จู๋เอ๋อร์ครุ่นคิดอยู่เนิ่นนาน ก่อนจะพยักหน้า เอ่ย “คุณชายเว่ยและซิงเฉิงจวิ้นจู่ล้วนเป็นยอดฝีมือในยอดฝีมือ เบื้องล่างยังมีมือสังหารกลุ่มใหญ่ หากทำให้คุณชายเว่ยโกรธ ไม่แน่ว่าคุณชายเว่ยอาจจะสั่งคนสังหารนาง พระชายากงผู้นั้นดูไม่ใช่คนที่จะดูแลตนเองได้”
จูชูอวี้เลิกคิ้ว เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ข้าช่างแปลกใจ กงเสี่ยวเตี๋ยผู้นี้คิดจะทำอันใดกันแน่”
“นางจะเป็นศัตรูกับเราหรือไม่เจ้าคะ” จู๋เอ๋อร์เอ่ย
จูชูอวี้เอ่ย “ตอนนี้ไม่มีความจำเป็นต้องสนใจนาง อย่างไรจวิ้นจู่อย่างข้าก็ถูกเสด็จพ่อโบยเพราะเรื่องนี้ ช่วงนี้แน่นอนว่าต้องรักษาตัว แต่ว่า…หากนางขวางทาง ก็อย่าได้หาว่าเราไร้ความเมตตา”
ดวงตาของจู๋เอ๋อร์ฉายแววงุนงง นางเองก็ไม่เข้าใจว่าคุณหนูคิดอันใด เพียงแต่ความคิดของคุณหนูถูกต้องเสมอ พวกนางเพียงทำตามคำสั่งของคุณหนูก็พอแล้ว
ออกมานอกเรือน ซุนเหยียนเอ๋อร์มองหนานกงมั่วพลางถอนหายใจอย่างอดไม่ได้ หนานกงมั่วหันไปมองนาง เอ่ยถามกลั้วหัวเราะ “ถอนหายใจทำไมหรือ”
ซุนเหยียนเอ๋อร์จนปัญญา “ฟังพวกเจ้าคุยกันทุกครั้ง ข้ารู้สึกว่าตนเองโง่มาก” แต่นางก็ไม่ใช่คนโง่นี่นา
หนานกงมั่วยกมือขึ้นบีบแก้มนางเบาๆ ด้วยรอยยิ้ม “เจ้าไม่ได้โง่ เพียงใสซื่อเท่านั้น” เซียวเชียนจย่งเองก็เป็นคนจิตใจบริสุทธิ์ เหมาะสมกับซุนเหยียนเอ๋อร์ หากกลับกัน ให้ซุนเหยียนเอ๋อร์แต่งกับเซียวเชียนเหว่ย จูชูอวี้แต่งกับเซียวเชียนจย่ง เกรงว่านั่นคงจะเป็นภัยอย่างแท้จริง
ซุนเหยียนเอ๋อร์ถอนหายใจ เอ่ย “ไม่รู้สึกถึงการปลอบใจเลยสักนิด พี่สะใภ้…ไม่สนใจเรื่องของชายารองกงจริงๆ หรือเจ้าคะ”
หนานกงมั่วไหวไหล่ เอ่ยว่า “เรื่องของชายารองกงไหนจะเป็นเรื่องที่เรายื่นมือเข้าไปยุ่งได้เล่า เวลานี้ยิ่งเรารุกล้ำเกินไป เสด็จลุงก็ยิ่งเข้าข้างนาง”
“แปลกจริงๆ ไยเสด็จพ่อจึงชอบชายารองกงถึงเพียงนั้น” ซุนเหยียนเอ๋อร์ขมวดคิ้ว สีหน้าครุ่นคิด “มักรู้สึกว่า…มันแปลกๆ”
ใครบอกว่าไม่แปลกกัน เยี่ยนอ๋องผู้สุขุมเยือกเย็นเป็นอ๋องผู้มีน้ำจิตน้ำใจ กลับกลายเป็นคนที่หลงมัวเมาในหญิงงามจนไม่สนอันใด ใครบ้างจะไม่มองว่าเป็นเรื่องแปลก ตบไหล่ปลอบใจซุนเหยียนเอ๋อร์ เอ่ย “ไม่ต้องกังวล อย่างไรเรื่องก็ต้อง…เป็นอันใดหรือ”
