มือของสวีลิ่งอี๋หยุดอยู่ที่เอวของนางอย่างธรรมชาติ ราวกับว่าเขาเคยทำแบบนี้มาแล้วหลายพันครั้ง
สืออีเหนียงตกใจตัวแข็งทื่ออยู่สักพักหนึ่ง
นางรู้สึกว่าพฤติกรรมของเขาไม่มีความต้องการอะไรพิเศษ เป็นเพียงแค่ท่านอน
แต่ถึงแม้ว่าจะเป็นเช่นนี้ นางก็ขยับตัวไปมาอย่างไม่สบายใจ
สวีลิ่งอี๋รู้สึกถึงความไม่สบายใจของภรรยาทันที
เขารู้สึกว่ามันช่างน่าสนใจ
ตอนที่มีสาวใช้บุกเข้ามาตอนรังแกนาง ทั้งๆ ที่นางโมโหขนาดนั้น ไปที่เรือนของไท่ฮูหยินคนเดียว แต่ตอนเช้าเมื่อตัวเองยื่นเหรียญและตั๋วเงินที่เตรียมไว้ให้นางมอบให้นาง สายตาของนางกลับเต็มไปด้วยความไม่สบายใจ ถามเขาว่าอยู่ที่เรือนคนเดียวจะเบื่อหน่ายหรือไม่ แล้วยังบอกให้เฉียวอี๋เหนียงมาอยู่เป็นเพื่อน เขาไม่ได้ปฏิเสธ นางกลับมาจากตรอกกงเสียนก็รีบถามว่าตัวเขานั้นอยู่ที่เรือนทำสิ่งใดบ้าง…เดิมทีเขาอยากบอกว่าตนอยู่เรือนคนเดียวทั้งวัน ถือโอกาสทำให้นางกังวลใจ แค่สุดท้ายเห็นว่านางรู้สึกผิดที่กรมพระราชวังเก็บเงินสกุลสวีไปเพียงแค่สามร้อยตำลึง แต่ทำกล่องสมบัติกล่องใหญ่ที่งดงามขนาดนั้นให้นาง ราวกับว่านางเอาเปรียบกรมพระราชวัง เขาจะถูกคนอื่นใส่ร้ายว่าไม่จงรักภักดีได้
พูดตามตรง ความรู้ความเข้าใจของนางช่างน่าตลก หากซุ่นอ๋องไม่ฉลาด เขาก็คงจะควบคุมกรมพระราชวังไม่ได้ เรื่องที่ทำให้นาฬิกาไขลานกลายเป็นนาฬิกาไขลานเรือนใหญ่ เขามักจะทำอยู่บ่อยๆ แล้วก็ทำได้อย่างราบรื่น คนในราชสำนักที่ได้ประโยชน์จากเขาก็มีไม่น้อย นอกจากวันหนึ่งฮ่องเต้อยากจะจัดการพวกเขาสองคนพร้อมกัน ไม่เช่นนั้น เหล่าขุนนางที่สายตาเป็นประกายพวกนั้นไม่มีทางพูดถึงเรื่องนี้ กล่าวหาตัวเอง มันก็ต้องเกี่ยวข้องกับซุ่นอ๋อง กล่าวหาซุ่นอ๋อง ก็ต้องเกี่ยวข้องกับตัวเอง
แต่ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด ตอนที่เขาเห็นนางบอกให้สาวใช้ย้ายกล่องสมบัตินั้นออกไปจากสายตาของเขา เขาถึงได้รู้สึกอุ่นใจ
ถึงแม้ว่าจะรบกวนกรมพระราชวังทำของที่สะดุดตาเช่นนี้ออกมา แต่นางก็ยังคิดถึงตัวเขา…
เมื่อเรื่องราวเป็นนี้ เขาก็ยิ่งอยากจะหยอกล้อนางมากขึ้น
ดังนั้นเขาจึงแสร้งทำตัวนิ่งสงบแล้วบอกว่าจะไปขอบพระทัยซุ่นอ๋อง ทำให้นางไม่สบายใจขึ้นมา…และเมื่อเขาวางมือบนเอวของนาง ก็รู้สึกได้ว่านางไม่เป็นธรรมชาติ แต่ก็ไม่ได้แข็งทื่อเท่าเมื่อก่อน
ความคิดนี้วาบขึ้นมา เขาอดไม่ได้ที่จะยิ้มมุมปากแล้วพูดด้วยน้ำเสียงที่เอือมระอา “ซุ่นอ๋องส่งของขวัญชิ้นใหญ่เช่นนี้มา เจ้าก็รู้ว่าใกล้จะปีใหม่แล้ว กรมพระราชวังกำลังยุ่ง แต่พวกเขายังทำกล่องสมบัติให้เจ้าก่อนปีใหม่ ข้าไม่ไปขอบพระทัยไม่ได้” ยังพูดไม่ทันจบ เขาก็สัมผัสได้ว่านางหดตัวลง
สวีลิ่งอี๋แอบขบขัน เขาถอนหายใจเบาๆ
ในคืนที่เงียบสงัด แต่กลับได้ยินเสียงถอนหายใจของเขาอย่างชัดเจน
ทันใดนั้นสืออีเหนียงก็รู้สึกว่ามือที่อยู่ที่เอวของนางร้อนราวกับไฟ นางไม่สบายใจ “แต่ว่าเท้าของท่าน…”
สวีลิ่งอี๋กลั้นหัวเราะแล้วพูดอย่างเคร่งขรึม “ข้านั่งเสลี่ยงไปก็ได้ โรคข้อเท้าอักเสบประเดี๋ยวก็ดีประเดี๋ยวก็ทรุด หากมีใครถามก็บอกว่ารู้สึกดีขึ้นมานิดหน่อย จึงออกมาเดินเล่น”
ในเมื่อออกมาเดินเล่น ไม่ไปหาแม่ยายที่กำลังป่วยแต่กลับไปจวนซุ่นอ๋อง หากใครรู้เข้ามันคงจะไม่ดี พูดอย่างจริงจัง ก็เพราะว่าสวีลิ่งอี๋เคารพนายหญิงใหญ่แค่ผิวเผินเท่านั้น แต่ทำอะไรไม่เคยเห็นหัวนาง ไม่เคยไตร่ตรองถึงตรงนี้
สืออีเหนียงเตือนเขา “เช่นนั้นก็ต้องไปตรอกกงเสียน ยุ่งยากเกินไปหรือไม่เจ้าคะ!”
ลืมเรื่องนี้ไปเลย!
สวีลิ่งอี๋ไม่ได้จะไปจวนซุ่นอ๋องอยู่แล้ว แต่เขาคิดไม่รอบคอบเอง ได้ยินเช่นนี้เขาก็พูดว่า “ใช่ วันนี้เจ้ากลับสกุลเดิมข้าก็ไม่ได้ไปด้วย พรุ่งนี้รีบไปจวนซุ่นอ๋องคงไม่เหมาะสมเท่าไร แต่ซุ่นอ๋องมีฐานะสูงส่ง นอกจากข้า ก็ให้คนอื่นไปแทนไม่ได้…”
เขาพูดช้าลง ราวกับว่ากำลังคิดเรื่องนี้อย่างจริงจัง ราวกับว่าเขาลำบากใจ สืออีเหนียงได้ยินเช่นนี้ก็ยิ่งรู้สึกผิดมากกว่าเดิม เรื่องนี้ไม่ทางอื่น นอกจากสวีลิ่งอี๋ก็ไม่มีใครไปแทนได้…นางทำได้แค่มองข้ามความลำบากใจของเขาไป แต่กลับรู้สึกว่ามือที่วางอยู่บนเอวของนางกำลังลูบไล้ผิวของนางเบาๆ
ตั้งแต่ครั้งแรกที่ใกล้ชิดกัน สวีลิ่งอี๋ก็เห็นว่าเจ้าสาวของตัวเองมีผิวพรรณที่ชวนให้น่าลุ่มหลง แต่ว่าตอนนั้นสถานการณ์ไม่ปกติ ต่อมาก็มีเรื่องต่างๆ นาๆ ตอนนี้เขาแนบชิดอยู่กับผิวพรรณที่เรียบเนียน ปลายนิ้วของเขาก็อดไม่ได้ที่จะขยับไปมา
ละเอียดอ่อนราวกับกระเบื้องลายคราม แล้วยังอ่อนนุ่มราวกับหยกอุ่น…หัวใจของเขาพลันสั่นไหว น้ำเสียงที่พูดก็ค่อยๆ ช้าลงเอง
บางคนมักจะมีพฤติกรรมบางอย่างเมื่อกำลังใช้สมองครุ่นคิด
แต่นี่สวีลิ่งอี๋ตั้งใจหรือไม่ตั้งใจกันแน่
สืออีเหนียงไม่มีเวลาคิดเรื่องนี้ ความรู้สึกจั๊กจี้ที่เอวของนางทำให้นางมีปฏิกิริยาบางอย่าง นางอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา แล้วบิดตัวออกจากมือของเขา
“คันเจ้าค่ะ!”
เขารีบควบคุมอารมณ์ของตัวเองทันที ได้สติกลับมาอย่างรวดเร็ว
ตั้งแต่พวกเขาสองคนอยู่ด้วยกัน นี่เป็นครั้งแรกที่นางหัวเราะอย่างไม่ปกปิดในอ้อมแขนของเขา
คนฉลาดมักจะสร้างโอกาสให้ตัวเองเสมอ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงโอกาสเช่นนี้
สวีลิ่งอี๋มีความคิดขึ้นมาทันที
เขาแสร้งทำเป็นไม่รู้แล้วถามนางอย่างเคร่งขรึม “คันที่ใด” แต่มือกลับเกาที่เอวของนางเบาๆ
สืออีเหนียงตกใจ
สวีลิ่งอี๋กำลังหยอกล้อนาง!
รู้สึกว่าภรรยาตกใจ สวีลิ่งอี๋ก็ลองอีกครั้ง “คันตรงนี้หรือ” เขาเกาอีกครั้ง
สืออีเหนียงไม่เพียงแต่รู้สึกจั๊กจี้ แต่ยังสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของความขี้เล่นของเขา
นึกถึงช่วงนี้ที่เขารักษาระยะห่างกับตัวเอง นางก็ผ่อนคลายลง อดไม่ได้ที่จะหัวเราะแล้วจับมือเขาไว้ “หยุดได้แล้ว จั๊กจี้จริงๆ เจ้าค่ะ!” นางบิดตัวไปมา
ราวกับลูกแมวตัวน้อยที่ซุกอยู่ในอ้อมแขนของเขา…
หายใจเข้าลึกๆ “พอได้แล้ว พอได้แล้ว…” สืออีเหนียงขอร้อง บิดตัวราวกับขนมเกลียว
หัวใจของสวีลิ่งอี๋เต้นรัวอย่างควบคุมไม่ได้ เขาหายใจแรงขึ้นกว่าเดิม
ดูเหมือนว่าสืออีเหนียงจะถูกความร้อนจากตัวเขาลวก ใบหน้าของนางร้อนขึ้น นางรีบพลิกตัวแล้วทำท่าทีเหมือนจะออกห่างจากสวีลิ่งอี๋
มือของเขาก็ลูบไล้ไปตามส่วนโค้งเว้าอันอ่อนนุ่มของนาง ไปหยุดอยู่ที่เอวที่ผอมเพรียวราวกับกิ่งของต้นหลิว
ลมหายใจกระทบกับหูของนาง สืออีเหนียงไม่สงสัยอีกต่อไป
นางรู้สึกเขินอายและตกใจ
“ท่านโหว…” นางพูดด้วยน้ำเสียงที่อ้อนวอน
สวีลิ่งอี๋ยิ้มมุมปาก
วันระดูของตัวเองจะหมดเมื่อใด…ดูเหมือนใกล้จะกลางเดือนแล้ว…ตอนนี้คือปลายเดือน…
คิดเช่นนี้ นางตัวสั่นเบาๆ
“ท่านโหว!” นางพูดด้วยน้ำเสียงที่คลุมเครือ ไม่รู้ว่าต้องการจะสื่ออะไรกันแน่
สวีลิ่งอี๋ประหลาดใจ
เมื่อครู่ยังดีๆ อยู่เลย แต่ทำไมกัน…
ถึงนึกถึงครานั้น ที่ตัวเองล้มเลิกกลางคันขึ้นมา…เขากัดหูนางเบาๆ กระซิบถาม “กลัวหรือ”
สืออีเหนียงกลัว
นางกลัวว่าตัวเองจะตั้งครรภ์
แต่นางรู้อยู่แก่ใจว่านางจะพูดเช่นนั้นออกมาไม่ได้
“สืออีเหนียง” น้ำเสียงที่มึนเมาแหบแห้งลงเล็กน้อย “มา…” เขาขยับใบหน้าที่ร้อนๆ ของตัวเองเข้ามาใกล้หน้าของนาง นางสัมผัสได้ถึงอารมณ์ที่เดือนพล่านของเขาอย่างชัดเจน
สืออีเหนียงรู้สึกว่าร่างกายของตัวเองร้อนผ่าวขึ้นมา
“ข้า ข้าไม่เป็น…”
สวีลิ่งอี๋หัวเราะเบาๆ “ท่านป้าไม่เคยสอนเจ้าหรือ…”
สืออีเหนียงไม่ฟังต่างหาก
นางคิดว่าตัวเองเข้าใจ
แต่ความจริงแล้ว เข้าใจและทำเป็นไม่เหมือนกัน
ความเงียบของสืออีเหนียงทำให้สวีลิ่งอี๋พอใจ
สวีลิ่งอี๋หัวเราะ
******
สืออีเหนียงรู้สึกว่าในหัวของตัวเองเต็มไปด้วยแป้งเปียก
เห็นว่าตัวเองยังทับสืออีเหนียงอยู่ครึ่งหนึ่ง เขาอดไม่ได้ที่จะพูดว่า “เจ้าไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่” เขาถามด้วยน้ำเสียงที่ตึงเครียดเล็กน้อย
สืออีเหนียงตื่นเต้น นางไม่มีความรู้สึกอะไรทั้งนั้น
ได้ยินเขาถามเช่นนี้ นางก็รีบพูดว่า “ข้าไม่เป็นอะไรเจ้าค่ะ!” พูดด้วยน้ำเสียงที่ปลอบโยนอย่างไม่รู้ตัว
สวีลิ่งอี๋กลัวว่าตัวเองจะทับนาง
เขาขยับตัวออกไปข้างๆ นึกถึงความอ่อนน้อมของนางเมื่อครู่ เขาก็รู้สึกอุ่นใจ จากนั้นก็กอดนางไว้ในอ้อมแขนด้วยความรักและเอ็นดู ลูบผมของนางเบาๆ
รู้สึกว่าเขาพอใจแล้ว ในที่สุดสืออีเหนียงก็ผ่อนคลายลง
ในที่สุดก็จบลงแล้ว!
นางนอนอยู่ในอ้อมแขนของเขาด้วยความเหน็ดเหนื่อยแล้วหลับไป
หลับไปอย่างไม่มีความฝัน ตื่นขึ้นมาในเช้าวันรุ่งขึ้น สวีลิ่งอี๋ก็ไม่ได้นอนอยู่ข้างนางแล้ว
หู่พั่วรีบพูดว่า “ท่านโหวไปที่เรือนปั้นเย่ว์พั่นแล้วเจ้าค่ะ”
พึ่งจะยามเหม่า เขาก็ไปเรือนปั้นเย่ว์พั่นเสียแล้ว
สืออีเหนียงตกใจ “ท่านโหวออกไปเมื่อใด มีใครมาหาท่านโหวหรือไม่”
หู่พั่วส่ายหน้า “ไม่มีใครมาหาท่านโหวเจ้าค่ะ ท่านโหวออกไปยามอิ๋น แค่บอกบ่าวว่าอย่าเรียกฮูหยินตื่น”
สืออีเหนียงลุกขึ้นจากเตียงด้วยความสับสน พึ่งจะแต่งตัวเสร็จ สวีลิ่งอี๋ก็เดินเข้ามา
เขาสวมเสื้อคลุมสีฟ้า ใบหน้าแดงก่ำ สีหน้าสดชื่น เห็นว่าสืออีเหนียงแต่งตัวเสร็จเรียบร้อยแล้ว เขาก็เดินไปนั่งลงบนเตียงเตาข้างหน้าต่าง แล้วสั่งให้สาวใช้ยกอาหารเช้าเข้ามา
“ท่านโหวไปไหนมาเจ้าคะ ออกไปตั้งแต่เช้าก็ไม่บอกข้า ปล่อยให้ข้าเป็นห่วง”