ใต้หน้ากากซูเปอร์สตาร์- ภาค 2 เล่ม 2 ตอนที่ 3-1

ภาค 2 เล่ม 2 ตอนที่ 3-1

“ไม่ได้รู้สึกไม่สบายตรงไหนใช่ไหมครับ”

อินซอบเข็นรถเข็นพลางสังเกตสีหน้าของหัวหน้าทีมชา

และเอ่ยถาม

“ฉันสบายดี แค่ขาหักเฉยๆ ไม่ได้ป่วยเป็นโรคร้ายแรงซะหน่อย นอกจากขาแล้ว ทุกส่วนก็แข็งแรงดี ฮ่าๆๆๆ”

หัวหน้าทีมชาตอบด้วยน้ำเสียงร่าเริง ผิวของเขาเปล่งปลั่งมันวาวราวกับไข่ต้มเหมือนเป็นข้อพิสูจน์คำพูดของเจ้าตัว

“เห็นคุณดูดีแล้วผมก็โล่งอกครับ”

“นั่นสิๆ ระบบย่อยอาหารก็ดี แถมความเจ็บปวดก็หายแล้วด้วย โอ้ โลกที่มีความสุขในชีวิต”

หัวหน้าทีมชาหลับตาพึมพำราวกับดื่มด่ำไปกับแสงแดดที่สาดส่องลงมา ในขณะเดียวกันเขาก็หันกลับไปมองอินซอบเหมือนนึกอะไรออกก่อนจะเอ่ยถาม

“ว่าแต่มีเรื่องอะไรล่ะ จู่ๆ ถึงมา”

“ขอโทษด้วยนะครับที่ช่วงที่ผ่านมาผมไม่สามารถแวะมาหาได้”

“ฮ่าๆๆ พอได้เห็นหน้าสักครั้งในโอกาสแบบนี้ ฉันก็ดีใจแล้วล่ะ ว่าแต่ไม่ได้มีเรื่องใหญ่อะไรใช่ไหม”

“ครับ ไม่ได้มีเรื่องใหญ่อะไรครับ”

แม้จะตอบอย่างนั้นแต่น้ำเสียงของอินซอบกลับฟังดูไร้เรี่ยวแรงเสียเหลือเกิน หัวหน้าทีมชาเองก็รู้เรื่องข่าวลือการคบหาดูใจของอีอูยอนผ่านทางกรรมการผู้จัดการคิม ข่าวฉาวที่ใช้ในการปิดหูปิดตามีให้เห็นอยู่บ่อยๆ ในวงการนี้ และคู่รักที่อยู่ในสภาพแต่งงานกันด้วยสัญญาก็หาได้ไม่ยาก

แต่อินซอบกำลังคบหาดูใจอยู่กับต้นเหตุของข่าวฉาวต่างๆ คนที่รู้ความจริงข้อนั้นมีแค่สองคนเท่านั้นคือเขากับกรรมการผู้จัดการคิม ถึงจะบอกว่าเป็นข่าวฉาวที่เป็นการแสดง แต่ถึงอย่างไรอินซอบก็ต้องรู้สึกเป็นทุกข์แน่นอนอยู่แล้ว ต่างจากอีอูยอนที่มีจิตใจแข็งแกร่ง

“ไอ้…ไม่สิ อีอูยอนทำให้ทุกข์ใจมากเลยใช่ไหม”

“ไม่ครับ ไม่ได้เป็นแบบนั้นเลยนะครับ กลับกันเป็นผมเสียอีกที่สร้างความลำบากให้”

อินซอบส่ายหน้าอย่างลนลาน

นี่เขาเรียกว่านิสัยดีและน่ารักมากใช่ไหมนะ

หัวหน้าทีมชารีบใช้แขนเสื้อของชุดผู้ป่วยเช็ดตาที่เปียกชื้น ถึงคนอื่นจะไม่รู้ แต่เขารู้ ว่าอีอูยอนที่แสดงนิสัยที่แท้จริงออกมาทำตัวแย่แค่ไหนกับผู้จัดการส่วนตัว

“สร้างความลำบากอะไรล่ะ ไปพูดกับกรรมการผู้จัดการคิมแล้วขอเงินเดือนมาเยอะๆ เลย ถ้าเขาบอกว่านายเป็นแค่พนักงานชั่วคราว แล้วเอาแต่ผลประโยชน์ฝ่ายเดียวก็มาบอกฉันนะ ฉันจะต่อว่าเขาแทนนายเอง”

