงดงามตามแบบฉบับสตรีเจียงหนาน ส่วนอีกคนหนึ่งมีความใจกว้างดูเป็นมิตรของสตรีทางเหนือ ยืนอยู่ด้วยกันแล้ว ราวกับดอกเบญจมาศในฤดูใบไม้ร่วงและดอกกล้วยไม้ในฤดูใบไม้ผลิ
แม่นางน้อยสองคนคำนับให้กัน มองเห็นความชื่นชมในสายตาของทั้งสองฝ่าย เมื่ออี๋เหนียงหกรู้ว่าเจินเจี่ยเอ๋อร์คือคุณหนูใหญ่ของจวนหย่งผิงโหว รอยยิ้มของนางก็ดูเป็นมิตรมากกว่าเมื่อครู่ นางมอบกำไลให้เจินเจี่ยเอ๋อร์เป็นของขวัญ
เจินเจี่ยเอ๋อร์เอ่ยขอบคุณด้วยความนอบน้อม
จากนั้นก็พากันเดินเข้าไปในห้องของนายหญิงใหญ่
สืออีเหนียงมองเห็นอี๋เหนียงห้าที่ยืนถือถาดน้ำชาอยู่หน้าเตียงนายหญิงใหญ่
นางมองไปที่อี๋เหนียงห้าด้วยสายตาที่เคารพรัก ถึงแม้ว่าจะไม่ได้เจอกันมาสองปีแล้ว นางไม่เพียงแต่หน้าตาไม่เปลี่ยนไป แต่กลับมีท่าทีที่สงบเสงี่ยม ทำให้นางดูสง่างามและงดงามมากขึ้นกว่าแต่ก่อน
อี๋เหนียงห้าก็มองเห็นบุตรสาวของตัวเองแล้วเช่นกัน
นางแต่งตัวสง่างาม ใบหน้าแดงสดใส สีหน้าของนางไม่ได้ระแวดระวังเหมือนตอนอยู่ที่จวนสกุลหลัว แต่กลับดูสงบและมั่นใจ ราวกับว่าตัวเองแค่กะพริบตา บุตรสาวก็โตเป็นผู้ใหญ่แล้ว
อี๋เหนียงห้าพลันน้ำตาไหลออกมา “สืออีเหนียง…”
“อี๋เหนียง!” สืออีเหนียงก็น้ำตาคลอ
ทันใดนั้นก็มีเสียงแหบแห้งที่ราวกับเสียงอีกาดังขึ้นมาในห้อง
สืออีเหนียงตกใจ
หันหน้ามองไปตามเสียง ก็เห็นนายหญิงใหญ่กำลังพิงตัวอยู่บนหมอนอิงใบใหญ่
นางเบิกตากว้าง มองไปที่นายหญิงใหญ่ด้วยสายตาที่ตกตะลึง
—————————–
[1]บันทึกจั่วจ้วน เป็นบันทึกประวัติศาสตร์จีนของขงจื้อในยุคสมัยชุนชิวจ้านกั๋ว