ถึงแม้จะไม่กล้าพูดว่าปีนั้นท่านโหวกวาดล้างทหารของกองทัพทหารอวี้หลินถึงแปดแสนนาย แต่เขาก็ได้รับชัยชนะ…
สืออีเหนียงรู้สึกว่าตัวเองเหงื่อตก
มันคือเรื่องตั้งแต่เมื่อใดกัน
เหตุใดตนถึงไม่เคยได้ยิน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการเห็นสวีลิ่งอี๋จับดาบถืออาวุธ…
นางครุ่นคิด ก็ได้ยินนายท่านใหญ่ถามว่า “ที่ท่านโหวจะลาออก ไท่ฮูหยินว่าเช่นไร” เขาพูดด้วยน้ำเสียงลังเล
แน่นอนว่าไท่ฮูหยินต้องเห็นด้วยอยู่แล้ว
แต่ความทรงจำที่สืออีเหนียงมีต่อท่านพ่อคนนี้มีแค่ความเป็นมิตร สง่างาม รักและเอ็นดูสตรี ส่วนเรื่องอื่น นางไม่รู้จักเขาเลยแม้แต่น้อย นางจะพูดตามความจริงได้เช่นไร
นางพูดอย่างคลุมเครือ “ไท่ฮูหยินไม่ได้ว่าอะไรเจ้าค่ะ ที่จวนก็เป็นปกติ”
นายท่านใหญ่ตกใจ “ที่จวนเป็นปกติ?”
สืออีเหนียงพยักหน้า “แค่เป็นห่วงสุขภาพของท่านโหว ชอบเรียกข้าไปถามไถ่อยู่บ่อยๆ”
นายท่านใหญ่ขมวดคิ้วแน่น จากนั้นก็เดินเอามือไขว้หลัง
หลัวเจิ้นซิ่งเห็นเช่นนี้ก็พูดเบาๆ “ท่านพ่อ น้องหญิงสิบเอ็ดมาเป็นแขกนะขอรับ…”
นายท่านใหญ่ได้ยินเช่นนี้ก็ถอนหายใจ “ก็จริง นางเป็นหญิง จะไปรู้อะไร ข้ากังวลมากเกินไป คนกรมของตุลาการยื่นฎีกาถวายแก่องค์ฮ่องเต้ให้ลดโทษให้นักโทษในวันเฉลิมพระชนมพรรษา ฮ่องเต้ไม่เพียงแต่ทรงเห็นด้วย แล้วยังลดโทษให้พวกอวี๋๋จงถิง โจรทางตอนเหนือ และพวกหวังจิ่วเป่า โจรสลัดทะเลตอนใต้…มันทำให้คนกังวลเสียจริง!”
หลัวเจิ้นซิ่งขยิบตาให้สืออีเหนียง บอกให้นางออกไปได้แล้ว จากนั้นก็ปลอบใจนายท่านใหญ่ “ท่านพ่อ ตอนนี้แว่นแคว้นสงบสุข แค่หวังจิ่วเป่าคนเดียวจะก่อเรื่องอะไรได้ ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีจิ้งไห่โหว… ”
“เพราะเช่นนี้ข้าถึงได้กังวล!” นายท่านใหญ่สีหน้าขมขื่น “สกุลโอวและสกุลหวัง คนหนึ่งเป็นขุนนางคนหนึ่งเป็นโจร ต่อสู้กันมาตั้งหลายชั่วอายุคน คนที่อยู่ในราชสำนักพวกนั้นไม่เข้าใจ ข้าเคยอยู่ที่ฝูเจี้ยนมาก่อน ข้ารู้ดี หากให้คนของสกุลหวังขึ้นฝั่งจริงๆ เช่นนั้นความดีความชอบในการปราบโจรของสกุลโอว ความดีความชอบในการปกป้องต้าโจวก็จะกลายเป็นเรื่องตลกขบขัน ข้ากลัวว่าสกุลโอวจะท้อใจไม่สนใจในหน้าที่ของตัวเอง เช่นนั้นทางตอนใต้ก็คงจะวุ่นวายขึ้นมา ราษฎรต้องเร่ร่อนอีกครั้ง…ข้าเกลียดที่ตอนนี้ข้าไม่มีตำแหน่ง ไม่สามารถยืนฎีกาให้ฮ่องเต้…จึงต้องขอร้องท่านโหว…” พูดจบ เขาก็ทำท่าทีไม่พอใจ
