ใต้หน้ากากซูเปอร์สตาร์ใต้หน้ากากซูเปอร์ส
“ตอนจบคืออะไรครับ”
“…ก็คงจะได้กลับไปอย่างสงบสุข”
หัวหน้าทีมชาชี้ไปที่โรงพยาบาล แม้จะพยายามทำใจให้สงบแล้ว แต่ปลายนิ้วของเขาก็ยังสั่น ถ้าหากเป็นอีอูยอนแล้วล่ะก็ คงสามารถผลักคนให้ตกบันไดด้วยสีหน้าเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“แต๊ง”
อีอูยอนแจ้งให้รู้ว่ามันเป็นคำตอบที่ผิดด้วยน้ำเสียงสดใส จากนั้นศูนย์ถ่วงน้ำหนักของรถเข็นก็เทไปด้านหน้า ตายแน่ หัวหน้าทีมชาหลับตาแน่นพลางก่นด่ากรรมการผู้จัดการคิมที่พาคนที่ไม่มีอะไรดีเลยคนนี้เข้ามาจนเกิดปัญหานี้ขึ้น แต่ร่างกายที่คิดว่าจะร่วงลงไปด้านล่างกลับหยุดอยู่แบบนั้น พอหันหลังกลับไปมองก็พบว่าอีอูยอนกำลังจับไหล่ของตนไว้
“อย่าบอกนะครับว่าหัวหน้าทีมเชื่อจริงๆ ว่าผมจะผลักคุณลงไป”
“…”
ก็ต้องเชื่ออยู่แล้วล่ะครับ
“เห็นผมเป็นคนยังไงเนี่ย”
“จะเห็นว่าเป็นอะไรล่ะ ก็แค่เห็นว่าเป็นนายน่ะสะ…ฮ่าๆ”
อีอูยอนจับรถเข็นให้ตั้งตรงพร้อมเผยยิ้มอย่างสุดแสนจะมีเมตตา
“คุณอินซอบมานั่นแล้วครับ”
เขาเห็นรูปร่างรางๆ ที่เหมือนกับอินซอบกำลังเดินเข้ามาจากทิศทางที่อีอูยอนชี้ไป
“ผมขอตัวก่อนนะครับ ห้ามพูดเด็ดขาดเลยนะครับว่าผมมา ถ้าคุณพูดละก็…”
อีอูยอนบีบไหล่หัวหน้าทีมชาเบาๆ
“ไว้ผมจะมาเยี่ยมใหม่นะครับ”
“…”
หัวหน้าทีมชาพยักหน้าด้วยสีหน้าเหม่อลอย อีอูยอนตบไหล่หัวหน้าทีมชาเบาๆ หลังได้รับคำตอบที่พอใจ
“ขอให้หายเป็นปกตินะครับ”
เสียงฝีเท้าค่อยๆ ห่างออกไป และในตอนที่หันหลังกลับไปมอง เขาก็ไม่เห็นร่างของอีอูยอนแล้ว ตอนนั้นเองหัวหน้าทีมชาถึงได้รู้ว่าชุดคนป่วยของตัวเองเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ
[ผมอยู่ที่ล็อบบี้โรงแรมนะครับ อีกเดี๋ยวผมจะขึ้นไป]
อีอูยอนได้รับข้อความตอบกลับในทันที
[ครับ! ขึ้นมาเลยครับ]
เขารู้สึกเหมือนได้ยินน้ำเสียงรีบร้อนของอินซอบจากข้อความ อีอูยอนเป็นฝ่ายมาถึงโรงแรมก่อน เขาดูให้แน่ใจว่าอินซอบขึ้นลิฟต์ไปแล้ว และส่งข้อความไปหาหลังจากเวลาผ่านไปไม่นาน
อีอูยอนเข้ามาในลิฟต์ แตะคีย์การ์ดและกดหมายเลขชั้นของห้องพัก
อีกฝ่ายบอกว่าไม่อยากอยู่ที่นี่
ถ้าหากเป็นอาการคิดถึงบ้านล่ะก็ แค่นั่งเครื่องบินไป-กลับอเมริกาสักสองสามครั้งก็จบแล้ว แต่นี่เป็นปัญหาที่ต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง และเป็นปัญหาที่เขาไม่เคยคิดถึงมาก่อน
อีอูยอนกอดอกพลางใช้นิ้วเคาะแขนอีกข้าง เขานึกถึงคำพูดของหัวหน้าทีมชาที่ถามว่า ‘เขาคงรู้สึกกังวลมากเพราะอีกฝ่ายคือนายล่ะมั้ง’ คำพูดนั้นไม่ผิดเลยสักนิด เพราะขนาดตัวเขาเองยังคิดว่าตนเป็นคนที่ไม่อาจเชื่อใจได้เลย
ชวนให้ไปอยู่ที่อเมริกาด้วยกันสักพักจะดีกว่าไหมนะ…ไม่สิ
อีอูยอนเดาะลิ้นเบาๆ
แม้จะเป็นวิธีที่ดีที่จะบรรเทาความกังวลใจของอินซอบ แต่ก็เป็นวิธีที่อันตรายที่สุดด้วยเช่นกัน คนในครอบครัวของอินซอบเต็มเปี่ยมไปด้วยความรักและเลิศเลอจนเขารู้สึกไร้ประโยชน์ อินซอบเป็นคนขี้เหงาและชอบทำตัวเหมือนเด็ก เขาต้องเป็นที่พึ่งหนึ่งเดียวของอีกฝ่ายให้ได้ ถ้าเขาเผลอยอมให้เจ้าตัวได้พบกับครอบครัวในสถานการณ์แบบนี้ นั่นอาจกลายเป็นสาเหตุที่ทำให้อินซอบอยู่ที่อเมริกาไปสักพักก็เป็นได้
แล้วจะทำยังไงดีล่ะ
จากนั้นลิฟต์ก็ขึ้นมาถึงชั้นที่เขากดไว้โดยไม่รู้ตัว อีอูยอนคิดทบทวนความคิดต่างๆ ที่อยู่ในหัวอย่างรอบคอบขณะที่เดินไปตามทางเดิน แต่คำตอบที่ใช่กลับไม่โผล่มา เขาไม่สบอารมณ์เอาเสียเลย หลังจากใช้คีย์การ์ดเปิดประตูเข้าไป เขาก็มองเห็นแผ่นหลังของอินซอบซึ่งตกใจจนสะดุ้งโหยง และเดินไปนั่งที่โซฟา
“ผมมาแล้วครับ”
อีอูยอนจงใจส่งเสียงกระแอมออกไปให้รู้
“ครับ กลับมาแล้วเหรอครับ”
เสื้อผ้าของอินซอบถูกพับไว้อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยบนโต๊ะ
“เห็นว่าเมื่อกี้คุณบอกให้เขาเอาเสื้อผ้าที่ซักเสร็จแล้วมาให้น่ะครับ”
เมื่อเห็นว่าสายตาของอีอูยอนจ้องไปที่เสื้อผ้า ชเวอินซอบจึงพึมพำออกมาเหมือนแก้ตัว ที่จริงแล้วอีอูยอนได้เตือนพนักงานไว้แล้วว่าห้ามเอาเสื้อผ้าที่ซักเสร็จแล้วมาก่อนที่จะเขาร้องขอ แม้จะสั่งอาหารทางรูมเซอร์วิสได้ แต่อินซอบที่ยุ่งอยู่กับการซ่อนกลับไม่รู้ว่าต้องโทรศัพท์ไปขอเสื้อผ้าที่ซักเสร็จแล้วเอง
บางครั้งอีกฝ่ายก็เก่งในเรื่องการทำอะไรที่ไม่จำเป็น และทำให้เขาหงุดหงิด
อีอูยอนเอียงคอจ้องมองอินซอบพร้อมกับยื่นมือออกไป
“…!”
“ทำไมถึงใส่เสื้อผ้าแบบนี้ล่ะครับ มันจะทำให้คุณเป็นหวัดนะ”
อินซอบอยู่ในสภาพที่ไม่สามารถติดชายของเสื้อคลุมอาบน้ำให้ทับกันอย่างเรียบร้อยได้ ดูเหมือนเจ้าตัวจะเปลี่ยนชุดอย่างรีบร้อน หลังจากได้ยินเสียงของอีอูยอนที่กลับมา
“ขอโทษ…ครับ”
พออีอูยอนผูกเชือกของเสื้อคลุมให้เรียบร้อย อินซอบก็ทำตัวไม่ถูกด้วยความเกรงใจ
“แล้วนั่นอะไรอีกล่ะครับ”
“อะไรเหรอครับ”
อีอูยอนชี้ไปที่เท้า ตอนนั้นเองอินซอบถึงได้รู้ว่าความจริงแล้วตัวเองไม่ได้ถอดถุงเท้า
“เอ่อ คือ เท้าผมเย็นน่ะครับ ก็เลยเอาถุงเท้าออกมา…”
ถ้าไปออกรายการแข่งโกหก ชเวอินซอบคงตกรอบตั้งแต่รอบคัดเลือกเป็นแน่ อีอูยอนมองอินซอบนิ่งๆ ก่อนจะกอดเอวของอีกฝ่ายไว้และอุ้มขึ้นมา
“เราต้องไปกันแล้วนะครับ ได้เวลาเช็กเอ้าท์แล้ว”
“ไม่เป็นไรหรอกครับ เช็กเอ้าท์สายได้”
อีอูยอนอุ้มอินซอบขึ้นและพาไปที่เตียงก่อนจะจับให้นอนลง จากนั้นเขาก็กอดอินซอบเอาไว้และฝังหน้าลงกับแผ่นอกของอีกฝ่ายโดยไม่พูดอะไร การกระทำที่ดูไม่สมกับเป็นอีอูยอนนี้ทำให้อินซอบต้องเอ่ยเรียก
“เกิดเรื่องอะไรขึ้นเหรอครับ”
“เปล่าครับ”
อินซอบลูบหัวอีอูยอนอย่างลังเลใจ
“ไม่ได้รู้สึกไม่สบายตรงไหนใช่ไหม …ผมเป็นห่วงนะครับ”
ชเวอินซอบเป็นคนที่รู้ดีที่สุดว่าเรี่ยวแรงของอีอูยอนเป็นอย่างไร เขาทั้งเฝ้ามองอยู่ข้างๆ และได้ประสบพบเจอด้วยตัวเอง แต่ถึงกระนั้นเพราะคำว่าเหนื่อยคำเดียวก็ทำให้อินซอบเป็นห่วงอีอูยอนได้โดยไม่มีแม้แต่ความสงสัย
เขาไม่มีความทรงจำเกี่ยวกับการถูกถามว่ารู้สึกไม่สบายตรงไหนหรือเปล่า แม้กระทั่งจากแม่ของตัวเอง ถึงจะรู้ว่าคนที่ชื่ออีอูยอนเป็นสัตว์ร้ายน่ากลัวขนาดไหน แต่อินซอบก็ยังกอดเขาไว้อย่างไม่ลังเลทุกครั้ง
“ดูเหมือนจะเหนื่อยนิดหน่อยน่ะครับ”
“ต้องกินยาหรือเปล่าครับ ไปโรงพยาบาลดูไหมครับ”
“ถ้าได้อยู่แบบนี้ก็เหมือนจะไม่เป็นอะไรแล้วล่ะครับ”
อีอูยอนกระชับอ้อมแขนที่กอดอินซอบไว้ อินซอบสังเกตสีหน้าของอีอูยอนพร้อมกับทำสีหน้าเป็นกังวล อีอูยอนเอ่ยเรียกเขาว่า ‘คุณอินซอบครับ’ ด้วยเสียงทุ้มต่ำ ส่วนอินซอบก็ลูบผมอีอูยอนอย่างระมัดระวังราวกับปฏิบัติต่อชิ้นงานที่บอบบาง
“ถ้ารู้สึกไม่สบายมากก็บอกนะครับ ผมจะพาคุณไปโรงพยาบาลเอง”
อีอูยอนพยักหน้า
และตอนนั้นถุงเท้าที่อินซอบสวมอย่างไม่เข้าคู่กันก็โผล่เข้ามาในสายตา ความหงุดหงิดที่เกิดขึ้นจนเขารู้สึกปวดหัวตุบๆ คลายลงในเวลาแค่ชั่วครู่ เขาหัวเราะออกมา
“คุยเรื่องที่คุยกันไว้เมื่อกี้ต่อดีไหมครับ”
“เรื่องอะไรเหรอครับ”
“ก็เรื่องที่ผมตัดสินใจว่าจะกลับมา และพูดก่อนว่าผมชอบคุณอินซอบแค่ไหนไงครับ”
“ยะ อย่างนั้นเหรอครับ”
“ความจริงแล้วผมไม่ชอบให้ใครมาลูบหัวมากๆ เลยครับ”
มือของอินซอบหยุดลง แต่อีอูยอนกลับเอาหัวของตัวเองมาแตะไว้ที่มือของอินซอบราวกับจะสั่งให้ลูบต่อ
“…ก็คุณบอกว่าไม่ชอบนี่ครับ”
“ไม่ชอบถ้าเป็นคนอื่นครับ เพราะฉะนั้น…ช่วยลูบต่อไปเรื่อยๆ ด้วยนะครับ”
อินซอบลูบผมของอีอูยอนเบาๆ อีกครั้ง
อีอูยอนหลับตาลงทั้งที่ยังกอดเอวของอินซอบไว้ เขาไม่สามารถมั่นใจได้เลยว่าความรู้สึกที่ตนเองรู้สึกนั้นใช่ความรักที่คนทั่วไปรู้สึกหรือเปล่า
แต่มีสิ่งหนึ่งที่เขามั่นใจ
“คุณอินซอบ”
อินซอบตอบรับว่า ‘ครับ’ ให้กับเสียงเรียกของอีอูยอน
“เก็บพาสปอร์ตไว้ที่ไหนเหรอครับ”
ว่าแม้กระทั่งผมแม้แต่เส้นเดียวของชเวอินซอบเขาก็ไม่สามารถยกให้ใครได้
ไม่ได้โดยเด็ดขาด
***
“จะเอาพาสปอร์ตไปเหรอครับ”
“ครับ ใช่ครับ”
อินซอบหยิบซองน้ำตาลออกมายื่นให้
“แล้วบัตรประชาชนล่ะครับ”
“ผมใส่ไว้ในนี้ทั้งหมดเลยครับ”
อีอูยอนขอพาสปอร์ตและบัตรประชาชนของอินซอบด้วยข้ออ้างว่าอาจต้องไปถ่ายนิตยสารที่ต่างประเทศเร็วๆ นี้ก็ได้
“ถ้าต้องการเอกสารอื่นๆ ก็บอกนะครับ ผมจะได้เตรียมเอาไว้ให้”
พอสบเข้ากับดวงตาที่สดใส และไม่มีความระแวงอยู่เลยสักจุดเดียว อีอูยอนก็แอบทำตายิ้ม อินซอบเป็นคนที่มอบให้ได้แม้กระทั่งหัวใจของตัวเอง ถ้าอีอูยอนบอกว่าต้องการ ไม่สิ ตอนที่มอบหัวใจให้ อีกฝ่ายอาจจะพูดเสริมว่าให้ระวังตัวด้วยซ้ำ
“ถ้าต้องการเอกสารอะไรอีก ผมจะบอกนะครับ”
อีอูยอนรับซองเอกสารมา และคิดว่าจะเก็บมันไว้ในตู้นิรภัยสักพักหนึ่ง
“งั้นจะออกเดินทางแล้วนะครับ”
อินซอบว่าพลางหมุนพวงมาลัย วันนี้ไม่ใช่ตารางที่เป็นทางการ เขาจึงไม่ได้ใช้รถตู้ และต้องมาขับรถยนต์ของอีอูยอนแทน อีอูยอนซึ่งนั่งพิงกระจกรถอยู่ตรงที่นั่งข้างคนขับจ้องมองอินซอบอย่างเหม่อลอย
“ทำไมถึงจ้องแบบนั้นล่ะครับ”
“ผมกำลังมองของของผมอยู่นี่ครับ ไม่ได้เหรอ”
“การพูดแบบนั้นข้างนอกมัน…”
“ตรงนี้ไม่ใช่ข้างนอกสักหน่อยนี่ครับ มีแค่เราสองคนในรถเท่านั้น ใครจะมาได้ยินล่ะครับ”
“ก็ต้องระวังอยู่เสมอนะครับ เราไม่มีทางรู้ได้เลย”
อินซอบเม้มปากแน่นพร้อมกับทำสีหน้าจริงจังอย่างต่อเนื่อง
“เข้าใจแล้วครับ ผมจะทำอย่างที่คุณอินซอบพูด”
อินซอบเหลือบมองอีอูยอนที่ตอบอย่างง่ายดายผิดปกติ
“ทำไมเหรอครับ”
คราวนี้เป็นอีอูยอนที่เอ่ยถาม
“เปล่าครับ…ยังเหนื่อยอยู่ไหมครับ”
อีอูยอนหัวเราะ
แม่งเอ๊ย น่ารักฉิบหายเลยว่ะ
“ไม่เหนื่อยแล้วครับ”
อีอูยอนกดความต้องการที่อยากจะจอดรถเสียเดี๋ยวนั้น และเสียบแก่นกายของตัวเองเข้าไปตรงหว่างขาของอินซอบเอาไว้ และยิ้มอย่างสดใส
“โล่งอกไปทีนะครับ ผมเป็นห่วงมากเลย”
อินซอบมองด้านหลังด้วยกระจกมองหลังและเห็นช่องทางเดินรถ
“เฮ้อ ไม่รู้ทำไมผมถึงรู้สึกดีขนาดนี้เวลาที่คุณอินซอบเป็นห่วงผม”
อีอูยอนว่าพลางเอนศีรษะพิงเบาะที่นั่งข้างคนขับรถ
“ผมว่าการที่ไม่ต้องเป็นห่วงน่าจะดีกว่านะครับ”
แม้จะเป็นคำตอบที่แกล้งทำเป็นเคร่งขรึม แต่เขาก็เห็นต้นคอที่แดงซ่านของอินซอบผ่านช่องว่างระหว่างคอกับเสื้อเชิ้ต อีอูยอนสอดนิ้วเข้าไปในช่องว่างนั้น เขาดึงเบาๆ พร้อมกับเอ่ยถามว่า ‘ไม่ร้อนเหรอครับ’
“ไม่เป็นไรครับ อย่าแกล้งสิครับ มันอันตรายนะ ผมกำลังขับรถอยู่”
อินซอบรีบจัดปกเสื้อเชิ้ตให้เข้าที่พลางเอ่ย อีอูยอนเก็บมือกลับมาพลางครุ่นคิดว่าควรจะบอกอีกฝ่ายดีหรือไม่ว่าตนไม่ได้แกล้ง แต่กำลังแสดงผลงานชิ้นเอกอยู่ต่างหาก เขากอดอกและเอนตัวพิงเบาะรถก่อนจะหลับตาลง
“ถ้าถึงแล้วให้ผมปลุกไหมครับ”
“ผมไม่นอนหรอก”
อีอูยอนลืมตาขึ้นพร้อมกับเอ่ยตอบ
“นอนเถอะครับ ถ้าคุณเกิดเหนื่อยขึ้นมาอีกจะทำยังไงล่ะครับ ตารางงานวันนี้มีตั้งสองที่เลยนะ”
สำหรับนักแสดงแล้วถ้าไม่ได้เข้าร่วมผลงานอะไรก็จะไม่มีตารางงานจนเรียกได้ว่าเป็นการหยุดพัก แต่ถ้ามีผลงาน หรือภาพยนตร์เริ่มฉายก็จะยุ่งจนไม่มีเวลาหายใจ
“แค่สัมภาษณ์สองรอบเองครับ”
“ได้ลองอ่านคำถามล่วงหน้าที่ผมส่งให้เมื่อวานหรือยังครับ”
อินซอบวิเคราะห์เกี่ยวกับภาพยนตร์ และเขียนอธิบายเกี่ยวกับตัวละครได้ดีพอที่จะเขียนเป็นวิทยานิพนธ์ และส่งให้อีอูยอนทางอีเมล อีอูยอนยิ้มโดยไม่พูดอะไรให้กับความซื่อตรงของผู้จัดการที่แสนจะเสมอต้นเสมอปลาย
อินซอบเชื่อว่าคนที่สัมภาษณ์สงสัยในเรื่องนั้นจริงๆ และรู้สึกตื่นเต้นมาก ทว่าคำถามที่อีอูยอนจะได้รับในวันนี้แน่นอนว่าต้องเป็นคำถามที่ว่าเขาเจอกับแชยอนซอได้อย่างไร ทำไมถึงคบกัน และอาจจะให้พูดถึงผู้หญิงคนนั้นด้วย
“ครับ ผมลองอ่านแล้ว ช่วยได้มากเลยล่ะครับ”
“งั้นก็ดีเลยครับ คุณนอนสักพักเถอะครับ เดี๋ยวอีกยี่สิบนาทีผมจะปลุกคุณเอง”
แม้จะไม่ง่วง แต่อีอูยอนก็หลับตาลงตามเดิมเพราะอินซอบบอกให้ทำแบบนั้น ยี่สิบนาทีต่อมาอินซอบก็จอดรถหลังจากขับมาถึงคาเฟ่ย่านพันกโย
“ถึงแล้วครับ”
สัมผัสจากมือที่กำลังเขย่าปลุกอย่างระมัดระวังนั้นดีเสียจนอีอูยอนจงใจไม่ยอมลืมตา
“คุณอูยอน ถึงแล้วนะครับ …หลับอยู่เหรอครับ”
“ครับ ผมกำลังนอนอยู่”
อีอูยอนตอบทั้งที่ยังหลับตา ในระหว่างที่อินซอบกำลังครุ่นคิดว่าต้องตอบรับการแกล้งเล่นของอีกฝ่ายอย่างไรดี อีอูยอนก็ลืมตาขึ้นมา
“ไม่รู้จักวิธีปลุกเจ้าหญิงนิทราเหรอครับ”
“…ถ้าตื่นแล้วก็รีบไปสิครับ”
แม้คำว่าเจ้าหญิงจะเป็นคำนามที่ใช้ชี้ถึงเพศหญิง แต่อินซอบกลับคิดว่าการแปะคำนั้นเข้ากับอีอูยอนก็ไม่ใช่เรื่องที่ผิดแปลกอะไรเลย อีอูยอนยิ้มพลางปลดตัวล็อกของเข็มขัดนิรภัยก่อนจะลงจากรถ เมื่อพบว่าอินซอบไม่ขยับตามมา อีกฝ่ายก็หันกลับมาทันที
“ไม่ไปด้วยกันเหรอครับ”
“ผมจะรออยู่ในรถครับ”
“ข้างในมีคาเฟ่นะครับ จะรอในรถทำไมล่ะ ลำบากเปล่าๆ”
“ไม่เป็นไรครับ รีบไปเถอะครับ”
อีกแล้ว
แม้จะรู้สึกได้ว่าอินซอบกำลังขีดเส้นกั้นอย่างประหลาด แต่อีอูยอนก็พยักหน้าโดยไม่พูดอะไร
“ถ้ามีอะไรก็ติดต่อมานะครับ”
“ครับ”
อีอูยอนปิดประตูรถก่อนจะหายเข้าไปในร้าน
ตาร์