ถึงเวลากินข้าวแล้วหรือ
เณรน้อยสูดจมูก มองเฉินตันจูพร้อมตักเตือนอย่างระมัดระวัง “คุณหนูตันจู ปฏิบัติธรรมขอรับ”
เฉินตันจูใช้พัดปิดปากหาววอดออกมา “ปฏิบัติแล้ว ใจถึงแล้ว นี่สองชั่วยามแล้วหรือไม่”
สองชั่วยามแล้ว แต่ท่านหลับไปหนึ่งชั่วยามครึ่ง เณรน้อยคิดในใจ
เฉินตันจูหมุนหัวไหล่ ขมวดคิ้วมองพื้น ชี้ไปยังเสื่อไม้ไผ่ “เสื่อนี้แข็งเกินไป นอนไม่สบาย เจ้าเปลี่ยนผืนหนาให้ข้าที”
ต้องยกเตียงมาด้วยเลยหรือไม่ อุโบสถไม่ได้มีไว้นอน! เณรน้อยคิดในใจ แต่ก็ทำได้เพียงแค่คิด ไม่กล้าพูดออกมา เฉินตันจูนี้กล้าลงมือตีคน…
“เอาเถิด เปิดประตู ออกไปเถิด” เฉินตันจูลุกขึ้นยืน “ไปกินข้าว”
เณรน้อยทำได้เพียงเปิดประตู ทำอย่างไรได้ ผู้ใดใช้ให้เขาโชคไม่ดีเป็นผู้ถูกเลือก ถูกผลักออกมาเฝ้าอุโบสถ
“ตงเซิง วันนี้กินอันใด” เฉินตันจูเดินออกมาพลางโบกพัดพลางถาม ไม่รอตอบก็พูดขึ้น “ยังคงเป็นเต้าหู้ผักกาดหรือ”
ถ้าไม่ใช่อย่างนั้นเล่า เณรน้อยตงเซิงคิดในใจ ต้มเนื้อให้ท่านหม้อหนึ่งหรือ
“ข้าไม่ได้ว่าพวกเจ้า แต่ถึงแม้จะเป็นเต้าหู้ผักกาดก็ทำให้อร่อยได้” เฉินตันจูพูด “พูดตามตรง กินอาหารของพวกเจ้า ทำให้ข้านึกถึงแต่ก่อน”
ชาติที่แล้ว นางถูกขังไว้บนภูเขาดอกท้อ มีเพียงนางกับอาเถียนสองคน ทั้งสองคนไม่มีผู้ใดเคยทำอาหารมาก่อน อาหารที่กินนั้น…แต่ว่าเวลานั้นพวกนางทั้งสองคนล้วนไม่มีจิตใจในการกินดื่ม นางเองป่วยเป็นเวลานาน ทุกวันกินอาหารเล็กน้อยเพื่อรักษาชีวิตเอาไว้
เณรน้อยคิดในใจคุณหนูตันจูมีแต่ก่อนอันใดกัน แต่ว่าเขาดีใจมาก เมื่อออกจากอุโบสถก็ไม่ใช่หน้าที่ของเขาแล้ว ไปทรมานเหล่าศิษย์พี่ในห้องครัวเถิด
“ตงเซิง” เฉินตันจูหันกลับมา ชี้ไปที่อุโบสถ “อย่าลืมคัดคัมภีร์ของวันนี้ด้วย”
ฮองเฮายังลงโทษให้นางคัดคัมภีร์สิบจบ นางยังจำได้
เณรน้อยยืนอยู่ด้านหน้าประตูอุโบสถแทบจะร้องไห้ออกมา แต่ก็ไม่กล้าคัดค้าน ทำได้เพียงมอง
เฉินตันจูเดินจากไป ทำอย่างไร คุณหนูตันจูให้เขาคัดคัมภีร์ คงจะไม่ให้เขาคัดไปตลอดกระมัง เณรน้อยวิ่งไปหาอาจารย์ฮุ้ยจื้อ สุดท้ายถูกรั้งไว้ด้านนอกประตู
“อาจารย์ปิดประตูนั่งสมาธิสิบวัน” ศิษย์พี่ด้านนอกประตูกำชับ “อย่าได้มารบกวน”
เณรน้อยผงะ “เช่นนั้น เช่นนั้นคุณหนูตันจูนาง...”
ศิษย์พี่รีบพูด “อาจารย์บอกไว้ เรื่องของคุณหนูตันจูเป็นไปตามวาสนา…เจ้าจัดการด้วยตนเองก็พอ”
เขาจะจัดการอย่างไร เขาเป็นเพียงเด็กกำพร้าที่ถูกทางวัดเก็บได้ในฤดูหนาว เลี้ยงจนกระทั่งปีนี้อายุสิบสอง เขายังเป็นเด็กที่ไม่รู้เรื่องอันใดแม้แต่น้อย ตงเซิงทำได้เพียงกลับไปคัดคัมภีร์ด้วยท่าทางท้อแท้…เขาไม่กล้าไม่คัด กลัวคุณหนูตันจูจะตีเขา
เฉินตันจูเดินทางมาที่ห้องครัว กินแต่ผักและเต้าหู้ทุกวัน ทำให้หิวง่ายอย่างมาก ห้องครัวยังไม่ถึงเวลากินข้าว พระสงฆ์ปฏิบัติธรรมวันหนึ่งกินสองมื้อ แต่เมื่อเห็นเฉินตันจูเดินมา พระสงฆ์หลายรูปต่างรีบทำอาหารให้นาง ข้าวหนึ่งชามกับน้ำแกงหนึ่งชาม
“อันที่จริงอาหารเหล่านี้สามารถทำให้อร่อยได้” เฉินตันจูพลางกินพลางพูด นางมองพระสงฆ์สามคนที่ยืนหลบอยู่ด้านหลังเตาไฟ นึกถึงหมอทหารชราที่อยู่บนภูเขากับนางสามปี หมอทหารชราสอนวิชาการรักษาให้นาง อีกทั้งทำอาหารสมุนไพรรักษาร่างกายให้นางมากมาย ส่วนใหญ่ล้วนเป็นอาหารที่ไม่มีเนื้อสัตว์ อร่อยกว่าที่นางกับอาเถียนทำเองอย่างมาก ต่อมานางกับอาเถียนศึกษาการกิน บนภูเขาไม่มีสิ่งอื่นทำ พวกนางจึงพลิกตำราดูทีละเล่ม จากนั้นทดลอง “อาทิฟัก ต้มนานอีกหน่อย รสชาติจะดีมากขึ้น นอกจากอาหารแล้ว ยังสามารถทำขนมได้ เห็นว่าพวกเจ้ามีปลูกผลพรุนไว้ด้านหลัง นำผลพรุนกับขิงซอยทำเป็นผลไม้ดองได้”
พระสงฆ์รูปหนึ่งพูดขึ้นอย่างใจกล้า “คุณหนูตันจู พวกข้าปฏิบัติธรรม ฝึกฝนทางจิต…”
“ฝึกฝนทางจิต” เฉินตันจูพูดขัดเขา “ไม่ได้บอกว่าเป็นอาหาร อีกอย่าง เวลานี้พวกเจ้าเป็นวัดหลวง
ฝ่าบาทย่อมต้องมาปฏิบัติธรรม เมื่อถึงเวลา พวกเจ้าจะให้ฝ่าบาทเสวยสิ่งนี้หรือ”
นางชี้ไปที่อาหารบนโต๊ะ
“ไม่ได้ ข้าไม่อาจให้ฝ่าบาทต้องลำบากเช่นนี้ อาจารย์ฮุ้ยจื้อเล่า? ข้าไปคุยกับเขา ให้เขาเชิญพ่อครัวที่ดีมา”
พูดพลางวางชามและตะเกียบลง จากนั้นยกชายกระโปรงวิ่งออกไป
เหล่าพระสงฆ์ต่างโล่งใจ พวกเขาเดินออกมาจากด้านหลังเตาไฟ มองชามและตะเกียบบนโต๊ะ ก่อนจะมองแผ่นหลังของหญิงสาว สีหน้าฉงน คุณหนูตันจูรังเกียจอาหารไม่เลิศรส เหตุใดจึงกลายเป็นฝ่าบาทได้รับความลำบาก นางจะไปฟ้องพวกเขาว่ากบฏต่อฝ่าบาทเพราะเหตุนี้หรือไม่
น่ากลัวเหลือเกิน!
มิน่าอาจารย์ฮุ้ยจื้อจึงไปนั่งสมาธิ
เนื่องจากอาจารย์ฮุ้ยจื่อกำลังนั่งสมาธิ เฉินตันจูจึงถูกรั้งเอาไว้ด้านนอกประตู อาจารย์นี้ ตั้งแต่นางยังไม่มาก็ปิดประตูหลบซ่อนตัวแล้ว
“อาจารย์” เฉินตันจูยืนเรียกอยู่ด้านนอก “พวกเราไม่ได้พบกันนาน กว่าจะได้พบกัน นั่งลงสนทนากันดีกว่าหรือไม่ ท่านนั่งสมาธิอันใดกัน”
ดีที่สุดคือไม่ต้องพบกันอีก อาจารย์ฮุ้ยจื้อคิดอยู่ภายในห้อง เขาไม่กล้าเคาะมู่อวี๋ ทำให้ภายในห้องเหมือนไม่มีคน
เฉินตันจูไม่ได้พังประตูเข้าไป การกินดื่มไม่ใช่เรื่องสำคัญอันใด รอตอนจากไปค่อยตักเตือนอาจารย์ก็พอ เมื่อออกจากทางอาจารย์ฮุ้ยจื้อนี้ นางไม่ได้กลับไปคุกเข่าในอุโบสถต่อ ใช้เวลาครึ่งวันสำนึกผิดต่อหน้าพระพุทธรูปก็เพียงพอแล้ว
เนื่องจากการมาถึงของนาง วัดถิงอวิ๋นปิดตำหนักด้านหลังไป เหลือไว้เพียงตำหนักด้านหน้าให้ราษฎร ถึงแม้จะบอกว่าเป็นการกักบริเวณ แต่นางสามารถเดินเล่นอยู่ตำหนักด้านหลังได้ หากต้องการเดินไปตำหนักด้านหน้าจริง ก็คงไม่มีผู้ใดกล้ารั้งเอาไว้ หากต้องการออกจากวัดถิงอวิ๋น อืม…
แน่นอน เฉินตันจูไม่ใช่ผู้ที่ทำให้ทุกคนต้องลำบากใจ นางเพียงแค่เดินเล่นอยู่ตำหนักด้านหลัง ตำหนักด้านหลังยามบ่ายเงียบสงบอย่างยิ่ง ดุจดั่งพื้นที่ไร้คน นางเดินไปเดินมาจนกระทั่งเดินมาถึงด้านหน้าต้นซานจา เงยหน้ามองต้นซานจาที่คุ้นเคยนี้ ดอกซานจาสีขาวที่พบเห็นเมื่อครั้งก่อนกลายเป็นผลซานจากลมๆ แต่เวลานี้ยังไม่สุก ผลที่มีสีแดงปะปนบางส่วนงามยิ่งนัก…
เฉินตันจูมองดูอย่างเหม่อลอย ลมพัดผ่านไป ทำให้กระโปรงของนางพลิ้วไหว
ที่แท้หญิงสาวคนนั้นมีนามว่าเหยาฝู
เป็นน้องสาวของพระชายาองค์รัชทายาท ไม่ใช่เชื้อสายราชวงศ์แต่อย่างใด ชาติก่อนถูกสถาปนาเป็นองค์หญิงเพราะมีคุณงามความดีในการโจมตีเมืองอู๋ร่วมกับหลี่เหลียง คุณงามความดีที่ใช้ชีวิตของคนตระกูลเฉินแลกมา
ชาตินี้ นางสังหารหลี่เหลียงแล้ว จะสังหาร เหยาฝูอย่างไร
องค์รัชทายาท ทุกสิ่งล้วนเป็นแผนการขององค์รัชทายาท เช่นนั้นองค์รัชทายาทก็เป็นศัตรูของนางหรือ
หากเป็นเช่นนี้ อย่างนั้นฮ่องเต้ที่โจมตีเมืองอู๋ก็เป็นศัตรูของนาง? เฉินตันจูเผยยิ้ม มองดูผลซานจาสีแดง น้ำตาไหลรินลงมา
อันที่จริงจากสายตาของฮ่องเต้และองค์รัชทายาท หรือแม้กระทั่งแม่ทัพหน้ากากเหล็ก ตระกูลของพวกนางคือคนชั่วที่สมควรตาย
เฉินตันจูย่อมรู้เหตุผลนี้ นางไม่มีแม้แต่เหตุผลในการแก้แค้น
นางยืนอยู่ใต้ต้นซานจา ยกมือปิดหน้าร้องไห้เสียงดัง
“เจ้า…” เสียงหนึ่งดังขึ้นจากด้านหลัง “อยากกินผลซานจาหรือ”
พระสงฆ์เหล่านี้ไม่กลัวนางแล้วหรือ ไม่หลบนางแล้วหรือ หรือบางทีในหัวใจของพวกเขาผลซานจามีความสำคัญมาก เพื่อปกป้องผลซานจาทำให้ไม่เกรงกลัวคนชั่วร้ายอย่างนางแล้ว
เฉินตันจูยืนนิ่งไม่ขยับ ทำได้เพียงร้องไห้พลางพูด “ใช่!”
เสียงนั้นหัวเราะเบาๆ “เช่นนั้นก็ไม่ต้องร้องไห้ ข้าเด็ดให้เจ้า”
พระสงฆ์ที่ใจดีเพียงนี้? เฉินตันจูหันกลับไปด้วยน้ำตา มองเห็นชายหนุ่มที่ยืนอยู่ใต้ชายคาอุโบสถด้านข้างตั้งแต่เมื่อใดไม่รู้
ร่างของเขาสูงโปร่ง แผ่นหลังเหยียดตรง สวมชุดรัดสีขาวปักไปด้วยด้ายทอง เวลานี้มือทั้งสองข้างกอดอกเอาไว้ด้านหน้า เมื่อเห็นนางมองมา ดวงตาของเขายิ้มขึ้น