สีหน้าของทั้งสองพลันเปลี่ยน สีหน้าแข็งกระด้างไม่ได้เอ่ยสิ่งใด
“…” เหล่าองครักษ์และหัวหน้าพ่อบ้าน
พวกเราคล้ายกับจะรู้บางสิ่งบางอย่าง แต่พวกเราไม่อาจเอ่ยออกมาได้
ออกมาจากประตูใหญ่จวนเยี่ยนอ๋อง หนานกงมั่วพาหลิ่วหันและซิงเวยเดินเที่ยวเล่นไปในเมืองโยวโจว เมืองโยวโจวยังคงไม่ต่างจากเดิมมากนัก แต่เมื่อมองดีๆ ก็เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงไปบ้าง เข้าไปในโรงน้ำชาแห่งหนึ่ง เดินขึ้นไปนั่งยังที่นั่งริมหน้าต่างชั้นสอง เพียงนั่งลงพลันได้ยินคนเอ่ยถึงพระชายารองคนใหม่ของเยี่ยนอ๋องผู้นั้น เห็นชัดว่าการเป็นชินอ๋องปกครองโยวโจวมายี่สิบกว่าปี เรื่องฉาวโฉ่กับสตรีนั้นมีน้อยจนน่าสงสาร ดังนั้นเมื่อมีข่าวเรื่องเยี่ยนอ๋องหลงใหลในสตรีจึงเป็นเรื่องประหลาด จนกระทั่งมีคนดาดเดาไปต่างๆ นานา พระชายารองกงผู้นี้เป็นนางฟ้านางสวรรค์ไม่อาจมีใครเทียบเทียมหรือไม่ ดังเช่นมัจฉาจมวารี ปักษีตกนภา จันทร์หลบโฉมสุดา มวลผกาละอายนาง เป็นหนึ่งในใต้หล้า คนงดงามต่างๆ ถูกยกมาชื่นชม ราวกับเคยเห็นหญิงงามอันดับหนึ่งผู้นี้กับตา
นอกจากนั้นยังมีคนติดตามสนใจสถานการณ์ของพระชายาเยี่ยนอ๋อง
“เยี่ยนอ๋องนั้นดูแล้วยังหนุ่ม พวกเจ้าว่าหากพระชายารองกงให้กำเนิดคุณชายขึ้นมา ตำแหน่งของพระชายาและซื่อจื่อ อีกทั้งคุณชายทั้งสองก็คง…”
“คงไม่แน่หรอกกระมัง พระชายาเยี่ยนอ๋องมีบุตรชายสามคน คุณชายใหญ่ก็ถูกแต่งตั้งเป็นซื่อจื่อ คุณชายทั้งสองยังถูกแต่งตั้งเป็นจวิ้นอ๋องแล้ว ต่อให้มีคุณชายน้อยจริงๆ กว่าจะเติบโตเป็นผู้ใหญ่อย่างไรก็ต้องใช้เวลาสิบกว่าปี” มีคนเอ่ยขึ้นอย่างไม่เชื่อ
“ดังนั้นถึงได้เอ่ยว่า เยี่ยนอ๋องยังหนุ่มอย่างไรเล่า” คนที่เปิดหัวข้อสนทนาเอ่ยขึ้น “ผ่านไปอีกสิบกว่าปีเยี่ยนอ๋องก็เพิ่งจะห้าสิบกว่า ไม่นับว่าแก่ใช่หรือไม่ ก็รู้ว่าอดีตฮ่องเต้ยังมีชีวิตอยู่ได้ตั้งเจ็ดสิบกว่า”
“…” ไยเจ้าจึงไม่เอ่ยว่าองค์รัชทายาทยังไม่ถึงห้าสิบก็ตายแล้วเล่า
“เหอะๆ จวนเยี่ยนอ๋องจะเป็นเยี่ยงไรไหนเลยประชาชนเล็กๆ เช่นเราจะคาดเดาได้ ดื่มชาๆ” มีคนเอ่ยขึ้นกลั้วเสียงหัวเราะ ทุกคนเริ่มเห็นด้วยราวกับลืมหัวข้อสนทนาเมื่อครู่ไป เริ่มเอ่ยถึงเรื่องราวที่ชายแดนต่อ
รอจนคนบนโต๊ะนั้นแยกย้ายกลับไป หนานกงมั่วส่งสายตาให้กับซิงเวยที่นั่งอยู่ตรงข้ามตนเอง ซิงเวยพยักหน้าน้อยๆ ลุกขึ้นและเดินลงไป
หลิ่วหันมองหนานกงมั่ว เอ่ยเสียงเบา “จวิ้นจู่สงสัยคนเหล่านี้…” หนานกงมั่วดื่มชา เอ่ยเสียงเรียบ “รู้ว่าไม่ควรเอ่ย ยังเอ่ยเสียงดังเพียงนั้น เห็นชัดว่าเอ่ยให้คนอื่นฟัง ให้คนไปสืบดูว่าเป็นใครมาจากไหน”