“ไม่เลยครับ เขาให้เยอะมากจนผมรู้สึกผิดด้วยซ้ำ”

อินซอบยิ้มร่าในขณะที่ตอบ

“แล้วร่างกายนายดีขึ้นบ้างหรือยัง ดูๆ ไปแล้วเหมือนว่าหน้าจะตอบลงไปหน่อยนะ”

พอเห็นอินซอบมีสีหน้าหม่นหมองกว่าผู้ป่วยที่ขาหัก หัวหน้าทีมชาก็รู้สึกละอายใจ

“ผมแค่เหนื่อยนิดหน่อยเท่านั้นครับ พอดีเมื่อวานไม่ได้นอน ผมไม่เป็นไรครับ”

“เมื่อวานเหรอ มัวแต่ทำอะไรอยู่ล่ะถึงไม่ได้นะ…อ่า ฮ่าๆๆ นั่นสินะ ไม่ได้นอนสินะ อากาศร้อนก็ทำให้นอนไม่ค่อยหลับได้นี่เนอะ”

ข้อความที่กรรมการผู้จัดการคิมส่งมาเมื่อวานโผล่ผุดขึ้นมาในหัวของหัวหน้าทีมชา เป็นคำด่าหนึ่งถ้วยเต็มเกี่ยวกับการที่อีอูยอนขโมยเอาบัตรเครดิตของอีกฝ่ายไปจองห้องสวีทของโรงแรม ส่วนจะใช้ห้องสวีทกับใครก็เป็นเรื่องที่แน่ชัดอยู่แล้วโดยไม่ต้องสงสัย

“ตอนนี้น่าจะยุ่งขึ้นแล้วสินะ หนังเปิดตัวแล้วนี่นา”

หัวหน้าทีมชารีบกลับคำพูด

“ครับ คงจะยุ่งขึ้นครับ มะรืนนี้ก็จะเริ่มโปรโมทหนังแล้ว”

“หนังคราวนี้ดีมากเลยนะ กระแสตอบรับในงานเปิดตัวรอบปฐมทัศน์กับสื่อก็ดี”

“เหมือนจะออกมาดีจริงๆ ครับ ผมอยากให้เปิดตัวเร็วๆ แล้วล่ะครับ หลายๆ คนจะได้ดู”

ท่าทีตื่นเต้นปรากฏชัดเจนอยู่ในเสียงของอินซอบ

“คุณอินซอบนี่เป็นแฟนคลับของอีอูยอนจริงๆ ด้วย ดูเหมือนจะคาดหวังยิ่งกว่าตัวของอีอูยอนเองซะอีก”

“ครับ ผมก็ต้องคาดหวังอยู่แล้วสิครับ…เพราะผมเป็นแฟนคลับนี่นา”

อินซอบรู้สึกว่าตัวเองกำลังหลอกหัวหน้าทีมชาด้วยการบอกว่าตัวเองเป็นแฟนคลับของอีอูยอน และรู้สึกผิดขึ้นมา

“อะแฮ่มๆ คือว่านะคุณอินซอบ”

หัวหน้าทีมชากระแอมก่อนจะเปิดปากพูด

“ถึงคราวก่อนจะพูดไปแล้ว แต่ถ้ามีเรื่องให้ต้องครุ่นคิดหรืออะไรทำนองนั้นก็พูดกับฉันได้นะ คิดซะว่าฉันเป็นพี่ชายก็ได้”

พอเห็นอินซอบทำตาโต หัวหน้าทีมชาก็เกาแก้มเหมือนเขิน

“ขอโทษที อายุฉันเยอะเกินไปที่จะนับว่าเป็นพี่หรือเปล่า”

“ไม่เลยครับ ผมตื่นเต้นเพราะไม่เคยมีพี่มาก่อนต่างหากครับ”

“เป็นลูกคนเดียวเหรอ”

“เป็นลูกคนโตครับ”

อินซอบพึมพำเสียงเบา ถึงจะเป็นเรื่องน่าอาย แต่เวลาไปไหนมาไหนเขาไม่เคยได้ยินคนบอกว่าเขาเหมือนพี่คนโตมาก่อนเลย ร่างกายก็อ่อนแอ นิสัยก็ขี้ขลาด ไม่ว่าจะมองอย่างไรเขาก็ดูไม่เหมือนลูกคนโตสักนิด

