นางเคยไปบอกให้กรมพระราชวังทำรูบิค มันเกี่ยวกับกระดานหมากรุกและเก้าอี้อย่างไรกัน
ตอนที่สืออีเหนียงนำภาพวาดให้พ่อบ้านไป๋ นางเคยบอกเขาแล้วว่า ให้คนที่ทำนาฬิกาเป็นของกรมพระราชวังดู…หรือว่าทำผิด
นางกลับไปที่เรือนด้วยความสับสน ก็เห็นสวีลิ่งอี๋เอามือไขว้หลังมองของชิ้นหนึ่งที่อยู่ในห้อง มันเป็นสี่เหลี่ยม สูงเท่าเอว ข้างบนเป็นสีแดง ข้างซ้ายเป็นสีเขียว ข้างขวาเป็นสีเหลือง และข้างหน้าเป็นสีฟ้า ทุกด้านทำด้วยแก้วสีหลืองเก้าชิ้น ส่องแสงภายใต้แสงไฟ ช่างงดงาม
สืออีเหนียงเหงื่อตก
นี่มันไม่ใช่รูบิคที่คนถือเล่นในมือ มันคือประติมากรรมชัดๆ
นางหยุดเดินแล้วยืนอยู่ที่หน้าประตู
สวีลิ่งอี๋ที่ได้ยินเสียงการเคลื่อนไหวเห็นว่าภรรยาของตัวเองกลับมาแล้ว เขาก็กวักมือเรียกนาง “เจ้าบอกให้กรมพระราชวังทำสิ่งใดกัน เขาบอกว่าทุกตารางสามารถหมุนได้ตามต้องการ” พูดจบเขาก็กดตรงมุม “ข้าหาอยู่ตั้งนานก็หากลไกไม่เจอ”
รูบิคต้องนำมาหมุนเล่นในมือ เอาวางไว้บนพื้นเช่นนี้ มันจะหมุนได้เช่นไร
สืออีเหนียงพูดไม่ออก นางไม่รู้ว่าควรจะตอบคำถามเช่นไร
“หรือว่าทำกล่องสมบัติรูปแบบใหม่…” สวีลิ่งอี๋พึมพำ เงยหน้าขึ้นก็เห็นสืออีเหนียงยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น เขาอดไม่ได้ที่จะเลิกคิ้ว “ทำไมหรือ เกิดอะไรขึ้นที่ตรอกกงเสียน”
สืออีเหนียงถอนหายใจด้วยความโล่งอก
นางกลัวว่าสวีลิ่งอี๋จะถามต่อ นางรีบพยักหน้า ไล่คนที่อยูในห้องออกไป เล่าแผนการของนายทานใหญ่ให้สวีลิ่งอี๋ฟัง “…ข้าก็ไม่รู้ว่าจะบอกท่านพ่อเช่นไร จึงให้เขามาถามท่านเอง”
สวีลิ่งอี๋ได้ยินเช่นนี้ก็ถูกเบี่ยงเบนความสนใจ เดินเข้าไปยังห้องข้างใน นั่งลงบนเตียงเตาริมหน้าต่าง “หากเจิ้นซิ่งมา ข้าจะบอกเขาเอง”
สืออีเหนียงพยักหน้า นึกถึงเรื่องที่ตัวเองเข้าใจผิดสวีลิ่งอี๋เมื่อวาน นางก็ชงชาร้อนด้วยตัวเอง “โชคดีที่ท่านโหวช่วยเตรียมเงินพวกนั้นให้ข้า ไม่เช่นนั้น วันนี้คงจะขายหน้าจริงๆ”
ที่จริงแล้วเหรียญเงินและตั๋วเงินไม่ได้ใช้เลยสักนิด เดิมทีนางอยากจะแอบมอบตั๋วเงินให้อี๋เหนียงห้า แต่อี๋เหนียงห้าคอยรับใช้นายหญิงใหญ่อยู่ตลอดเวลา นางไม่มีโอกาสมอบให้ สำหรับเหรียญเงินพวกนั้น ซื่อเหนียงและอู่เหนียงก็ไม่มีท่าทีอะไร นางก็ไม่อยากทำให้ตัวเองดูสูงส่งต่อหน้าพวกนาง
สวีลิ่งอี๋พูด “อืม” รับถ้วยชามาด้วยสีหน้าที่นิ่งเฉย ทำท่าทีเหมือนไม่อยากพูดเรื่องนี้
สืออีเหนียงไม่แน่ใจว่าเขายังคงโกรธเรื่องนี้อยู่หรือไม่ แต่ทุกคนล้วนแต่ชอบฟังคำพูดประจบสอพลอ เห็นแก่ตอนเช้าที่ตัวเองทำผิด ยอมก้มหัวให้เขาคงไม่เป็นไร นางจึงถามสวีลิ่งอี๋ด้วยความเป็นห่วง “วันนี้ท่านโหวอ่านหนังสือทั้งวันเลยหรือเจ้าคะ เหตุใดจึงไม่ไปนั่งที่เรือนของท่านแม่”
“ตอนเที่ยงไปทานข้าวที่เรือนท่านแม่แล้ว” สวีลิ่งอี๋จิบชาอีกครั้ง “จากนั้นก็ไปหาฉินอี๋เหนียงกับอวี้เกอ ไปเจอกับเหวินอี๋เหนียงและเฉียวอี๋เหนียง ฟังเฉียวอี๋เหนียงดีดพิณเพลง ‘แอบคิดถึง’”
ดีดเพลง ‘แอบคิดถึง’ ให้สวีลิ่งอี๋ฟัง
สืออีเหนียงพยายามกลั้นหัวเราะ
ดูเหมือนว่าเขาสามารถสร้างความสนุกสนานให้ตัวเองได้เป็นอย่างดี มองดูสีหน้าที่เรียบนิ่งของสวีลิ่งอี๋ ไม่แตกต่างจากวันปกติเลยแม้แต่น้อย นางก็คิดว่าตัวเองนั้นคิดมากเกินไป จึงโล่งใจขึ้นมา
“ทักษะดีดพิณของเฉียวอี๋เหนียงนั้นยอดเยี่ยม ข้าเคยได้ยินมาตั้งนานแล้ว” นางยิ้มอย่างสดใส “ท่านโหวช่างมีวาสนาเสียจริง” รีบบอกให้คนไปยกขนมวัวซือถัง แตงและเชอร์รี่น้ำผึ้งมา จากนั้นนางก็ลุกขึ้นแล้วพูดว่า “ข้าพึ่งกลับมา ประเดี๋ยวไปเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วจะออกมาคุยเป็นเพื่อนท่านโหวนะเจ้าคะ”
สวีลิ่งอี๋เห็นนางยิ้มอย่างแผ่วเบา แววตาของเขาก็เข้มขึ้น
ยิ้มแล้วเรียกลี่ว์อวิ๋นและหงซิ่วเข้ามารับใช้นางเปลี่ยนเสื้อผ้า ล้างหน้าล้างตา เข้าไปในห้องชำระแล้วยังแอบพูดกับซวงอวี้ “ไปบอกหู่พั่วว่า นำของที่กรมพระราชวังส่งมาไปไว้ในห้องเก็บของ”
ซวงอวี้ตอบรับแล้วเดินออกไป ผ่านไปไม่นานก็กลับมา “ฮูหยิน ท่านป้าห้าหกคนก็ย้ายไม่ไหวเจ้าค่ะ ท่านว่า เรียกบ่าวรับใช้ชายมาย้ายไปดีหรือไม่เจ้าคะ”
ตอนนี้สืออีเหนียงอยากให้ของสิ่งนั้นรีบหายไปอย่างรวดเร็ว “ไปบอกพ่อบ้านไป๋ บอกให้เขาย้ายมันไปที่ห้องเก็บของของข้า”
“เจ้าค่ะ!” ซวงอวี้หันหลังเดินออกไป สืออีเหนียงเรียกนางอีกครั้ง “เจ้าไปถามพ่อบ้านไป๋ว่าของสิ่งนี้หมดเงินไปเท่าไร”