หลิ่วหันเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “จวิ้นจู่มีแผนในใจแล้วหรือเจ้าคะ” หนานกงมั่วพยักหน้าเบาๆ ยิ้มบางๆ ไม่เอ่ยสิ่งใด
“จวิ้นจู่” ชวีเหลียนซิงเดินขึ้นมา มองเห็นหนานกงมั่วและหลิ่วหันกำลังนั่งดื่มชาอยู่ริมหน้าต่าง ใบหน้างามเผยรอยยิ้มขึ้นมา เอ่ย “ข้ายุ่งทำนั่นนี่มาตั้งแต่เช้า จวิ้นจู่กลับมานั่งดื่มชาอยู่ที่นี่กับหลิ่วหันหรือเจ้าคะ”
หนานกงมั่วเอ่ยกลั้วเสียงหัวเราะ “ผู้มีความสามารถมีงานมาก เป็นอย่างไร”
ชวีเหลียนซิงหยิบกระดาษหนึ่งแผ่นออกมาส่งให้หนานกงมั่ว เอ่ย “เป็นดั่งที่จวิ้นจู่คาดการณ์เอาไว้เจ้าค่ะ หลายวันมานี้มีคนภายนอกมาทำกิจกรรมในเมืองโยวโจวมากมาย ให้คนสืบมาได้บ้างแล้ว ที่เหลือกำลังสืบอยู่เจ้าค่ะ ข้าสั่งให้คนลอบติดตามคนเหล่านี้แล้ว เพียงแต่…คนของเราเกรงว่าจะไม่เพียงพอ” หนานกงมั่วเอ่ย “คนไม่พอก็ไปเอาจากจวนเยี่ยนอ๋อง บอกกับหัวหน้าผู้ดูแลก็พอ”
“เอ่อ…” ชวีเหลียนซิงลังเล เอ่ย “จวิ้นจู่บอกว่ากงเสี่ยวเตี๋ยผู้นั้นมีปัญหาบางอย่างมิใช่หรือเจ้าคะ ยามนี้เยี่ยนอ๋องโปรดปรานชายารองกงมาก แม้แต่พระชายายังโดนหักหน้า พวกเราไปเอาคนจากจวนเยี่ยนอ๋อง จะไม่…”
หนานกงมั่วยิ้ม เอ่ย “ไม่ต้องกังวล เจ้าเพียงบอกกับหัวหน้าผู้ดูแลก็พอ เขาจะจัดการให้เอง หากเกิดปัญหาขึ้นมาจริงๆ…พวกเราจะได้รับมือได้ง่ายๆ”
เห็นชัดว่าหลีกเลี่ยงปัญหาได้ ไหนเลยต้องรับมือกับปัญหาเล่า
หนานกงมั่วเอ่ยอย่างจนใจ “หญิงโง่ ที่นี่คือโยวโจว ไม่มีความช่วยเหลือจากจวนเยี่ยนอ๋องเราไม่อาจทำอะไรให้สำเร็จได้ หากแม้แต่คนของจวนเยี่ยนอ๋องยังไม่ได้ พวกเราคงต้องรีบเก็บของหนีแล้ว”
ชวีเหลียนซิงมึนงง รีบพยักหน้าเอ่ย “ข้าเข้าใจความหมายของจวิ้นจู่แล้วเจ้าค่ะ ข้าจะกลับไปจัดการตอนนี้”
หนานกงมั่วอ่านกระดาษในมือให้ละเอียดอีกครั้ง ถอนหายใจเบาๆ เอ่ย “ดูเหมือนว่า จินหลิงคงจะมั่นคงแล้ว”
“นั่นสิเจ้าคะ” ชวีเหลียนซิงเอ่ย “หากไม่ใช่เพราะเมืองหลวงจัดการได้แล้ว คนผู้นั้นจะมีเวลาว่างมายุ่งกับโยวโจวได้หรือเจ้าคะ”
หนานกงมั่วโคลงถ้วยชาในมือ เช่นนั้นก็คง…บังเอิญแล้ว” เซียวเชียนเยี่ยกำลังจะยื่นมือเข้ามายุ่งกับโยวโจว เยี่ยนอ๋องพลันพบกับรักแท้ นี่เป็นกับดักที่เซียวเชียนเยี่ยวางเอาไว้หรือเป็นคนอื่นกัน
“จวิ้นจู่ ตอนนี้พวกเราทำอย่างไรดีเจ้าคะ ต้องเขียนจดหมายหาคุณชายหรือไม่” สีหน้าของชวีเหลียนซิงหนักอึ้งขึ้นมาพลางเอ่ยถาม นางเองสัมผัสได้ว่าสถานการณ์ตอนนี้ไม่ธรรมดา เยี่ยนอ๋องนั้นเป็นดั่งเสาหลักของโยวโจว เพียงมีเขาอยู่ทุกอย่างก็จะมั่นคง ทว่าตอนนี้เยี่ยนอ๋องกลับเป็นเช่นนี้ ไม่แปลกที่หัวใจคนนอกจะแกว่งไกว