สืออีเหนียงได้ยินเช่นนี้ก็ไม่รู้ว่าควรจะพูดสิ่งใด
นายท่านใหญ่อยากจะขอร้องสวีลิ่งอี๋แก้ปัญหาที่เขาเป็นคนก่อไว้…
นางกังวลว่านายท่านใหญ่จะก่อเรื่องอะไรมากกว่า
ในเมื่อนายท่านใหญ่ยังมองความอันตรายออก แล้วมหาบัณฑิตที่อยู่ในกระทรวงขุนนางภายในจะมองไม่ออก? ฮ่องเต้จะทรงมองไม่ออกเช่นนั้นหรือ จะว่าไป เรื่องนี้สำเร็จได้ เป็นเพราะแผนการของสวีลิ่งอี๋ที่ได้ผลหรือมันตรงกับเจตนาของฮ่องเต้กันแน่ ตอนนี้ใครก็บอกไม่ได้ หากไม่รู้อะไรแล้วคิดไปเองอย่างนายท่านใหญ่ ถึงตอนนั้นมันอาจจะโชคร้ายก็ได้
ดูเหมือนว่า สวีลิ่งอี๋ไม่มาที่นี่ไม่ได้แล้ว
อย่างน้อย ก็ต้องมาเกลี้ยกล่อมนายท่านใหญ่ อย่าให้เขาก่อเรื่องอะไรอีก!
คิดเช่นนี้ นางก็พูดเบาๆ “ท่านพ่อ จะว่าไปแล้ว ท่านโหวไม่ค่อยสบาย พี่ใหญ่ก็ควรไปเยี่ยมเขาบ้างเจ้าค่ะ!”
นายท่านใหญ่สับสน “ข้าคิดว่าเป็นแค่ข่าวลือ…คิดไม่ถึงเลยว่าเขาจะไม่สบายจริงๆ!” จากนั้นก็บอกหลัวเจิ้นซิ่ง “พรุ่งนี้เจ้าไปเยี่ยมเขาเถิด”
หลัวเจิ้นซิ่งโค้งคำนับแล้วตอบรับ “ขอรับ” สืออีเหนียงจึงถือโอกาสขอตัวออกมา
ออกมาข้างนอก ก็เห็นอี๋เหนียงหกยกถ้วยชาเดินเข้ามา
“คุณนายสิบเอ็ด” นางยิ้มแล้วกล่าวทักทายสืออีเหนียง จากนั้นก็พูดเบาๆ “นายท่านใหญ่บอกว่า ตอนนี้นายหญิงใหญ่ไม่สบาย เรื่องในจวนให้คุณนายใหญ่เป็นคนดูแลทั้งหมด สำหรับเรื่องของเรือนเรา ให้ข้าและอี๋เหนียงห้าช่วยดูแล ข้าคิดว่า ข้ามาทีหลัง จะเทียบกับอี๋เหนียงห้าได้เช่นไร แน่นอนว่าต้องฟังคำแนะนำจากอี๋เหนียงห้าทุกอย่าง แต่ใครจะรู้ อี๋เหนียงห้าบอกว่าตอนนี้นางนับถือพระพุทธศาสนา ต้องสวดมนต์ เขียนคัมภีร์ทุกวัน ต้องกินเจในวันแรกของปีใหม่ แล้วยังต้องกินเจวันที่สิบห้า บอกให้ข้าช่วยดูแล ข้าคิดว่าก็ไม่เป็นไร ข้าช่วยดูแลเรื่องเล็กๆ น้อยๆ พวกนั้น หากมีเรื่องใหญ่อะไรก็ค่อยไปปรึกษากับอี๋เหนียงห้า เช่นนี้ จะได้ไม่รบกวนอี๋เหนียงห้าเพราะเรื่องเล็กๆ น้อยๆ…”
ไม่แปลกใจที่วันนี้อี๋เหนียงหกกระตือรือร้นเสียขนาดนี้ คุณนายใหญ่เป็นผู้ดูแลหลัก แต่เช่นไรก็ดูแลไม่ถึงเรือนส่วนกลาง!
สำหรับเรื่องที่นางดูแลเรื่องเล็กๆ น้อยๆ หากมีเรื่องใหญ่อะไรค่อยไปปรึกษากับอี๋เหนียงห้า สืออีเหนียงรู้สึกว่ามันช่างน่าขัน คุณนายใหญ่เป็นผู้ดูแลหลัก ในจวนจะมีเรื่องใหญ่อะไรให้อี๋เหนียงหกเป็นคนตัดสินใจได้เล่า แต่ว่าก็ดีเหมือนกัน นางไม่ใช่ภรรยาเอก ถึงแม้ว่านายท่านใหญ่จะให้อำนาจ แต่ผู้ดูแลที่มีหน้ามีตาจะไว้หน้านางหรือไม่ยังไม่รู้ แต่อี๋เหนียงห้าคิดเช่นนั้น นางก็วางใจแล้ว
นางยิ้มแล้วพูดว่า “คนมีความสามารถก็ต้องเหนื่อยหน่อย อี๋เหนียงห้าเป็นคนอ่อนโยน ต่อไปหากมีเรื่องอันใด ก็ขอให้อี๋เหนียงหกคอยช่วยดูแลด้วยนะเจ้าคะ”
“ข้ากับอี๋เหนียงห้าราวกับพี่น้องกัน” อี๋เหนียงหกยิ้มหน้าบาน ราวกับว่าได้รับสัญญาบางอย่างจากสืออีเหนียง “แน่นอนว่าเราต้องคอยช่วยเหลือกันอยู่แล้ว” พูดจบนางก็มองมาที่สืออีเหนียงด้วยสีหน้าที่เหมือนจะยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้ม “เหมือนกับเมื่อก่อน นายท่านใหญ่นอนที่เรือนของอี๋เหนียงห้า ข้าก็รับใช้อยู่ที่เรือนของนายหญิงใหญ่ นายหญิงใหญ่อยากดื่มน้ำดื่มชา ข้าก็ไม่ไปรบกวนอี๋เหนียงห้าและนายท่านใหญ่เลยแม้แต่น้อย” พูดจบ นางก็ตะโกนผ่านผ้าม่านไป “นายท่านใหญ่ หว่านชุ่ยเองเจ้าค่ะ นำชามาให้ท่านและคุณชายใหญ่เจ้าค่ะ!”
“เข้ามาเถิด!” หลังผ้าม่านมีเสียงของนายท่านใหญ่ดังออกมา
อี๋เหนียงหกยิ้มให้สืออีเหนียง จากนั้นก็เปิดม่านเดินเข้าไปในห้องหนังสือ
นายท่านใหญ่นอนที่เรือนของอี๋เหนียงห้า…นายหญิงใหญ่อยากดื่มน้ำดื่มชา… อนุภรรยาที่สามารถเป็นที่โปรดปรานมากว่าสิบปีภายใต้สายตาของภรรยาเอก สืออีเหนียงไม่กล้าดูถูกนาง ยิ่งไม่กล้าเพิกเฉยต่อคำพูดของนาง
นางมองดูผ้าม่านที่แกว่งไปมาด้วยความหวาดระแวง
ตราบใดที่นางสามารถยืนอยู่ในสกุลสวีได้ คนของสกุลหลัวก็ไม่มีทางทำให้อี๋เหนียงห้าลำบากใจ แต่อี๋เหนียงหกไม่เหมือนกัน สือเอ้อร์เหนียงยังคงเป็นเมล็ดพันธุ์ที่ลอยอยู่กลางสายลม ไม่รู้ว่าจะไปตกอยู่ที่ใด แล้วนายท่านใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นอายุหรือความสามารถ เขาก็ไม่มีอำนาจในการดูแลจวนแล้ว แต่ยังมีคุณนายใหญ่อยู่ที่นั่น อี๋เหนียงหกนั้นเป็นคนฉลาด แต่เหตุใดถึงต้องทำตัวโดดเด่นเช่นนี้
สืออีเหนียงรู้สึกเป็นห่วง นางกลัวว่าอี๋เหนียงหกคิดจะทำอะไร แล้วใช้อี๋เหนียงห้าเป็นเครื่องมือ
*****
ทันทีที่เดินมาถึงใต้ชายคาเรือนหลัก คุณนายใหญ่ก็เปิดม่านออกมาเจอกับสืออีเหนียงพอดี
คุณนายใหญ่ยิ้มแล้วพูดว่า “กำลังจะไปหาเจ้าพอดี ท่านพ่อเรียกเจ้าไปทำไมกัน”
สืออีเหนียงเล่าอย่างรวบรัด “ไม่มีอะไรเจ้าค่ะ แค่ถามว่าท่านโหวลาออกด้วยเหตุผลอะไร”
คุณนายใหญ่ได้ยินเช่นนี้ก็สีหน้าเปลี่ยนไป นางลากสืออีเหนียงไปที่ห้องเอ่อร์ฝังข้างๆ “แล้วทำไมท่านโหวถึงได้ลาออก” นางพูดด้วยความเป็นห่วง “ข้าได้ยินเฉียนหมิงบอกว่า คนข้างนอกพูดกันว่าท่านโหวมีความดีความชอบมากเกินไป ทำให้กระทบต่อตำแหน่งของฮ่องเต้ ดังนั้นจึง…” นางพูดพร้อมกับสังเกตสีหน้าของสืออีเหนียง
คิดไม่ถึงว่ามีข่าวลือเช่นนี้!
หากฮ่องเต้ได้ยินเข้า เกรงว่ามันคงไม่ดี!
สืออีเหนียงพึมพำ “ใครกันที่พูดเหลวไหล! ท่านโหวเป็นโรคข้อเท้าอักเสบจริงๆ ทุกวันนี้ข้ายังต้องแช่เท้าให้เขาทุกวัน”
คุณนายใหญ่ได้ยินเช่นนี้ก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกแล้วพูดว่า “ก็พวกศิษย์ในสำนักศึกษาน่ะสิ ชอบวิพากษ์วิจารณ์เรื่องประเทศชาติเป็นที่สุด”
ต้องไปเล่าเรื่องนี้ให้สวีลิ่งอี๋ฟัง
สืออีเหนียงจำไว้ในใจ กำลังจะกลับเข้าไปข้างในกับคุณนายใหญ่ จู่ๆ คุณนายใหญ่ก็พูดว่า “สองวันก่อนหวังฮูหยินผู้เฒ่ามาเชิญข้าไปที่จวน…”
นางได้ยินเช่นนี้ก็ตกใจ พลันนึกขึ้นได้ว่าวันนี้พวกเขาสองคนไม่มา “เกิดอะไรขึ้นกับสือเหนียงหรือเจ้าคะ”
คุณนายใหญ่พยักหน้า “จินเหมยตั้งครรภ์ สือเหนียงให้นางไปอยู่ที่หมู่บ้านในเขตชานเมืองของสกุลหลัง ท่านเขยสิบดื่มสุรามา อยากให้จินเหมยและอิ๋นผิงไปดื่มเป็นเพื่อน สุดท้ายหาจินเหมยไม่เจอ จึงให้สือเหนียงและอิ๋นผิงไปด้วยกัน…สือเหนียงไม่ยอม เขาจึงบอกว่าสือเหนียงอิจฉาริษยา จึงตบตี…สือเหนียง หวังฮูหยินผู้เฒ่าเข้าไปห้าม ถูกท่านเขยสิบต่อยเข้าให้ที่ตาข้างซ้าย บวมจนออกไปเจอใครไม่ได้…”
สืออีเหนียงรู้สึกเย็นวาบไปทั้งตัว
“แล้วยังจะปกป้องจินเหมยทำไมกัน เขาจะทำอะไรก็ให้เขาทำ เพราะว่าเช่นไรก็เป็นบุตรของสกุลหวัง ไม่มีลูกไม่มีหลานก็เป็นเรื่องของสกุลพวกเขา…” พูดจบ นางก็โมโหจนตัวสั่น “หวังฮูหยินผู้เฒ่ามาเชิญท่านไปทำไมกันเจ้าคะ จะว่าไปแล้ว ลูกสะใภ้จะดีขนาดไหน ก็ดีไม่เท่าบุตรชายของตัวเอง คงจะเชิญท่านไปเกลี้ยกล่อมสือเหนียงให้ใจเย็นใช่หรือไม่!”
คุณนายใหญ่ไม่พูดไม่จา ก็ถือว่ายอมรับแล้ว
“สือเหนียงเป็นเช่นไรเจ้าคะ” ถึงแม้ว่าสืออีเหนียงจะถามเช่นนั้น แต่นางก็รู้อยู่แก่ใจ
หากสือเหนียงจะเอาเรื่อง คุณนายใหญ่คงไม่ลากนางมาพูดที่นี่ หลัวเจิ้นซิ่ง หลัวเจิ้นต๋าและหลัวเจิ้นเซิง สามพี่น้องคงจะบุกไปจวนสกุลหวังตั้งนานแล้ว
“นางจะยอมเช่นนี้ไม่ได้” สืออีเหนียงโมโห “ไม่สู้ถือโอกาสนี้พูดกับผู้อาวุโสของสกุลหวัง ยื่นข้อเสนอย้ายออกมาอยู่คนเดียว เพราะอย่างไรจินเหมยก็ตั้งครรภ์แล้ว ถึงตอนนั้นคลอดออกมาแล้วก็เลี้ยงเป็นชื่อของนาง ชีวิตที่เหลืออยู่ก็จะได้มีคนคอยพึ่งพา” จากนั้นก็คิดว่าสือเหนียงเป็นคนดื้อรั้น นางจึงถามด้วยความเป็นห่วง “นางเป็นเช่นไรบ้างเจ้าคะ”
“จะเป็นเช่นไร” คุณนายใหญ่เอือมระอา “ตอนที่ข้าไปเยี่ยมนาง คนของสกุลหวังคอยเดินตามอยู่ตลอด ถึงแม้ว่าข้ามีอะไรแนะนำนางแต่ก็ไม่มีโอกาสได้พูด”
“แต่เช่นไรก็จะปล่อยให้คนสกุลหวังรังแกนางเช่นนี้ไม่ได้” สืออีเหนียงโมโห “ปีนี้นางพึ่งจะอายุสิบหกปี นางจะเข้าใจอะไร!”
คุณนายใหญ่นึกถึงคำพูดที่ป้าหังกลับมาเล่าให้ฟัง ‘…ตอบรับทันทีว่าจะมาตอนเช้า ท่าทางดูมั่นใจ’
นางอดไม่ได้ที่จะยิ้ม “ดังนั้นจึงมาปรึกษากับเจ้า ดูว่าจะทำเช่นไร ข้ายังไม่ได้เล่าให้พี่ใหญ่ของเจ้าฟัง กลัวพี่ใหญ่ของเจ้าจะใจร้อน”
สืออีเหนียงทำอะไรก็มักจะใจเย็นเสมอ
“หาวิธีส่งคนไปบอกนางเถิด เช่นไรก็ต้องฟังนาง หากนางไม่เห็นด้วยกับเรา ถึงแม้ว่าเราช่วยนาง แต่นางอาจจะคิดว่าเรากำลังทำลายความสัมพันธ์ของนางกับสกุลหวังก็ได้”
เรื่องเช่นนี้นางเห็นมาเยอะแล้ว
คุณนายใหญ่พยักหน้า “เจ้าพูดมีเหตุผล ประเดี๋ยวข้าจะหาวิธีให้คนส่งจดหมายไปหาสือเหนียง เราช่วยนางได้ช่วงนี้ แต่ช่วยนางตลอดชีวิตไม่ได้ เรื่องนี้นางต้องเป็นคนตัดสินใจเอง”
สืออีเหนียงพยักหน้า
ไม่อยากพูดถึงเรื่องนี้อีก นางถามถึงอู่เหนียง “…กิจการของนางเป็นเช่นไรบ้างเจ้าคะ เจอกับข้าก็ไม่เห็นนางพูดอะไร”
ด้วยนิสัยของอู่เหนียง หากกิจการไปได้ดี นางคงจะพูดเกินจริงเป็นสิบเท่า
“สองวันก่อนขายร้านไปแล้ว” คุณนายใหญ่เสียใจ “ข้าแนะนำให้นางอดทนอีกสักหน่อย นางไม่ยอมฟัง บอกว่าเสียต้นทุนไปแล้วกว่าห้าร้อยตำลึง จะขายร้านให้ได้ โชคดีที่หลูหย่งกุ้ยเข้ามาช่วยเหลือ ช่วยนางหานายทุนคนหนึ่ง เห็นแก่หน้าจวนหย่งผิงโหวของเจ้า จึงขายไปได้สามร้อยตำลึง”
สืออีเหนียงได้ยินเช่นนี้ก็อดไม่ได้ที่จะส่ายหัว
อู่เหนียงใจร้อนเกินไปแล้ว เกรงว่ามันจะไม่ใช่สัญญาณที่ดี
นางถามถึงนายหญิงใหญ่ “แล้วเหตุใดจู่ๆ ท่านแม่ถึงอาการแย่ลงเช่นนี้เจ้าค่ะ”