“เจ้าค่ะ!” ซวงอวี้ไปเรียกคนมาย้ายของ เมื่อสืออีเหนียงเก็บข้าวของเรียบร้อยแล้วนางก็กลับมา “ฮูหยิน ย้ายของไปไว้ที่ห้องเก็บของแล้วเจ้าค่ะ พ่อบ้านไป๋บอกว่า ซุ่นอ๋องเป็นคนส่งของมา ให้เงินไปแค่สามร้อยตำลึงเงิน แล้วยังบอกว่า ของสิ่งนี้ทำจากทองเหลืองชั้นดี เครื่องเคลือบก็ทำมาจากเตาเผา แค่ชิ้นเดียวก็ราคายี่สิบสามสิบตำลึง สามร้อยตำลึงไม่แพงเจ้าค่ะ”
หนึ่งชิ้นยี่สิบสามสิบตำลึง รูบิคมีหกด้าน แต่ละด้านมีเก้าชิ้น…พ่อไป๋กำลังบอกนางว่า ที่กรมพระราชวังได้รับจากสกุลสวีไปสามร้อยตำลึง นั่นก็เพราะว่าซุ่นอ๋องเป็นคนดูแลกรมพระราชวัง สกุลสวีจึงออกเงินแค่นิดหน่อย
สืออีเหนียงอดไม่ได้ที่จะแตะหน้าผากตัวเอง
เดิมทีคิดว่ามันเป็นเรื่องเล็กน้อย ใครจะรู้ว่าไปเกี่ยวข้องกับซุ่นอ๋อง
บางทีพ่อบ้านไป๋อาจจะอธิบายเรื่องนี้ให้เขาฟังแล้ว แต่ในฐานะคนเริ่มคิด ต้องไปบอกสวีลิ่งอี๋ด้วยตัวเอง ที่ซุ่นอ๋องให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ ก็เพราะว่าเห็นแก่หน้าของสวีลิ่งอี๋ ไม่รู้ว่าเรื่องนี้ยังมีลับลมคมในอะไรอีกหรือไม่ หากมีเรื่องอันใด สุดท้ายคนที่ต้องออกไปแก้ไขก็คือสวีลิ่งอี๋ อย่างน้อยก็ต้องให้เขารู้ นางรู้จักเขาดี
ออกจากห้องชำระ ก้มหน้าแล้วเดินไปนั่งตรงข้ามสวีลิ่งอี๋ “ท่านโหว เดิมทีข้างอยากทำกล่องสมบัติสวยๆ สักกล่อง ดังนั้นจึงวาดภาพเอาไว้ ใครจะรู้ว่าคนข้างนอกไม่มีใครทำเป็นเลยสักคน จึงขอให้กรมพระราชวังทำให้ แต่คิดไม่ถึงว่าจะทำให้ซุ่นอ๋องตกใจ แล้วยังเก็บเงินแค่สามร้อยตำลึง…” พูดจบ นางก็เงยหน้าขึ้นมามองเขาอย่างกังวล “ท่านโหว ท่านว่าเรื่องนี้ ข้าควรจะจัดการเช่นไรดีเจ้าคะ”
เห็นสืออีเหนียงขมวดคิ้วมุ่น สวีลิ่งอี๋ก็ใจสั่นไหว
“หากอยากกล่าวหาใคร ยังกังวลว่าจะหาข้ออ้างไม่ได้เช่นนั้นหรือ หากฮ่องเต้อยากจะจัดการข้า หรือตุลาการอยากจะเล่นงานข้าพวกเขาก็ต้องมีข้ออ้างอยู่แล้ว ไม่มาสนใจเรื่องเล็กเช่นเรื่องนี้หรอก เรื่องนี้เจ้าไม่ต้องสนใจ ข้าจัดการเอง” จากนั้นเขาก็เปลี่ยนเรื่อง ถามถึงเรื่องที่นางกลับสกุลเดิม “…พ่อตาสบายดีหรือไม่”
ถึงแม้ปากจะบอกว่าไม่เป็นอะไร แต่สีหน้าของเขาก็ยังเคร่งขรึม
สืออีเหนียงเห็นเช่นนี้ก็แอบถอนหายใจในใจ
เรื่องนี้ทำให้เขาลำบากใจ…