เอ่ยไปได้เพียงครึ่ง หนานกงมั่วที่เห็นสีหน้าของซุนเหยียนเอ๋อร์ที่เปลี่ยนไปจึงเอ่ยถามขึ้นมา
ซุนเหยียนเอ๋อร์มองไปยังประตูทางเข้าอุทยาน ชายหนุ่มสองคนเดินเข้ามา
หนานกงมั่วเลิกคิ้ว ซุนเหยียนเอ๋อร์เอ่ยเสียงเบา “สองคนนั้นคือพี่ชายทั้งสองของชายารองกง”
หนานกงมั่วมองไป เป็นชายหนุ่มอายุราวๆ ยี่สิบหกยี่สิบเจ็ด กงเสี่ยวเตี๋ยรูปหน้างดงาม แน่นอนว่าสองคนนั้นเองก็ไม่ได้ด้อยไปกว่ากัน เพียงแต่หน้าตาดูอันธพาล ทำให้คนรู้สึกไม่ถูกชะตา ซุนเหยียนเอ๋อร์เอ่ย “เสด็จพ่อให้พวกเขาดูแลธุระนอกเรือน งานของหัวหน้าผู้ดูแลถูกพวกเขาแย่งไปไม่น้อย สองวันก่อนยังคิดจะยื่นมือเข้าไปแทรกแซงเรื่องของกองทัพ ถูกผู้ใต้บังคับบัญชาของเสด็จพ่อขัดขวางเอาไว้ เกรงว่าคงได้ยินว่าพี่สะใภ้สามมา ถึงได้รีบมา”
หนานกงมั่วพยักหน้า ระหว่างที่เอ่ยชายสองคนนั้นก็มาหยุดอยู่ตรงหน้าแล้ว
“ผู้นี้…คือซิงเฉิงจวิ้นจู่หรือ” หนึ่งในชายหนุ่มเอ่ยถามพลางมองสำรวจหนานกงมั่ว รอยยิ้มบนใบหน้าทำให้คนรู้สึกไม่ชอบใจนัก
เรียวคิ้วสวยของหนานกงมั่วเลิกขึ้นเล็กน้อย “ข้าคือจวิ้นจู่”
ชายอีกคนถูมือ เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ไยวันนี้จวิ้นจู่ถึงได้มีเวลามาจวนเยี่ยนอ๋องเล่า”
หนานกงมั่วหรี่ตาลง เอ่ยเสียงเรียบ “จวิ้นจู่เช่นข้ามีเวลาเยี่ยงไร จำเป็นต้องรายงานเจ้าหรือ”
ชายหนุ่มจ้องมอง ทว่าไม่มีความโกรธเพียงยิ้มขี้เล่น เอ่ย “ที่ไหนเล่า แน่นอนว่าจวิ้นจู่ไม่จำเป็นต้องรายงานพวกเรา เพียงแต่…จวิ้นจู่ควรส่งคนมาแจ้งข่าวสักหน่อย พวกเราจะได้ออกไปรอต้อนรับจวิ้นจู่ คนอื่นจะได้ไม่เอ่ยได้ว่าจวนเยี่ยนอ๋องไร้มารยาท”
“เจ้าคิดจะเอ่ยเรื่องมารยาทกับจวิ้นจู่อย่างข้าหรือ” หนานกงมั่วหัวเราะออกมา
ชายหนุ่มยิ้ม เอ่ย “อย่างไรจวนเยี่ยนอ๋องก็เป็นจวนอ๋อง มารยาทเป็นสิ่งจำเป็นอยู่แล้ว”
“เยี่ยม” หนานกงมั่วยิ้มพลางเอ่ย ยกเท้าเตะเข้าไปที่เข่าของชายหนุ่ม ชายหนุ่มรู้สึกขาชา ขาทั้งสองข้างคุกเข่าลงไปกับพื้น ชายหนุ่มอีกคนยังไม่ทันได้สติก็คุกเข่าตามลงไป
“จวิ้นจู่ เจ้า!”
