โจวเสวียนคือผู้ใด คุณชายเหวินย่อมรู้ดี อีกทั้งรู้เสียมากกว่าคนธรรมดาทั่วไป
บิดาของโจวเสวียนตายในเงื้อมมือของนักฆ่าจากเหล่าท่านอ๋องเพราะพระราชโองการเรียกคืนพื้นที่ศักดินา โจวเสวียนเกลียดแค้นเหล่าท่านอ๋องอย่างมาก ทำให้เขาเข้าร่วมทางกองทัพ
ถึงแม้โจวเสวียนไม่ใช่องค์ชาย แต่เขามีฐานะเสียยิ่งกว่าองค์ชายเมื่ออยู่ต่อหน้าฮ่องเต้
จวนที่แม้แต่ฮ่องเต้ยังซื้อไม่ได้ โจวเสวียนซื้อได้
สิ่งที่ฮ่องเต้ทำไม่ได้ โจวเสวียนทำได้
แต่ฝ่ายหนึ่งคือโจวเสวียน คนที่เกลียดแค้นเหล่าท่านอ๋องที่สุด ส่วนอีกฝ่ายคือเฉินตันจู เฉินเลี่ยหู่บิดาของนางเป็นขุนนางโด่งดังของท่านอ๋อง ตอนนั้นเขาโหดร้ายต่อราชสำนักและฮ่องเต้…เขาวางอำนาจ กำเริบเสิบสานโอหังอวดดีเป็นเรื่องปกติ!
คุณชายเหวินยืนหัวเราะอยู่ท่ามกลางสิ่งของระเกะระกะเต็มพื้น
เหยาฝูรู้ว่าเขาเข้าใจแล้ว จึงไม่พูดมาก เพียงแค่ทิ้งประโยคหนึ่งไว้เสียงเบา “คุณชายเหวินวาดภาพของจวนตระกูลเฉิน จากนั้นรอคอยลูกค้าเดินทางมาเถิด” พูดพลางขอตัวจากไป
คุณชายเหวินรีบจะเดินไปส่ง หากแต่เหยาฝูโบกมือ หันกลับมายิ้มให้เขา “คุณชายไม่ต้องเกรงใจ ข้าเดินทางมาด้วยตนเอง ย่อมกลับด้วยตนเองได้ ข้าทิ้งองครักษ์คนหนึ่งเอาไว้ คุณชายมีเรื่องอันใดบอกกับเขาก็พอ”
คุณชายเหวินชะงักลงไม่ได้เดินไปส่งอีก เขามองดูคุณหนูสี่ตระกูลเหยานี้เดินจากไปอย่างสง่างาม ถึงแม้เขาจะเคยพบเห็นหญิงงามจนชินตา แต่ก็ยังคงถูกหญิงสาวคนนี้จ้องมองจนหวั่นไหว…นางเป็นคนขององค์รัชทายาท คุณชายเหวินรีบตั้งสติกลับมา
“คุณชาย” บ่าวรับใช้ยื่นหัวเข้ามาถามอย่างระมัดระวัง “ต้องเก็บกวาดหรือไม่ขอรับ”
คุณชายเหวินมองดูม้วนเอกสารที่กระจัดกระจายเต็มพื้น เขาโบกมือ “ไม่ต้องสนใจสิ่งเหล่านี้ ข้าต้องการวาดใหม่ เตรียมพู่กันและหมึก”
บ่าวรับใช้ตอบรับก่อนจะรีบเข้ามาคลี่แผ่นกระดาษ
คุณชายเหวินยกพู่กันยืนอยู่ด้านหน้าโต๊ะ คนขององค์รัชทายาทบอกอย่างชัดเจนว่าต้องการขายจวนของเฉินตันจู เห็นได้ชัดว่าเหล่าองค์ชายล้วนไม่ชอบเฉินตันจู อืม ฮ่องเต้และฮองเฮาย่อมต้องไม่ชอบ แต่เรื่องบางเรื่องฮ่องเต้ ฮองเฮาและองค์ชายทำไม่ได้ ดังนั้นจึงต้องให้โจวเสวียนทำแทน เรื่องนี้เบื้องหลังยังคงเป็นฮ่องเต้