แต่เมื่อเห็นท่าทีที่ไม่อยากพูดถึงเรื่องนี้ของสวีลิ่งอี๋ นางจึงต้องเก็บเรื่องนี้ไว้ในใจก่อนชั่วคราว นางเล่าเรื่องราวที่ตรอกกงเสียนให้สวีลิ่งอี๋ฟัง “อาการของท่านแม่แย่ลง ต้องค่อยๆ รักษา เมื่อก่อนพี่สะใภ้ใหญ่เป็นคนดูแลท่านแม่ แต่ตอนนี้พี่สะใภ้สี่และอี๋เหนียงสาม อี๋เหนียงห้าก็มาแล้ว พี่สะใภ้ใหญ่ก็จะได้พักผ่อน ไม่ต้องลำบากเหมือนเมื่อก่อน” จากนั้นก็พูดถึงสกุลโจว “…ดูแล้วเป็นคนมีความสามารถเจ้าค่ะ” พูดถึงสือเอ้อร์เหนียง “…สูงขึ้นมาก แต่หน้าตาเหมือนพี่หญิงห้า ไม่เหมือนข้า”
พึ่งจะล้างหน้าล้างตาเสร็จ สวมเสื้อผ้าฝ้ายสีขาวพระจันทร์และกระโปรงสีแดงธรรมดา ม้วนผมเป็นมวยธรรมดา ไม่แต่งหน้า แต่แก้มกลับแดงอ่อนๆ แสงไฟตกลงบนร่างของนาง ทำให้เห็นรูปร่างชัดเจน หน้าตาของนางงดงามกว่าปกติ
สวีลิ่งอี๋ยิ้มมุมปาก “รอให้เท้าของข้าดีขึ้นแล้ว ข้าค่อยไปหานายท่านใหญ่” เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่นิ่งสงบ มีกลิ่นอายของความสบายใจ
แต่สืออีเหนียงก็รู้ว่าเขาไม่ค่อยสนใจนายหญิงใหญ่ มองออกว่านายหญิงใหญ่ไม่ค่อยชอบเขา ตอนนี้ก็กำลังจะลาออกจากตำแหน่ง…นางแอบถาม “เท้าของท่านโหวยังไม่หายดี ทุกคนรู้เรื่องนี้เจ้าค่ะ ไม่ว่าจะเป็นท่านพ่อหรือว่าท่านแม่ พวกเขาคงไม่ว่าอะไรท่านโหว ท่านโหวรักษาตัวอย่างสบายใจเถิด”
เท้าของเขาเป็นเช่นไร ไม่มีใครรู้ดีไปกว่าสืออีเหนียง
สวีลิ่งอี๋ได้ยินเช่นนี้ก็ยิ้มอย่างแผ่วเบา เขาถามอย่างกะทันหัน “ไม่ได้พูดกับอี๋เหนียงหรือ”
สืออีเหนียงนึกถึงตอนที่ออกมา อี๋เหนียงห้าพูดกับตัวเองราวกับว่าตัวเองเป็นเด็กที่ไม่เคยเห็นโลกมาก่อน นางอดไม่ได้ที่จะยิ้มแล้วพูดว่า “พูดแล้วเจ้าค่ะ ยังบอกให้ข้ารับใช้ท่านแม่ให้ดี รับใช้ท่านโหวให้ดี”
สวีลิ่งอี๋ได้ยินเช่นนี้สายตาของเขาพลันมืดหม่น สีหน้าของเขายะเยือก จู่ๆ เขาก็ลุกขึ้นใส่รองเท้า ตะโกนเรียกชุนมั่วและซย่าอีเข้ามารับใช้เขาอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า “…ข้างนอกหิมะตก ข้านอนที่นี่ดีกว่า” พูดจบก็เดินเข้าไปในห้องน้ำด้วยตัวเอง
ช่วงนี้พวกเขาสองคนรักษาระยะห่างต่อกัน สืออีเหนียงค่อยๆ คุ้นเคยกับการที่เขานอนที่เรือนของตัวเองแล้ว
ได้ยินเขาพูดเช่นนี้ นางก็เรียกลี่ว์อวิ๋นเข้ามา “ไปบอกเฉียวอี๋เหนียงว่าวันนี้ท่านโหวมีธุระ ไม่ไปนอนที่เรือนนางแล้ว”
ลี่ว์อวิ๋นยิ้ม ตอบรับแล้วเดินออกไป
สืออีเหนียงไปจัดเตียง
ผ่านไปไม่นาน สวีลิ่งอี๋ก็ออกมาจากห้องน้ำแล้วตรงไปที่เตียง หยิบบันทึกจั่วจ้วนออกมาจากหัวเตียง เอนตัวอ่านหนังสือบนโต๊ะที่มีตะเกียงวางอยู่
สืออีเหนียงเห็นเช่นนี้ก็บอกเขา “ท่านโหว เช่นนั้นเราสลับฝั่งกันนอนดีหรือไม่เจ้าค่ะ”
ตั้งแต่แต่งงานกันมา สวีลิ่งอี๋นอนข้างในมาตลอด นางนอนข้างนอก หากสวีลิ่งอี๋จะอ่านหนังสือ แสงไฟก็จะส่องลงมาบนหน้านาง นางก็ต้องหันหน้ามาหาสวีลิ่งอี๋ มีครั้งหนึ่งไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด ตื่นขึ้นมาก็เห็นว่าตัวเองเอาหน้ามุดเข้าไปในอ้อมแขนของสวีลิ่งอี๋ ท่าทางคลุมเครือเป็นอย่างมาก
สวีลิ่งอี๋ได้ยินเช่นนี้ก็มองหน้านาง “ยุ่งยาก พรุ่งนี้ค่อยว่ากัน” จากนั้นก็ก้มหน้าอ่านหนังสือ
สืออีเหนียงสับสน
อยากจะถามว่าสามีภรรยาระบอบศักดินาเป็นแบบนี้ทุกคนหรือไม่ ผู้ชายนอนข้างใน ผู้หญิงนอนข้างนอก…แต่ว่านางไม่มีใครให้ถาม
นางยืนอยู่หน้าเตียงครู่หนึ่ง คิดว่าอากาศหนาวต้องรักตัวเอง จึงถอดเสื้อคลุมออกแล้วขึ้นไปบนเตียง
ใครจะไปรู้ยังไม่ทันได้เปิดผ้าห่ม ก็ถูกแขนสองข้างดึงเข้าไปกอดไว้ในอ้อมแขนอย่างแน่น นางก็อบอุ่นขึ้นมา
“ทำไมแค่เข้านอนก็ชักช้าเช่นนี้” เขาพูดด้วยน้ำเสียงบ่น
นอกจากสวีลิ่งอี๋แล้วยังจะมีใคร
ตั้งแต่วันนั้นที่พวกเขาสองคนนอนใต้ผ้าห่มผืนเดียวกัน ผ้าห่มอีกผืนหนึ่งก็ถูกพับไว้ข้างๆ
ฤดูหนาวแบบนี้ มีคนช่วยทำให้ตัวเองอบอุ่น สืออีเหนียงจึงไม่ได้ปฏิเสธ นางหาตำแหน่งที่สบายตัวแล้วนอนในอ้อมแขนของเขา
สวีลิ่งอี๋ช่วยห่มผ้าให้นางแล้วพูดกับนาง “พรุ่งนี้เช้าเจ้าไปดูที่ห้องเก็บของ เหลือสิ่งของที่พอมีคุณค่าออกมาสักสองสามชิ้น พรุ่งนี้ตอนบ่ายข้าจะไปหาซุ่นอ๋อง”
สืออีเหนียงตกใจ
เหตุใดจู่ๆ ก็พูดถึงเรื่องจะไปจวนซุ่นอ๋องตอนนี้
แล้วยังไปตอนที่เขาไม่สบาย…มันทำให้นางนึกถึงรูบิคราคาถูกชิ้นนั้นขึ้นมา!
“ท่านโหว…” นางไม่รู้จะพูดอะไร
ในน้ำเสียงเจือความกังวลที่ไม่สามารถซ่อนเอาไว้ได้
“อย่าคิดมาก” สวีลิ่งอี๋ขัดจังหวะนาง เอียงตัวไปเป่าตะเกียง “รีบนอนเถิด!”
จากนั้นก็ยื่นมือมาวางไว้ตรงชายเสื้อของนางอย่างเป็นธรรมชาติ…