หนานกงมั่วมองไปยังทั้งสอง เอ่ยเสียงเรียบ “ตอนนี้รู้แล้วหรือไม่ว่าอันใดคือมารยาท จวิ้นจู่เช่นข้ายืนอยู่ พวกเจ้าก็ควรคุกเข่า นั่นสิถึงจะเรียกว่ามารยาท”
ชายหนุ่มที่ดูอายุมากกว่าสีหน้าไม่น่ามองขึ้นมา กัดฟันเอ่ย “พวกเราเป็นคนของเยี่ยนอ๋อง…”
เข็มเล่มหนึ่งจี้เข้ามายังลำคอของเขาโดยไร้เสียง หนานกงมั่วหัวเราะมองเขา เอ่ยเสียงหยัน “เจ้าเป็นอันใดของเยี่ยนอ๋องหรือ ว่ามาสิ”
“ข้า…”
ความเจ็บปวดของเข็มเงินที่ทิ่มเข้ากับผิวเนื้อของชายหนุ่มจนเปลือกตากระตุกโดยไม่รู้ตัว ไม่กล้าเอ่ยสิ่งใดอีก รอยยิ้มบนใบหน้าของหนานกงมั่วยิ่งเบิกบานมากขึ้น ยิ้มหวาน เอ่ย “ไยจึงไม่พูดแล้วเล่า พูดมาสิ พวกเจ้าเป็นอันใดของเยี่ยนอ๋อง” ถูกเข็มจ่อลำคอไหนเลยเขาจะกล้าเอ่ย เพียงมองแววตาของหญิงสาวตรงหน้าพลันมีความรู้สึกอย่างหนึ่ง หากตนกล้าเอ่ย เข็มในมือของนางก็จะปักเข้าที่ลำคอของตน
“ดูเหมือนว่าเจ้าจะไม่อยากเอ่ยแล้วหรือ” หนานกงมั่วหันกลับไปมองชายอีกคน “แล้วเจ้าเล่า”
ชายหนุ่มสีหน้าทะมึน น้ำเสียงแข็งกระด้าง “ข้าไม่เชื่อว่าซิงเฉิงจวิ้นจู่จะกล้าฆ่าพวกเรา”
“กล้าดีนี่” หนานกงมั่วเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เช่นนั้นเจ้าลองบอกจวิ้นจู่อย่างข้าที เจ้าเป็นอันใดของเยี่ยนอ๋องหรือ”
ชายหนุ่มหางตากระตุก กัดฟันเอ่ย “พวกเราเป็น…ผู้ดูแลจวนเยี่ยนอ๋อง”
หนานกงมั่วจึงเก็บเข็มอย่างพึงพอใจ เอ่ย “ในเมื่อเป็นผู้ดูแล ไร้มารยาทต่อจวิ้นจู่อย่างข้าควรจัดการเยี่ยงไร”
“จวิ้นจู่ พวกเราเป็นผู้ดูแลของเยี่ยนอ๋อง เกรงว่าคงไม่ต้องให้ถึงมือท่านจัดการ” ชายหนุ่มเอ่ย
“พี่สะใภ้…” ซุนเหยียนเอ๋อร์เอ่ยขึ้นด้วยความกังวล หลายวันก่อนจูชูอวี้เพียงเอ่ยไม่กี่ประโยคต่อหน้าเสด็จพ่อก็ถูกโบยไปหนึ่งรอบ เมื่อวานซื่อจื่อก็เกือบถูกโบย มั่วเอ๋อร์ทำเช่นนี้… หนานกงมั่วโบกปัดมือบ่งบอกว่าไม่เป็นไร พร้อมเอ่ยสั่ง “ไปเชิญหัวหน้าผู้ดูแลมา”
สาวใช้ข้างกายซุนเหยียนเอ๋อร์เหลือบมองซุนเหยียนเอ๋อร์เล็กน้อย จากนั้นจึงตอบรับและรีบเดินออกไป
ชายสองคนที่อยู่บนพื้นไม่อาจลุกขึ้นได้กลับไม่ใส่ใจต่อเรื่องนี้นัก ทว่ากลับเผยรอยยิ้มหยันออกมา เห็นชัดว่าต่อให้ผู้ดูแลมาก็ทำอันใดพวกเขาไม่ได้ หลายวันมานี้เยี่ยนอ๋องฟังคำของกงเสี่ยวเตี๋ยเป็นอย่างดี ให้ความสำคัญกับพวกเขาเป็นอย่างมาก หัวหน้าผู้ดูแลหรือ ตาเฒ่าคนหนึ่งนับประสาอันใดกัน
สองคนนี้กลับไม่รู้ หัวหน้าผู้ดูแลอย่างไรก็เป็นหัวหน้าผู้ดูแลจวนเยี่ยนอ๋อง แน่นอนว่าไม่ใช่ตาเฒ่าธรรมดาอย่างแน่นอน หัวหน้าผู้ดูแลเดินนำคนมาอย่างรวดเร็ว เพียงมองก็รู้แล้วว่าเกิดเรื่องใดขึ้น เอ่ยเสียงเย็น “เอาตัวสองคนนี้ไป โบยหนักๆ ห้าสิบไม้”
“เจ้ากล้าหรือ” ทั้งสองคนทั้งโกรธทั้งตกใจ เอ่ยขึ้นพร้อมกัน
หัวหน้าผู้ดูแลเอ่ยเสียงหยัน “ผู้ดูแลเล็กๆ เพียงสองคนก็กล้าเสียมารยาทต่อจวิ้นจู่ พวกเจ้าเอาความกล้ามาจากที่ใดหรือ โบย!”