“มีน้องด้วยเหรอ กี่คนล่ะ”

“สามครับ”

“ว้าว ครอบครัวใหญ่เลยนะเนี่ย เหมือนนายจะสนิทกับน้องๆ นะ ไม่มีรูปเหรอ”

อินซอบหารูปภาพครอบครัวในคลังภาพของโทรศัพท์และเอาให้หัวหน้าทีมชาดู หัวหน้าทีมชาทำตาโต และมองอินซอบสลับกับหน้าจอโทรศัพท์

“น่ารักใช่ไหมล่ะครับ”

“ฮ่าๆๆๆ…ตัวโตนี่”

อินซอบดูเด็กที่สุดในบรรดาพี่น้องที่สูงกว่าเขาหนึ่งช่วงหัว คำว่าน่ารักไม่เหมาะกับพวกน้องๆ แต่เหมาะกับอินซอบมากกว่า

“ก็โตแค่ตัวนั่นแหละครับ ที่เหลือก็เด็กทั้งนั้น ถ้าได้รวมตัวกัน ไม่มีทางรู้เลยล่ะครับว่าจะเสียงดังหนวกหูขนาดไหน”

ความรักเอ่อล้นเต็มดวงตาของอินซอบขณะมองดูรูปในโทรศัพท์มือถือ

“ไม่คิดถึงครอบครัวเหรอ”

“…คิดถึงสิครับ”

อินซอบเก็บโทรศัพท์มือถือเข้าไปในกระเป๋าตามเดิม

“ที่อเมริกาน่าจะสบายกว่าที่เกาหลีใช่ไหม”

“ครับ แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ปรับตัวได้เยอะแล้วนะครับ”

“ถ้าเรียนจบแล้วจะกลับอเมริกาหรือเปล่า”

“ไม่ครับ ไม่ใช่ว่าจะไม่กลับ…แต่ผมยังไม่ได้ตัดสินใจเลยครับ”

เขาแค่บอกว่าพ่อแม่ว่าอยากเรียนที่เกาหลีเท่านั้น และเขาก็ยังไม่ได้วางแผนชีวิตหลังจากนั้นอย่างเป็นรูปธรรมเลย ถ้าอยากอยู่กับอีอูยอนที่นี่ เขาก็ต้องหางานทำอย่างจริงๆ จังๆ

“ผมกำลังคิดนั่นคิดนี่อยู่น่ะครับ ถึงขั้นกังวลเลยก็ว่าได้”

มีเสียงถอนหายใจปนมาในคำพูดที่พูดต่อท้าย หัวหน้าทีมชาอยากจะบอกอีกฝ่ายว่าช่างคิดอะไรไร้ประโยชน์เสียจริง ทั้งที่ตัวเองอยู่ข้างๆ ผู้ชายที่มีเงินเยอะถึงขั้นที่ต่อให้ใช้ชีวิตเรื่อยเปื่อยไปทั้งชีวิตก็ยังมีเงินเหลือให้บูด แต่แล้วเขาก็ต้องปิดปากเงียบ เพราะเขามีลางสังหรณ์ที่น่าจะเป็นไปได้มากว่าถ้าเป็นอีอูยอนแล้วล่ะก็ หลังจากที่ปักหลอดลงไป ยืดหลังของตัวเองอย่างเปิดเผย และดูดไขกระดูกเข้าไปอึกหนึ่งแล้ว คงต้องจ่ายค่าตอบแทนสูงมาก

“กลับอเมริกาก่อนจะหมดปิดเทอมแล้วค่อยกลับมาไหมล่ะ”

“ผมต้องขอดูสถานการณ์ก่อนถึงค่อยตัดสินใจครับ เพราะตอนนี้ยุ่งมาก”

อินซอบรีบยิ้มให้ดู

“งั้นนายก็ใช้วันหยุดแล้วไปตากลมเล่นที่ไหนสักที่กับเพื่อนๆ สิ ฉันจะบอกกรรมการผู้จัดการให้ แค่วันสองวันไม่เป็นไรหรอก”

อินซอบยิ้มเงียบๆ โดยไม่พูดอะไร หัวหน้าทีมชาเอ่ยถามอย่างระมัดระวัง

“อย่าบอกนะว่านายไม่มีเพื่อนที่ติดต่อกันที่เกาหลี”

อินซอบพยักหน้าน้อยๆ

“ไม่มีสักคนเลยเหรอ?”

“…ขอโทษครับ”

“ไม่ใช่เรื่องที่ต้องขอโทษหรอกนะ ให้ตาย เด็กคนนี้นี่”

หัวหน้าทีมชาทำหน้าตาสงสารจากใจ

“ผมไม่ค่อยถนัดกับเรื่องแบบนั้นน่ะครับ แล้วผมก็ไม่รู้วิธีเข้าหาคนอื่นด้วย”

“แต่นายเข้าหาอีอูยอนได้นี่ เพราะฉะนั้นนายก็น่าจะเข้าหาใครต่อใครได้หมดนั่นแหละ”

อินซอบหัวเราะให้กับการพูดเล่นที่มีความจริงใจซ่อนอยู่ของหัวหน้าทีมชา

“ฉันพูดจริงนะ ถ้าตั้งใจแล้วล่ะก็ นายสามารถมีเพื่อนได้ประมาณร้อยคนเลย”

“ถ้าเป็นแบบนั้นก็ดีสิครับ”

อินซอบค่อยๆ เข็นรถเข็นไป

“งั้น…เพื่อนก็มีแค่อีอูยอนเหรอ”

“เอ่อ ครับ…ใช่ครับ”

อินซอบเลื่อนสายตาลงช้าๆ ก่อนจะตอบ

“คือว่านะอินซอบ ฉันไม่ได้พูดเพราะโคตรจะเกลียดอีอูยอนหรอกนะ แต่ฉันพูดเพราะนึกถึงคุณอินซอบ…ได้คุยกับอีอูยอนหรือเปล่า”

“…”

อินซอบพลาดช่วงเวลาที่จะตอบไปแล้ว หัวหน้าทีมชาถอนหายใจเหมือนรู้อยู่แล้วว่าต้องเป็นแบบนั้น

“รู้สึกเหมือนคุยกับกำแพงใช่ไหม”

“ก็ไม่ได้เป็นแบบนั้นบ่อยๆ หรอกครับ”

อีอูยอนสอบตกในเรื่องของการมีความรู้สึกร่วม แม้เจ้าตัวจะปกปิดด้วยการแสดงที่เหมาะสมต่อหน้าคนอื่น แต่กลับไม่แม้แต่จะพยายามแสดงต่อหน้าคนที่รู้จักนิสัยของตนเลยสักนิด ความรู้สึกร่วมเกี่ยวกับเรื่องที่ละเอียดอ่อนและเล็กน้อยมากๆ นั้นบกพร่องเป็นพิเศษ แม้พูดแบบนี้จะทำให้เขารู้สึกผิดกับอีอูยอนมากขนาดไหน แต่อินซอบก็รู้สึกเหงาทุกครั้งที่อีกฝ่ายเป็นแบบนั้น เราจะไม่ได้รับความเห็นอกเห็นใจในปัญหาแบบนี้จากคนคนนี้ไปชั่วชีวิตสินะ

“ไม่เหงาเหรอ”

คำถามนั้นราวกับเจาะเข้ามาดูภายในหัวสมองของเขา

“…ก็มีบ้างครับ”

ดังนั้นอินซอบจึงเผลอเปิดเผยความในใจที่ตรงไปตรงมาออกมาโดยไม่รู้ตัว

“น่าต้องรีบคบคนใหม่ก่อนที่จะโดนจูงจมูกแล้วล่ะ…”

“ครับ?”

อินซอบถามกลับเพราะตกใจ

“ปะ เปล่า…ที่ฉันจะพูดก็คือ…ให้ไปมีเพื่อนคนอื่นน่ะ ถ้าอยากมีความมั่นคงก็ต้องมีรากเยอะๆ ความสัมพันธ์ของคนเราก็เหมือนกัน ถ้ามีแค่รากเดียว ต่อให้หนาและแข็งแรงแค่ไหนก็ถูกลมถอนออกได้อย่างกับไม่มีรากยังไงล่ะ”

อินซอบพยักหน้าด้วยสีหน้าจริงจัง

“ฉันทำตัวขี้บ่นมากไปหรือเปล่า”

“ไม่ครับ ไม่ใช่เลยครับ คนที่จะพูดแบบนี้กับผมก็มีแค่หัวหน้าทีมเท่านั้น ผมรู้สึกขอบคุณจริงๆ ครับ”

“ฉันบอกแล้วไงว่าให้คิดซะว่าฉันเป็นพี่ใหญ่ พี่ใหญ่ที่แก่มากๆ น่ะ”

“ขอบคุณครับ”

อินซอบรู้สึกดีมากๆ จนหน้าแดงไปถึงต้นคอ

“อืม ไม่มีเรื่องที่จะปรึกษาถึงความกังวลใจกับพี่เหรอ”

เขานึกว่าอีกฝ่ายจะตอบว่าไม่เป็นไรกลับมา แต่อินซอบกลับลังเลพร้อมกับกระดิกมือไปมา หัวหน้าทีมชากระตุ้นอินซอบพร้อมกับพูดว่า ‘ลองพูดมาสิ’

“เรื่องคุณคังยองโมน่ะครับ”

“คังยองโม?”

คนที่รู้ความจริงในวันนั้นมีแค่กรรมการผู้จัดการคิม หัวหน้าทีมชา และชเวอินซอบเท่านั้น และชื่อของคังยองโมก็เป็นสิ่งต้องห้ามระหว่างทั้งสามคน

“คังยองโมทำไมเหรอ มีเรื่องอะไรล่ะ อีอูยอนสร้างปัญหาอีกแล้วเหรอ”

หัวหน้าทีมชาถอนหายใจอย่างยากลำบากก่อนจะเอ่ยถาม นี่เป็นครั้งแรกที่เขามีสีหน้าเหมือนคนป่วยหลังจากเข้าโรงพยาบาล

“เปล่าครับ ไม่ใช่อย่างนั้นแน่นอนครับ ก็แค่…คนคนนั้นมีอิทธิพลค่อนข้างมากในวงการหรือเปล่าครับ”

“แน่นอนสิ เขาแสดงได้เก่ง แถมประธานบริษัทต้นสังกัดของเขาก็เป็นคนทางบ้านเมีย แล้วบริษัทต้นสังกัดของเขาก็ใหญ่เป็นทุนเดิมอยู่แล้วด้วย”

แม้แต่ในขณะที่ตอบ หัวหน้าทีมก็ไม่สามารถซ่อนความไม่สบายใจเอาไว้ได้

“จะมีเรื่องให้คุณคังยองโมมาเจอคุณอีอูยอนบ่อยๆ หรือเปล่าครับ”

“ถึงจะบอกไม่ได้ว่าไม่มี แต่เราก็พยายามทำให้พวกเขาไม่ต้องเจอกันให้ได้มากที่สุดน่ะ…ไม่มีเรื่องอะไรจริงๆ เหรอ”

อินซอบลังเลอยู่พักหนึ่ง ถ้าหากบอกคำพูดที่คังยองโมพูดกับเขาออกไป ผลลัพธ์ที่ได้ไม่ใช่แค่ตัวเขาที่เปิดเผยตัวแต่ตน แต่อีอูยอนก็จะโดนเปิดเผยไปด้วย แม้จะบอกว่าหัวหน้าทีมชากับกรรมการผู้จัดการคิมเป็นคนที่ไว้ใจได้ขนาดไหน แต่เรื่องนี้เป็นปัญหาที่ต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง

“ครับ ไม่มีครับ ผมแค่ลองถามดู เพราะกังวลเท่านั้นครับ”

อินซอบคิดว่าโชคดีที่เขากำลังเข็นรถเข็นอยู่ เพราะเขาต้องไม่กล้าโกหกอย่างไม่สะทกสะท้านต่อหน้าหัวหน้าทีมชาแน่ๆ

“นั่นสิ โล่งอกไปทีนะ”

หัวหน้าทีมชาถอนหายใจอยู่ครู่หนึ่ง แล้วเขาก็พูดต่อว่า ‘ว่าแต่’

“ถ้าเกิดนะ ถ้าเกิดมีเรื่องที่อีอูยอนต้องเจอคังยองโมขึ้นมา คุณอินซอบช่วยห้ามไว้ทีนะ ไม่ว่ายังไงก็ต้องลากไปที่อื่น ถ้าเป็นคำพูดของคุณอินซอบล่ะก็ อีอูยอนจะฟังน่ะ”

อินซอบคิดว่าจะลองขอร้องกรรมการผู้จัดการคิมให้ใช้ผู้จัดการส่วนตัวคนอื่นดีไหม แต่เขาก็ต้องล้มเลิกด้วยคิดว่าถ้าทำแบบนั้น ก็เหมือนจะเป็นการทำให้เข้าใจผิดโดยไม่จำเป็น และถ้าเหตุการณ์สมมตินั้นเกิดขึ้นมาจริงๆ คนที่จะห้ามอีอูยอนได้ก็มีแต่ตนเท่านั้นอย่างที่หัวหน้าทีมชาพูด