หนานกงมั่วส่ายศีรษะตอบ “ยังไม่ถึงขั้นนั้น กลับไปเชิญเสด็จแม่ไปคุยกับเสด็จป้า ให้เชียนชื่อมั่นคงเอาไว้ ในเมื่อเสด็จลุงเกิดปัญหา เขาที่เป็นซื่อจื่อจะต้องปลุกความกล้าของตนขึ้นมา เขาไม่ปั่นป่วน ผู้ใต้บัญชาเองก็จะไม่ปั่นป่วน สองพี่น้องตระกูลกงนั่น ช่วงนี้คงไม่มีเวลาออกมาป่วนได้”
“เจ้าค่ะ จวิ้นจู่” เอ่ยถึงสองพี่น้องตระกูลกงนั่น ชวีเหลียนซิงก็กระตุกยิ้มหยันอย่างอดไม่ได้ เอ่ย “ได้ยินมาว่าจวิ้นจู่เพิ่งโบยสองคนนั้นไป คนจวนเยี่ยนอ๋องต่างพากันเปรมปรีดิ์เป็นที่สุดเลยเจ้าค่ะ”
หนานกงมั่วเลิกคิ้ว “ข่าวช่างไปเร็วเหลือเกิน สองคนนั้นดูแล้วมิได้มีความสามารถอันใด ข้าไม่สนว่าพวกเขาจะธรรมดาจริงหรือเสแสร้ง ตลอดสองเดือนนี้ข้าไม่อยากเห็นเขาเดินไปไหนมาไหนนอกจากนอนป่วยอยู่บนเตียง คนที่เข้าใกล้พวกเขาก็จับตาเอาไว้”
ชวีเหลียนซิงพยักหน้า “เข้าใจแล้วเจ้าค่ะ” รอจนบาดแผลของพวกเขาดีขึ้นก็รอให้คนโบยอีกสักรอบ ดีขึ้นอีกครั้งก็โบยอีกครั้ง… “แล้วพระชายารองกงเล่า”
“ในเมื่อนางชอบที่จะเป็นแม่ดอกบัวขาว ก็ให้นางเป็นดอกบัวขาวต่อไปเถิด คิดเสียว่าเสด็จลุงกำลังเลี้ยงแมวสูงศักดิ์สักตัว”
“…” เยี่ยนอ๋องอุ้มแมวน้อยสีขาว…ภาพนี้น่าดูหรือ โดยเฉพาะ บนศีรษะของแมวน้อยสีขาวตัวนี้ยังปักดอกบัวสีขาวเอาไว้ด้วย ชวีเหลียนซิงคิดว่ากำลังพ่ายแพ้ให้กับจินตนาการของตนเองแล้ว ใบหน้าเล็กบิดเบี้ยวขึ้นมา
ไม่นานซิงเวยก็กลับมา เพียงเดินเข้ามาใกล้หนานกงมั่วพลันได้กลิ่นคาวเลือดจางๆ หลิ่วหันเองก็เงยหน้ามองเขา หนานกงมั่วย่นคิ้ว เอ่ย “ตายแล้วหรือ”
ซิงเวยส่ายศีรษะ
เช่นนั้นคงใกล้ตายแล้ว เพียงได้กลิ่นคาวเลือดก็รู้แล้วว่ามีการนองเลือดมากเพียงใด
“คนจากที่ใด” หนานกงมั่วเอ่ยถาม ซิงเวยเอ่ยเสียงเรียบ “ผู้ว่าการเมืองโยวโจวขอรับ”
หนานกงมั่วไม่ตกใจแม้เพียงนิด และไม่โกรธอันใด เพียงถอนหายใจ “ผู้ว่าการเมืองโยวโจว…ไม่ง่ายเลยสินะ” มาเป็นขุนนางในถิ่นของคนอื่นยังลอบว่าร้ายต่อเจ้านายอีก ผู้ว่าการเมืองโยวโจวเองก็ทำงานหนักแล้ว
หนานกงมั่วลุกขึ้นมา โบกมือให้ทั้งสาม เอ่ย “วันนี้ไม่มีอันใดแล้ว กลับเถิด”
จวนผู้ว่าการเมืองโยวโจว
ในห้องหนังสือ ผู้ว่าการเมืองโยวโจวโบกมือให้ชายตรงหน้าถอยออกไป เงยใบหน้าที่มีสีหน้าไม่สู้ดีขึ้นมามองไปยังเงาของชายผู้หนึ่ง เพียงฟังชายผู้นั้นเอ่ยออกมาอย่างเกียจคร้าน “อย่างไร ตายแล้วหรือ”