เป็นไปอย่างที่คาด ฮ่องเต้ไม่มีทางปล่อยให้เฉินตันจูทำสิ่งต่างๆ ตามใจอย่างไร้ขอบเขต ฮองเฮาลงโทษให้นางกักบริเวณ ก่อนจะให้โจวเสวียนแย่งชิงจวนของนางไป การปราบปรามกักขังทีละก้าวทีละก้าว สุดท้ายก็กำจัดหญิงร้ายกาจคนนี้ทิ้งไป
เมื่อกำจัดเฉินตันจูได้ เขาย่อมไม่มีอุปสรรคอีกภายในเมืองหลวง คุณชายเหวินลงพู่กันอย่างรวดเร็ว
คุณชายเหวินวาดอย่างรวดเร็ว วันที่สองก็ให้องค์รักษ์นำภาพของจวนตระกูลเฉินส่งให้เหยาฝู ไม่ต้องวาดอย่างประณีต เพียงแค่รู้ว่าจวนหลังนี้เป็นของตระกูลเฉินก็เพียงพอ ไม่ได้ต้องการเลือกจวนเพื่ออยู่จริงๆ
ตอนที่เหยาฝูได้รับภาพวาด นางแต่งกายไปพบพระชายาองค์รัชทายาทก่อน “ข้าพบกับคนที่องค์ชายห้ากล่าวถึงคนนั้นแล้ว เลือกมาได้หลายหลัง เชิญท่านพี่ผ่านตา”
พระชายาองค์รัชทายาทไม่อยากดู อย่างไรนางอยู่ได้เพียงภายในพระราชวัง ไม่ว่าเวลานี้ หรืออนาคต ทั้งพระราชวังล้วนต้องเป็นของนาง นางไม่อยากเปลืองแรงกับจวนด้านนอก
“เจ้าให้องค์ชายห้าเลือกก็พอ” นางพูด
เหยาฝูตอบรับ ถือม้วนเอกสารเดินออกไปด้านนอก เหยาหมิ่นเหลือบมองแผ่นหลังของนาง ดูอย่างไรก็ไม่น่าชื่นชอบ…
“เหนียงเหนียง” นางในพูดเสียงเบา “คุณหนูสี่ไปมาหาสู่กับองค์ชายห้าคนเดียว…จะดีหรือเพคะ”
คำว่าจะดีหรือนี้ ถามได้อย่างอ้อมค้อมแต่มีนัยยะ
ใต้หล้าไม่มีชายใดไม่หวั่นไหวต่อหญิงงาม โดยเฉพาะหญิงงามนี้ยังเกิดมาเพื่อเกาะเกี่ยวชายหนุ่ม
เหยาหมิ่นพูด “ไม่ต้องกังวล มีองค์รัชทายาทอยู่ องค์ชายห้าไม่แตะต้องนาง”
ถึงแม้นางในได้ยินดังนี้ก็ไม่ผ่อนคลายลงแม้แต่น้อย หากแต่กังวลยิ่งขึ้น “องค์รัชทายาท…”
หากองค์รัชทายาทแตะต้องคุณหนูสี่ เช่นนั้น…
“แล้วอย่างไร” เหยาหมิ่นเรียบเฉย “นางก็ยังเป็นน้องสาวข้ามิใช่หรือ”
ถึงแม้นางจะไม่มีรูปลักษณ์ที่งดงาม แต่นางมีบุตรชายและบุตรสาว เมื่อนางได้รับความสำคัญจากฮ่องเต้ย่อมได้รับความเคารพจากองค์รัชทายาท เหยาฝูคนเดียวจะพลิกคลื่นอันใดขึ้นมาได้ อยู่ในกำมือนางยิ่งทำประโยชน์ให้นางได้
นางวางใจลง “ฝ่าบาทเข้าใจก็พอ”
องค์ชายห้าและโจวเสวียนพักอยู่ด้วยกัน ตอนที่เหยาฝูเดินทางมา องค์ชายห้ากำลังบ่นกับโจวเสวียน
“ช่างเป็นภัยที่ไม่คาดการณ์มาก่อน” เขาตบโต๊ะพลางตะโกน “เสด็จแม่ลงโทษให้เจ้ากักบริเวณ เหตุใดจึงลงโทษข้าด้วย เรื่องนี้เกี่ยวอันใดกับข้า ข้ายังต้องคัดลอกหนังสือทั้งสี่อีก”
โจวเสวียนนั่งอยู่บนพื้น กอดดาบยาวสีดำเล่มหนึ่งเอาไว้ เขากำลังใช้ผ้าไหมสีขาวสะอาดในการเช็ด ไม่สนใจต่อคำพูดขององค์ชายห้า
“เจ้าอย่ามัวแต่กอดดาบของเจ้าทั้งวัน” องค์ชายห้าพูด “เจ้าต้องอ่านตำราบ้าง ตอนนั้นเจ้าเรียนดีเพียงใด” พูดจบพลันยกพู่กันขึ้น “มาๆ เจ้ามาเขียนสักรอบ ไม่ต้องคัดลอก ข้าจำได้ว่าเจ้าท่องได้อย่างคล่องแคล่ว”
โจวเสวียนไม่แม้แต่เงยหน้าขึ้น “ไม่”
องค์ชายห้าวางพู่กันลงโต๊ะเสียงดังพร้อมส่งเสียงออกมา แต่ก็ทำได้เพียงแค่นั้น เพราะไม่มีวิธีการอื่น สู้ก็สู้ไม่ได้ แต่ก็ไม่อาจบอกว่าสู้ไม่ได้ เขาเป็นองค์ชาย เพียงแค่ออกคำสั่งก็มีกำลังคนมากมาย แต่ไม่อาจสู้…
เวลานี้เขาเห็นเหยาฝูเดินเข้ามา จึงรีบเปลี่ยนประเด็น “คุณหนูสี่ ได้จวนแล้ว?”
เหยาฝูพูด “หม่อมฉันเลือกมาหลายหลัง องค์ชายห้าเชิญดู”
องค์ชายห้ารีบโยนพู่กัน กระดาษและตำราลงอย่างดีใจ ให้เหยาฝูคลี่ภาพไว้บนพื้น จากนั้นเขานั่งลงบนพื้นเพื่อดูทีละภาพ เหยาฝูนั่งอยู่ข้างกายเขาอธิบายเสียงเบา
โจวเสวียนไม่แม้แต่จะมองมาทางนี้ ภายในดวงตามีเพียงดาบยาวของตนเอง
เหยาฝูเรียกขานคุณชายโจว “ท่านมาดูด้วยกันเถิด”
องค์ชายห้าพูด “ไม่ต้องสนใจเขา”
เหยาฝูถามด้วยรอยยิ้ม “เวลานี้คุณชายโจวก็เดินทางมาถึงเมืองหลวง ไม่ต้องการซื้อจวนหรือเจ้าคะ”
องค์ชายห้าส่งเสียงในลำคอ “ไม่ต้อง เสด็จพ่อจะพระราชทานให้เขา เขาจะถูกสถาปนาเป็นท่านโหวแล้ว”
สถาปนาเป็นท่านโหวหรือ เหยาฝูถลึงตาโตเมื่อได้ยินข่าวนี้ หัวใจของนางเต้นระรัว อดที่จะจ้องมอง
โจวเสวียนไม่ได้ ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ฮ่องเต้สถาปนาเป็นท่านโหว ดังนั้นไม่รอองค์ชายห้าเห็นภาพนั้น ตนเองก็ยื่นมือดึงออกมา คลี่ออก “องค์ชาย ท่านดูหลังนี้…อ้า หลังนี้ไม่ได้” นางคลี่ออกครึ่งหนึ่งก่อนจะปิดลง
องค์ชายห้ามองมา ก่อนจะเห็นกำแพงจวนที่สูงตระหง่านรวมไปถึงหลังคาบนภาพที่ถูกเปิดออกกึ่งหนึ่ง ดูแล้วไม่งดงามเท่าใด แต่ในเมื่อเลือกมาแล้วย่อมมีสิ่งพิเศษอย่างแน่นอน ถาม “เหตุใดหลังนี้จึงไม่ได้”
เหยาฝูหลุบตาพูด “จวนหลังนี้เป็นจวนของเฉินเลี่ยหู่ คนผู้นั้นไม่รู้ เพียงแค่เห็นว่าจวนดีหลังนี้ถูกปิดทิ้งร้างเอาไว้ ไม่ถามว่าของผู้ใดก็วาดลงมา” นางม้วนภาพเก็บอย่างช้าๆ “ข้ากำลังจะนำไปคืนเขา”
จวนของเฉินเลี่ยหู่หรือ จริงสิ ท่านมหาราชครูเมืองอู๋ย่อมต้องมีจวนที่ดี กิจการใหญ่โต เพียงแต่นึกถึงเฉินตันจู องค์ชายห้าก็เบะปาก บอกกับเหยาฝู “นำกลับไปเถิด”
เหยาฝูม้วนภาพกลับคืน ในขณะที่กำลังจะเก็บ มีมือหนึ่งยื่นมาดึงเอาไป
“จวนหลังนี้ ข้าจะซื้อ”
เหยาฝูเงยหน้ามองชายหนุ่มที่ยืนอยู่ตรงหน้า ชุดสีดำทั้งตัวคล้ายกับดาบยาวในมือ ประกายไปด้วยไอเย็น
ดี ดี เหยาฝูพูดในใจ แต่บนใบหน้าเผยความหวาดกลัว “ไม่ได้เจ้าค่ะ จวนหลังนี้เป็นของเฉินตันจู”
องค์ชายห้าถลึงตา “อาเสวียน เจ้าอย่าก่อเรื่อง ข้าไม่อยากคัดหนังสือทั้งสี่คัมภีร์ทั้งห้าตลอดไป”
โจวเสวียนถือภาพด้วยรอยยิ้ม “ไม่ก่อเรื่อง ข้าไม่ได้แย่งชิง ข้าจะไปซื้อกับนาง”
เฉินตันจูนั้น?
อ่อ ราวกับว่าถูกขังไว้ในวัดอย่างทุกข์ทรมาน
…
“คุณหนูตันจู คุณหนูตันจู” เณรน้อยยืนเรียกอยู่ด้านหน้าพระพุทธรูป
ด้านหน้าพระพุทธรูปปูเสื่อไม้ไผ่ผืนหนึ่ง บนเสื่อไม้ไผ่มีสันถัต[1]สำหรับนั่งสมาธิ แต่เวลานี้สันถัตถูกคนใช้เป็นหมอนรอง หญิงสาวคนหนึ่งนอนเฉียงอยู่เสื่อไม้ไผ่ มือหนึ่งถือพัด อีกมือวางอยู่ข้างแก้ม ขนตายาวหลุบต่ำ นอนอย่างสบาย…
ช่างเป็นภาพหญิงงามหลับใหลอันงดงาม
แต่เวลานี้เณรน้อยไม่รู้สึกถึงความงดงามแม้แต่น้อย ใบหน้าดุจดั่งกำลังจะร้องไห้ แต่ก็ไม่กล้าใช้มือผลักนาง ทำได้เพียงเรียกขานด้วยเสียงเบา
ในที่สุดเฉินตันจูก็ลืมตาขึ้น ภายในดวงตามีความฉงน จากนั้นเงยหน้าเห็นพระพุทธรูป ก่อนจะมองมายังเณรน้อย นึกขึ้นได้ว่าตนเองอยู่ที่ใด นั่งขึ้นพลันถาม “ถึงเวลากินข้าวแล้วหรือ”
[1] สันถัต คือผ้าที่พระภิกษุใช้รองนั่ง