“เข้าใจแล้วครับ”

อินซอบพยักหน้าราวกับให้สัญญากับตัวเองก่อนจะเอ่ย

“ถึงอย่างนั้นก็โชคดีจริงๆ นะที่มีคนแบบคุณอินซอบอยู่ข้างๆ อีอูยอน”

คำพูดของหัวหน้าทีมชาทำให้อินซอบไม่สามารถเงยหน้าขึ้นได้

ตอนที่ลืมตาขึ้นมาในช่วงเช้ามืดวันนี้ เดิมทีอินซอบคิดว่าเขาฝันไป สิ่งที่อยู่ตรงหน้าเขาคือใบหน้าของอีอูยอนที่กำลังหลับใหล หลังจากมองไปได้สักพัก เขาก็ได้รู้ว่านี่ไม่ใช่ฝัน น่าประหลาด นี่เป็นครั้งแรกเลยที่เขาตื่นก่อน ผมของอีอูยอนกระเซอะกระเซิง เพราะหลับไปโดยไม่ได้จัดแต่งทรงผมให้เรียบร้อยหลังอาบน้ำ เขารู้สึกว่าอีกฝ่ายเด็กลงกว่าปกติ อีอูยอนยิ้มเหมือนเป็นเด็กหนุ่มบ้างเป็นบางครั้ง แม้เจ้าตัวจะไม่รู้ตัว แต่อีกฝ่ายมักจะยิ้มแบบนั้นตอนที่แกล้งหรือแซวอินซอบ และเขาก็ชอบท่าทางนั้นอย่างมาก ทุกครั้งที่อีอูยอนยิ้มแบบนั้นให้เขา เขาจะมึนงง และหัวใจก็เต้นตึกตักเหมือนคนโง่

เขาอยากให้อีอูยอนยิ้มแบบนั้นให้ตลอดไป

อินซอบเหม่อมองอีอูยอนก่อนจะกลืนความปรารถนาที่เปล่าประโยชน์ลงไป ในวินาทีนั้นเองอีอูยอนก็ลืมตาขึ้นมาราวกับโกหก อีกฝ่ายทอดสายตามองอินซอบนิ่งๆ อยู่พักหนึ่งก่อนจะยิ้มออกมาเหมือนเด็กหนุ่ม

ใต้หน้ากากซูเปอร์สตาร์

ใต้หน้ากากซูเปอร์สตาร์

Status: Ongoing

นิยายวายแปลเกาหลี ดารา x ผู้จัดการ วงการบันเทิง นายเอกใสซื่อ พระเอกเจ้าเล่ห์ และ “คลั่ง” รักหนักมาก

ข้อเสียเพียงหนึ่งเดียวของ ‘อีอูยอน’ นักแสดงที่ได้ชื่อว่าเป็นสุภาพบุรุษผู้แสนดี และไม่เคยมีแอนตี้แฟน คือการเปลี่ยนผู้จัดการส่วนตัวบ่อย

หลังจากเปลี่ยนผู้จัดการไปแล้ว 5 คนในปีเดียว ‘ชเวอินซอบ’ แฟนคลับของอีอูยอนก็ได้เข้ามาเป็นผู้จัดการส่วนตัวคนใหม่ และสามารถปรับตัวเข้าได้กับทุกรสนิยมที่จู้จี้จุกจิกของอีอูยอนได้อย่างไร้ที่ติ

ทว่าสำหรับอีอูยอนแล้ว ผู้จัดการส่วนตัวแบบนั้นน่าสงสัยเป็นที่สุด

เขารู้สึกสนใจในการกระทำของอีกฝ่าย ในขณะเดียวกันความรู้สึกบางอย่างก็เริ่มก่อตัวขึ้นโดยไม่รู้ตัว

ทว่าในตอนที่เขารู้สึกดีกับอินซอบมากขึ้นเรื่อยๆ อีกฝ่ายก็ (ลอบ) แทงข้างหลัง (เบาๆ) และพยายามจะหนีไป

“ถ้าผมปล่อยคุณอินซอบไป แล้วผมจะอยู่ยังไงล่ะครับ”

TW : Coercion / Dubious Consent / Dirty talk / Toxic relationship / Violence / Rape

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท