รู้สึกตัวอีกที ข้าก็เป็นเซียนซะแล้ว [原來我是世外高人] – บทที่ 175 ไม่แสดงฝีมือก็ไม่เท่าไร แต่พอแสดงออกมากลับทำให้ผู้คนประหลาดใจ

บทที่ 175 ไม่แสดงฝีมือก็ไม่เท่าไร แต่พอแสดงออกมากลับทำให้ผู้คนประหลาดใจ

บทที่ 175 ไม่แสดงฝีมือก็ไม่เท่าไร แต่พอแสดงออกมากลับทำให้ผู้คนประหลาดใจ

ทำเป็นจมูกหมูที่มีต้นหอมเสียบอยู่*[1] นี่สือเฟิงพยายามเสแสร้งเป็นช้างต่อหน้าพวกเขาหรือ?

ความภาคภูมิแห่งสวรรค์ที่ตกลงมาจากแท่น ชายผู้ถูกลืมเลือนไปอย่างรวดเร็ว ยังกล้าที่จะชี้นิ้วสั่งผู้อื่นอีกหรือ?

เจ้าสำนักหยวนอี ยอดฝีมือ รวมถึงบุตรศักดิ์สิทธิ์แห่งแดนศักดิ์สิทธิ์เฟิงหลินและลูกรักสวรรค์ต่างรู้สึกว่ามันน่าขบขันยิ่ง

เกรงว่าสือเฟิงจะบ้าไปแล้วจริง ๆ…

“เอาเช่นนี้แล้วกัน พวกเราถอยคนละก้าว พวกท่านสี่ พวกข้าสี่”

บุตรศักดิ์สิทธิ์แห่งแดนศักดิ์สิทธิ์เฟิงหลินไม่ได้สนใจสือเฟิง เขาหันไปกล่าวกับเจ้าสำนักหยวนอีและยอดฝีมือของแดนบูรพาทิศ

สือเฟิงนับเป็นผู้ใดกัน ไยจึงต้องสนใจด้วย…

หากว่าสือเฟิงยังคงยุ่งด้วยอีก ก็เพียงฆ่าเขาเสีย

“ตกลง!”

เจ้าสำนักหยวนอีครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพยักหน้าตอบ

มีสี่ฝ่ายที่ต้องการนี่นับว่าไม่ง่ายเลย

หากพวกเด็ก ๆ ดึงดันอยู่ที่นี่ต่อไป เหล่าผู้ฝึกตนต่างฝ่ายต่างย่อมไม่อ่อนข้อให้แก่กัน แต่ก็จะไม่มีผู้ใดตัดสินได้ด้วย…

“พวกเราออกไปประลองกันเลยดีกว่า ผู้ใดชนะคนนั้นก็นำเด็กกลับไป”

บุตรศักดิ์สิทธิ์แห่งแดนศักดิ์สิทธิ์เฟิงหลินกล่าวกับคนอื่น ๆ

“ดี!”

หลังจากนั้น ลูกรักสวรรค์และคนอื่น ๆ ก็ทะยานออกมานอกพรรคจื่อเสีย

“พวกเราลองมาประลองกัน”

เจ้าสำนักหยวนอีกล่าว แล้วเหาะเหินออกไปด้านนอกพรรคจื่อเสีย พร้อมกับกลุ่มยอดฝีมือของเเดนบูรพาทิศ

พวกเขาไม่กล้าที่จะจัดการประลองภายในพรรคจื่อเสีย เพราะเกรงว่าจะไปโดนเด็ก ๆ เข้า

“พี่เฟิง ข้าไม่อยากไปกับพวกเขา!”

อ้ายฉานดึงเสื้อของสือเฟิง และมองไปที่สือเฟิงด้วยนัยน์ตาที่น่าสงสาร

“ฉานเอ๋อร์ไม่ต้องกังวลไป พี่พูดแล้วว่าจะไม่มีผู้ใดมาบังคับให้เจ้าทำในสิ่งที่เจ้าไม่ชอบ”

สือเฟิงลูบหัวของเด็กหญิงพลางเอ่ยต่อไปอีก “คุณชายชอบเจ้ามาก เพราะฉะนัั้นชีวิตของเจ้า เจ้าสามารถทําอะไรก็ได้ที่เจ้าต้องการ…”

สิ้นคำ เด็กหนุ่มก็ออกไปข้างนอกพรรคจื่อเสีย

“จะประลองอย่างนั้นหรือ? เช่นนั้นก็เพิ่มข้าเข้าไปด้วยอีกคน”

ใบหน้าของสือเฟิงยามนี้เรียบนิ่ง เขาเดินเข้าไปหาเจ้าสำนักหยวนอีและยอดฝีมือแดนบูรพาทิศ

การต่อสู้ระหว่างพวกเขาได้เริ่มขึ้นแล้ว พลังปราณต่าง ๆ ปะทะกัน ก่อนที่พวกมันจะระเบิดแสงเจิดจ้าและน่าสะพรึงกลัวออกมา

สือเฟิงเข้าสัประยุทธ์ด้วยพลังอันน่าพรั่นพรึงและแข็งแกร่ง ขณะที่รอบกายของเขามีคนเข้ามามากกว่าหนึ่งคน

ทั่วร่างของเขาเต็มไปด้วยแสงสีทองดุจเทพเจ้าแห่งสงคราม เพียงฝ่ามือเดียวตบออกไป คลื่นพลังซัดสาดราวกับมหานทีอันกว้างใหญ่ แล้วยอดฝีมือทั้งหมดของแดนบูรพาทิศก็ถูกพัดปลิวไปคนละทาง!

“อันใดกันนี่!?”

“เขาคือลูกรักสวรรค์ที่ตกลงมาจากแท่นจริงหรือ???”

ยอดฝีมือแดนบูรพาทิศตกตะลึง ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความไม่อยากเชื่อ

สือเฟิงแข็งแกร่งเกินไป ซ้ำยังเหนือกว่าพวกเขาไปมาก และพวกเขาหาใช่คู่ต่อสู้ของสือเฟิงเลย

หากไม่ใช่เพราะสือเฟิงไม่คิดลงมือฆ่า เด็กหนุ่มย่อมสามารถสังหารพวกเขาทั้งหมดได้ด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียว!

พรึ่บ!

แสงสว่างสีทองกะพริบ แล้วชั่วอึดใจนั้นเขาก็พุ่งไปอยู่ตรงหน้าบุตรศักดิ์สิทธิ์แห่งแดนศักดิ์สิทธิ์เฟิงหลินและลูกรักสวรรค์

สือเฟิงใช้พลังทำลายล้างจนมิมีผู้ใดเทียบได้ เพียงหยินหยางเวียนว่าย ลูกรักสวรรค์แห่งภาคกลางก็ถูกซัดไปอีกด้านหนึ่งแล้ว!

“เขาไปถึงขอบเขตเบิกวิถีตั้งแต่เมื่อใดกัน!?”

“อย่าเพิ่งพูดเรื่องนั้น สิ่งสำคัญคือเขาบ้าไปแล้ว อยู่เพียงขอบเขตเบิกวิถีแต่กลับโค่นลูกรักสวรรค์ที่อยู่ขอบเขตลิขิตชะตาได้!?”

ฝูงชนโดยรอบต่างตกอยู่ในความโกลาหล ซ้ำแต่ละคนยังมีท่าทางแปลก ๆ ด้วย

พวกเขาคาดไม่ถึงเลยว่าสือเฟิงจะน่าทึ่งมากเพียงนี้ สามารถสู้ข้ามขอบเขตขนาดใหญ่ ซ้ำยังใช้ออกด้วยพลังทรงอานุภาพและดุร้ายจนหาผู้ใดเทียบได้ไม่!

สิ่งนี้ทำให้ความรู้ความเข้าใจของพวกเขาพลิกคว่ำ และทำให้ภายในใจของพวกเขาตกตะลึง

จำต้องรู้ว่า ช่องว่างระหว่างขอบเขตนั้นยากจะข้ามได้ เช่นนี้จะมีผู้ใดที่สามารถต่อสู้ข้ามขอบเขตแล้วมิหนำซ้ำยังชนะได้อีก?

พวกเขาย่อมไม่เคยได้ยินมาก่อนว่ามีใครทำเช่นนี้ได้!

สือเฟิงทำได้… นับว่าน่าอัศจรรย์มาก!

“ทุกคนแยกย้ายกันเถิด…”

แล้วเด็กหนุ่มก็กลับเข้าไปในพรรคจื่อเสียอย่างใจเย็น

นี่คือการเปลี่ยนแปลงที่น่าอัศจรรย์ของกายาศักดิ์สิทธิ์วิถีนำร่อง!

เมื่อสองวันก่อน ระดับขั้นของเขายังอยู่เพียงขอบเขตก่อกำเนิดเต๋าเท่านั้น แต่ตอนนี้เขาอยู่ขอบเขตเบิกวิถีแล้ว

ยิ่งไปกว่านั้น มันยังไม่ใช่ขีดจำกัดที่เขากวาดล้างลูกรักสวรรค์ที่อยู่ขอบเขตลิขิตชะตาและยอดฝีมือทั้งหมดได้

แต่หากต้องต่อสู้ถึงขีดจำกัดจริง ๆ เขาสามารถต่อสู้ข้ามห้าขอบเขตใหญ่ได้!

หนึ่งในสิบอันดับของกายาที่แข็งแกร่งที่สุดในสมัยโบราณ นี่หาใช่ชื่อเสียงหลอกลวงแต่อย่างใด กลับกันมันน่าทึ่งอย่างมาก!

“อัจฉริยะไร้ผู้ใดเทียบเมื่อหกปีก่อนกลับมาแล้วหรือ?”

ฉู่หลานพึมพํา ขณะมองร่างของสือเฟิงด้วยความงุนงง

หากสือเฟิงไม่แสดงฝีมือออกมาก็ไม่เท่าไร แต่พอแสดงออกมากลับทำให้ผู้คนประหลาดใจยิ่ง จึงได้เห็นว่าช่องว่างนั้นใหญ่เกินไป และพวกเขาไม่ใช่คู่ต่อสู้ของสือเฟิงเลย

“พี่เฟิงสุดยอดมาก!”

เด็ก ๆ มองสือเฟิงด้วยสายตาเลื่อมใสศรัทธา

“พวกเราจะต้องแข็งแกร่งกว่าพี่เฟิงในอนาคตให้ได้”

สือเฟิงเพียงยิ้ม

ท่านเซียนชอบอ้ายฉานและเด็กคนอื่น ๆ มาก เขาคิดว่าความสําเร็จในอนาคตของเด็ก ๆ ย่อมเหนือจินตนาการและไม่น่าจะต่างไปจากตนเท่าไร

“ให้เรื่องมันจบแค่นี้เถิด”

สือเฟิงหันไปมองทุกคนพลางพูดว่า “ข้าหวังว่าทุกท่านจะไม่มารบกวนเด็ก ๆ ในอนาคตอีก”

ยอดฝีมือแดนบูรพาทิศ เจ้าสำนักหยวนอี ลูกรักสวรรค์ภาคกลางและบุตรศักดิ์สิทธิ์แห่งแดนศักดิ์สิทธิ์เฟิงหลิน ทั้งหมดไม่ได้พูดอะไรออกมา แต่สีหน้านั้นฉายชัดถึงความสับสนและซับซ้อน

แพ้แล้ว พ่ายแพ้แล้ว หาใช่คู่ต่อสู้ของเขาเลย…

พวกเขาควรจากไป

แต่…พวกเขาไม่เต็มใจนี่สิ!

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง บุตรศักดิ์สิทธิ์แห่งแดนศักดิ์สิทธิ์เฟิงหลินและลูกรักสวรรค์ภาคกลาง แม้ว่าสือเฟิงจะแข็งแกร่งและน่าอัศจรรย์เพียงใด แต่นิกายอวี้ซวีที่อยู่เบื้องหลังสือเฟิงนั้นไม่อาจเทียบได้กับแดนศักดิ์สิทธิ์ของพวกเขา

เช่นนี้แล้วพวกเขาจะเต็มใจจากไปได้อย่างไร?

ส่วนยอดฝีมือแดนบูรพาทิศ พวกเขาคิดว่าสือเฟิงมาจากภาคกลางจึงไม่กล้าทำอะไรมากเกินไป แต่ว่าพวกเขาก็ไม่ต้องการจากไปเช่นกัน

“ข้าคิดออกแล้ว!”

ตอนนี้เองเวิงอู๋โยวพลันพูดขึ้นมา ในที่สุดก็คิดออกว่าเขาเคยเห็นพ่อแม่ของอ้ายฉานและเด็กคนอื่น ๆ ที่ไหน!

“พวกเขาคือคนที่อาศัยอยู่ในเมืองชิงซาน…”

เวิงอู๋โยวกล่าวกับโจวตง

“กระไรนะ!”

ใบหน้าของโจวตงเปลี่ยนไปทันที แล้วเขาก็คิดได้ว่า ตนเคยเห็นพ่อแม่ของอ้ายฉานและเด็กคนอื่น ๆ ในเมืองชิงซาน

เมืองชิงซาน…

อัจฉริยะจากฟากฟ้าทั้งแปดคนที่มาด้วยกัน…

“ข้าเข้าใจแล้ว!”

“ข้าก็เข้าใจแล้วเหมือนกัน!”

เวิงอู๋โยวและโจวตงมองหน้ากัน แล้วทั้งคู่ก็เข้าใจเรื่องทั้งหมดทันที

มันยากเพียงใดที่จะหาพรสวรรค์เทียมฟ้าได้?

ย้อนกลับไปยังสมัยโบราณ ทุกสมัยล้วนไม่เคยปรากฏออกมาเลยสักคน!

แต่เด็กแปดคนจากเมืองชิงซาน…ล้วนมีพรสวรรค์เทียมฟ้า!

จะยังต้องคิดอันใดอีก?

นี่ย่อมเกี่ยวข้องกับท่านเซียนแน่นอน!

เพราะท่านเซียนอาศัยอยู่ในเมืองชิงซาน!

หาไม่แล้วจะมีพรสวรรค์เทียมฟ้าแปดคนในเวลาเดียวกัน และทั้งหมดยังมากจากเมืองชิงซานด้วยได้อย่างไร?

“ท่านเซียนก็คือท่านเซียน!”

เวิงอู๋โยวและโจวตงถอนหายใจ

เป็นเรื่องยากยิ่งที่จะหาพรสวรรค์เทียมฟ้าได้ ทว่าสำหรับท่านเซียนกลับหาใช่เรื่องใหญ่…

ท่านเซียนเพียงขยับนิ้วก็สามารถสร้างอัจฉริยะจากฟากฟ้าขึ้นมาได้แปดคน!

นี่มันสุดจะพรรณาเหลือแสน!

“สือเฟิงรู้จักเด็กเหล่านี้ ดูเหมือนว่าเขาจะเคยไปที่เมืองชิงซานด้วย!”

“ใช่แล้ว…”

เวิงอู๋โยวและโจวตงนึกถึงสือเฟิงขึ้นมาอีกครั้ง

ลูกรักสวรรค์ซึ่งตกลงมาจากแท่นแล้วจู่ ๆ ก็สำแดงพลังการต่อสู้ที่น่าอัศจรรย์ใจ บดขยี้ซึ่งทุกอย่าง

พวกเขาคล้ายคาดเดาเหตุผลได้แล้ว

สือเฟิงเคยไปที่เมืองชิงซาน ดังนั้นเขาย่อมเกี่ยวข้องกับท่านเซียนด้วย!

“ทุกท่านยังไม่จากไปอีกหรือ?”

สือเฟิงขมวดคิ้ว ยอดฝีมือแดนบูรพาทิศ บุตรศักดิ์สิทธิ์แห่งแดนศักดิ์สิทธิ์เฟิงหลินและลูกรักสวรรค์ไร้ซึ่งการเคลื่อนไหวใด ๆ เห็นได้ชัดว่าพวกเขาไม่ต้องการจากไป

“สือเฟิง เจ้าควรเข้าใจว่าพรรคจื่อเสียไม่สามารถปกป้องพวกเขาได้ พรรคจื่อเสียอยู่ในสภาพนี้ พวกเขาอาจถูกกำจัดในสักวันหนึ่ง!”

เจ้าสำนักหยวนอีเอ่ยเสียงดัง

“เหตุใดถึงปกป้องไม่ได้?”

นัยน์ตาสือเฟิงปรากฏประกายน่าสยดสยองออกมา แล้วเขาก็กล่าวว่า “ผู้ใดก็ตามที่กล้าแตะต้องพรรคจื่อเสีย มันผู้นั้นจักกลายเป็นศัตรูของข้า ข้าขอพูดไว้ที่นี่และวันนี้ ผู้ที่แตะต้องพรรคจื่อเสีย ข้าจะฆ่ามันให้หมด!”

เขาพูดเกินไปหรือเปล่า?

คนพวกนี้พ่ายแพ้แล้ว ไฉนถึงยังไม่ยอมจากไป ซ้ำยังเอาแต่ก็ก่อความวุ่นวายไม่หยุด?

อนิจจา…

เป็นจริงที่ว่า หากพวกเขาไม่เห็นโลงศพก็คงไม่หลั่งน้ำตา!

[1] จมูกหมูที่มีต้นหอมเสียบอยู่ หมายถึง การเสแสร้งแกล้งทำ

รู้สึกตัวอีกที ข้าก็เป็นเซียนซะแล้ว [原來我是世外高人]

รู้สึกตัวอีกที ข้าก็เป็นเซียนซะแล้ว [原來我是世外高人]

Status: Ongoing

‘หลี่จิ่วเต้า’ ชายหนุ่มผู้ถูกส่งตรงจากดาวเคราะห์สีฟ้ามายังโลกแห่งการฝึกตน ทว่ากลับไร้ซึ่งคุณสมบัติใด ๆ ในการเข้าสู่วิถีผู้ฝึกตน เขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากหันมาตกปลา วาดภาพและเขียนกลอนขาย

อันที่จริงหลี่จิ่วเต้ารู้เพียงเล็กน้อยว่า เจ้าแมวน้อยที่มาหาตนเป็นครั้งเป็นคราวเพื่อขอปลากินนั้น แท้จริงแล้วคือพยัคฆ์ขาว ส่วนชายผมขาวที่แข่งเขียนพู่กันกับเขาเป็นตัวตนระดับบรรพกาล และที่จะลืมไปไม่ได้ สตรีผู้งดงามที่มาร้องขอให้เขาช่วยวาดรูปอยู่ทุกวัน นางถึงกับเป็นเซียนในตำนาน!

ชายหนุ่มนิ่งอึ้งไปครู่หนึ่ง “เอาล่ะ…เช่นนั้น ข้าเป็นใครกัน?”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท