เมื่อเณรน้อยตงเซิงเห็นว่าเฉินตันจูไม่ได้ย้ายเตียงมาไว้ในอุโบสถ หากแต่เพิ่มโต๊ะหนึ่งตัว อีกทั้งไม่ได้อยู่แค่ช่วงเช้าแล้วไม่มาอีก
คุณหนูตันจูนั่งอยู่ด้านหน้าโต๊ะ ยกพู่กันเขียนอย่างตั้งใจ
ตงเซิงโล่งอกด้วยความดีใจ มีความรู้สึกปลื้มปริ่มดุจดั่งม้าตัวน้อยที่ไม่เชื่องกำลังจะเชื่อฟัง เขามองหญิงสาวตรงข้ามที่ถือพู่กันเขียนหนังสืออย่างตั้งใจ ก่อนจะวางพู่กันในมือของตนเองลง…
“ตงเซิง” เฉินตันจูพบเห็นทันที นางเงยหน้าเตือน “วันนี้เขียนเสร็จแล้วหรือ”
ตงเซิงผงะไปเล็กน้อย ก่อนจะพูดออกมาอย่างใจกล้า “คุณหนูตันจูคัดด้วยตนเองแล้ว ข้าก็ไม่ต้องคัดแล้วหรือไม่”
“ข้าไม่ได้คัดคัมภีร์” เฉินตันจูส่ายหัว “ข้ากำลังยุ่งเรื่องอื่น”
ยุ่งเรื่องอื่น? ตงเซิงถลึงตา ก่อนจะเห็นเฉินตันจูพูดพึมพำบางอย่างหลังจากพูดกับตนเองจบ “หยิบบันทึกมา ตำราไม่มากพอ ขนตำราแพทย์มาอีก” กำลังยุ่งเรื่องอื่นอย่างที่กล่าวจริงด้วย จิตใจไม่ได้อยู่บนการปฏิบัติธรรมแม้แต่น้อย!
“เหตุใดจึงต้องมาอุโบสถ ไปอยู่ในห้องของตนเองดีกว่าเสียอีก” ตงเซิงพึมพำเสียงเบา
เฉินตันจูได้ยิน เอ่ยว่า “เพราะว่าข้าต้องปฏิบัติธรรม เขียนในอุโบสถมีความจริงใจมากกว่า” นางหันไปมองพระพุทธรูป สีหน้าจริงจัง อีกทั้งปนไปด้วยความซาบซึ้ง
นางถูกลงโทษให้ขังไว้ในวัดถิงอวิ๋น อีกทั้งเพิ่งรับรู้ตัวตนที่แท้จริงของศัตรูที่ตนเองอยากรู้ ตัวตนนี้ทำให้นางเศร้าโศก อย่าว่าแต่แก้แค้น อีกฝ่ายสามารถฆ่านางได้อย่างง่ายดาย เพราะเบื้องหลังของอีกฝ่ายยิ่งใหญ่เกินไป…องค์รัชทายาท
ผู้ที่จะกลายเป็นโอรสสวรรค์ในอนาคต
ภายใต้แผ่นดินเช่นนี้ ตระกูลของนางย่อมต้องถูกบีบบังคับให้เดินไปบนทางตายไม่ช้าก็เร็ว
ถึงแม้เวลานี้จะมีแม่ทัพหน้ากากเหล็กช่วยเหลือ แต่ตอนที่นางตายในอดีตชาติ แม่ทัพหน้ากากเหล็กก็ตายไปแล้ว องค์หญิงจินเหยาก็ตายไปแล้ว อีกทั้งองค์ชายหกนั้น ตายหลังจากนางไม่นานนักกระมัง คนที่นางรู้จักเหล่านี้ ไม่มีผู้ใดอยู่ได้นานเท่าองค์รัชทายาท
แต่องค์ชายสามมีชีวิตอยู่ อย่างน้อยตอนที่นางตายเขายังมีชีวิตอยู่ อีกทั้งยังทำให้เมืองฉีอยู่รอด เช่นนั้นเพียงแค่นางรักษาองค์ชายสามให้หายเหมือนดั่งหญิงสาวเมืองฉีนั้น คนที่รู้บุญคุณอย่างองค์ชายสามย่อมต้องคุ้มครองตระกูลของนาง
โอกาสนี้พระพุทธเจ้าเป็นผู้ประทานให้ ตอนที่นางไร้หนทาง ทำให้นางมายังวัดถิงอวิ๋น พบเจอกับองค์ชายสาม
เฉินตันจูเต็มไปด้วยความซาบซึ้งและดีใจ
ตงเซิงยิ่งฉงน “เช่นนั้นยิ่งต้องคัดคัมภีร์เป็นการแสดงความจริงใจหรือไม่”
“ความจริงใจไม่ได้มาจากการคัดคัมภีร์ แต่มาจากใจ” เฉินตันจูพูด พระพุทธเจ้าจะสนใจคัมภีร์เล็กน้อยของนางได้อย่างไร คัมภีร์นี้ฮองเฮาเป็นคนสั่งให้คัด เมื่อเทียบกันแล้วพระพุทธเจ้าคงยินดีที่จะเห็นนางรักษาคนมากกว่า พูดจบนางก็เอ่ยเตือนตงเซิง “อย่าแอบอู้ รีบเขียนให้เสร็จ”
ตงเซิงทำได้เพียงเขียนต่อด้วยใบหน้าไม่เต็มใจ
พระราชวังอู๋ครอบครองพื้นที่กว้างขวาง ถึงแม้ฮ่องเต้จะแบ่งพื้นที่ส่วนหนึ่งสร้างวังให้องค์รัชทายาท แต่พระราชวังยังคงกว้างใหญ่
องค์หญิงจินเหยาพักอยู่ในหอวั่งชุนที่ห่างจากวังของฮองเฮาไม่ไกล บริเวณนี้มีหินรูปทรงแปลกๆ และน้ำไหล ต้นไม้โบราณและดอกไม้งาม สายลมในฤดูใบไม้ร่วงพัดพากลิ่นของดอกไม้ให้ตลบอบอวลไปทั่วทั้งหอวั่งชุน
องค์หญิงจินเหยาตื่นขึ้นมาบนเตียงที่มีม่านห้อยลงมา นางพลิกตัวเล็กน้อย นางในเดินขึ้นหน้าเรียกขานองค์หญิง ในมือถือชาอุ่น พร้อมทูลว่า “องค์หญิงองค์อื่นๆ ล้วนอยู่ที่วังของฮองเฮา ฮองเฮาให้คนส่งยาทามาให้ใหม่ เวลานี้จะทายาหรือไม่เพคะ”
องค์หญิงจินเหยาขยับตัวเล็กน้อย ความปวดบนร่างกายหายไปแล้ว เวลานี้คิดเพียงว่าการประลองไม่มีอันใด จื่อเย่ว์นั้นไม่ได้ใช้แรงแม้แต่น้อย ส่วนเฉินตันจูก็ล้มนางภายในกระบวนท่าเดียว ถึงแม้เวลานั้นจะดูอนาถ บนร่างกายก็รู้สึกเจ็บ แต่เมื่อพักผ่อนเสียวันสองวันก็ไม่เป็นอันใดแล้ว
“ไม่ต้องทา” นางลุกขึ้น ปล่อยผมยาวดำขลับเดินมานั่งลงบนโต๊ะแต่งกาย
ด้านบนโต๊ะมีกระจกทองแดงขนาดใหญ่ ปิ่นปักผมมุกมากมาย เยียนจือ[1]และแป้งวางทับซ้อนกัน
เมื่อเห็นองค์หญิงจินเหยานั่งลงด้านหน้าโต๊ะ นางในรีบเรียกขาน “อาเซียง”
ด้านนอกมีนางในอายุยี่สิบกว่าคนหนึ่งเดินเข้ามา ข้างกายตามมาด้วยนางในเด็กอีกสามคน
“วันนี้องค์หญิงอยากหวีผมทรงอันใดดีเพคะ” นางในอาเซียงถามด้วยรอยยิ้ม
องค์หญิงจินเหยาปิดปากหาวหวอดต่อหน้ากระจก มองดูหญิงงามที่สะท้อนในกระจก ก่อนจะพูดอย่างเบื่อหน่าย “ไม่รู้”
อาเซียงไม่ได้รู้สึกลำบากใจต่อคำว่าไม่รู้ หลายปีมานี้ ทุกครั้งที่องค์หญิงไม่รู้สุดท้ายล้วนกลายเป็นความพึงพอใจ จากนั้นทำให้ทุกคนตกตะลึงในความงาม
“องค์หญิงจะเสด็จไปหาฮองเฮาหรือไม่เพคะ” นางถาม มือหนึ่งหยิบหวีขึ้นมา หวีผมอย่างคล่องแคล่ว พลางถามนางในด้านข้าง “มีองค์หญิงท่านใดอยู่บ้าง เหนียงเหนียงองค์ใดจะเสด็จมาบ้าง”
องค์หญิงและเหนียงเหนียงแต่ละคนล้วนมีการแต่งกายที่แตกต่างกัน อาเซียงรู้ดีเป็นอย่างยิ่ง นางจะทำให้องค์หญิงโดดเด่นแต่ไม่แปลกแยกในหมู่คนเหล่านี้
นางในพูดออกมาเพียงสองชื่อ องค์หญิงจินเหยาก็ขัดขึ้น เอ่ยถาม “คุณหนูตันจูเป็นอย่างไรบ้างแล้ว”
เมื่อเทียบกับเหล่าพี่น้องในพระราชวัง องค์หญิงจินเหยาคิดถึงพี่น้องนอกพระราชวังคนนี้มากกว่า นางในส่ายหัว “องค์หญิง ฮองเฮาไม่อนุญาตให้พวกเราออกจากวังเพคะ”
องค์หญิงจินเหยาขุ่นเคือง “เหตุใดเจ้าจึงโง่เขลาเพียงนี้ ไม่ให้พวกเราออกจากวัง เจ้าไม่อาจให้คนอื่นช่วยสืบหรืออย่างไร พี่สี่เล่า เขาและพี่สองถูกเสด็จพ่อสั่งให้ไปดูแลเมืองที่สร้างใหม่ ออกจากวังทุกวัน”
นางในพูดเสียงเบา “องค์หญิง ถึงแม้จะออกไปก็ไม่ได้อยู่ดีเพคะ ทางวัดถิงอวิ๋นพวกเราก็เข้าไปไม่ได้ ฮองเฮาสั่งวัดถิงอวิ๋นเอาไว้ ให้กักบริเวณเฉินตันจู ไม่ให้ผู้ใดเยี่ยมเยือนเพคะ”
หากเป็นสถานที่อื่นคงง่าย เพียงแค่กล่าวชื่อขององค์หญิงองค์ชายก็เข้าไปได้ แต่วัดถิงอวิ๋นไม่ได้ วัดนั้นเป็นวัดหลวง อาจารย์ฮุ่ยจื้อเป็นราชครู บารมีและความน่าเกรงขามไม่อาจละเมิดได้
องค์หญิงจินเหยาเคยพบราชครูท่านนี้หนึ่งครั้ง รูปร่างสูงใหญ่ ดูท่าทางไม่เมตตามากนัก อีกทั้งต้องเข้มงวดมากอย่างแน่นอน นางสามารถขอร้องให้เสด็จพ่อใจอ่อนได้ แต่ราชครูท่านนี้คงไม่ใจอ่อนกับนาง
องค์หญิงจินเหยาเบะปากมองกระจก “คุณหนูตันจูผู้น่าสงสาร ยังต้องถูกขังอีกกี่วันกัน”
นางในรีบพูด “ไม่มากแล้วเพคะ ไม่มากแล้ว ยังมีอีกห้าวันก็ออกมาได้แล้วเพคะ”
องค์หญิงจินเหยานั่งตัวตรง “ได้ เมื่อถึงเวลา ข้าจะไปรับนาง หากเสด็จแม่ไม่ให้ข้าออกจากวัง ข้าจะไปขอเสด็จพ่อ”
เกรงว่าจะทำให้ฮ่องเต้และฮองเฮาถกเถียงกันอีกครั้งเสียแล้ว เฮ้อ ล้วนเป็นเพราะเฉินตันจูผู้นี้ นางในไม่กล้าตอบรับ เอ่ยถาม “องค์หญิง เวลานี้เชื่อฟังฮองเฮาก่อนเพคะ เมื่อเหนียงเหนียงดีใจ ทุกอย่างล้วนง่ายดาย
เพคะ”
ในขณะที่พวกนางสนทนากัน สายตาของอาเซียงจับจ้องกระจก พิจารณาอารมณ์ขององค์หญิง มือของนางไม่หยุดหย่อนภายใต้การช่วยเหลือของนางในอีกสองคน ผมยาวถูกหวีขึ้นเป็นทรงอย่างช้าๆ
องค์หญิงชอบเฉินตันจูคนนี้ ในฐานะนางในสางผม อาเซียงจำเฉินตันจูคนนี้เอาไว้เช่นเดียวกัน เพราะวันนั้นที่องค์หญิงสางผมทรงที่แม้แต่ตนเองไม่เคยพบเห็น
องค์หญิงบอกว่า ทรงนี้เรียกว่าทรงองค์หญิง เฉินตันจูเป็นผู้สางผมให้นาง ตอนที่องค์หญิงพูดนั้น ภายในดวงตาเต็มไปด้วยรอยยิ้ม
โชคดีที่เป็นเฉินตันจู ไม่ใช่นางในคนใดในพระราชวัง มิฉะนั้นอาเซียงคงจะสิ้นหวังกับรอยยิ้มนี้แล้ว…มีคนคิดจะแย่งงานสางผมของนาง
นางจำทรงองค์หญิงและเฉินตันจูเอาไว้อย่างขึ้นใจ
“องค์หญิง หรือไม่สางผมทรงองค์หญิงดีหรือไม่เพคะ” อาเซียงพูดเสียงเบา “หม่อมฉันก็สางเป็นแล้ว”
สางผมทรงนี้ สามารถให้องค์หญิงอื่นดู อีกทั้งให้ฮองเฮาดู บางทีฮองเฮาอาจรู้สึกดีต่อเฉินตันจูขึ้นมาเล็กน้อย เช่นนี้องค์หญิงจินเหยาก็มีความสุขได้…
การสางผมไม่ใช่แค่เพียงการสางผม หากแต่เป็นการเอาใจคน
อาเซียงมีความรู้สึกมากมายต่อฝีมือของตนเอง
องค์หญิงจินเหยาหันหลังกลับไปอย่างกะทันหัน อาเซียงตกใจ รีบปล่อยมือออก จึงไม่ได้ทำให้องค์หญิงเจ็บตัว
“ข้าไม่ไปหาเสด็จแม่แล้ว” นางพูด “ข้าจะไปสนามฝึก”
สนามฝึก? เหล่านางในผงะ
“องค์หญิงจะขี่ม้าหรือเพคะ”
“องค์หญิงจะยิงธนูหรือเพคะ”
“องค์หญิงไปวันพรุ่งนี้ดีกว่าเพคะ เวลานี้ร้อนเกินไป”
องค์หญิงจินเหยาส่ายหัว ดวงตาลุกวาว “ข้าจะไปหาอาจารย์สนามฝึก ฝึกชนมุม”
ชนมุม? เหล่านางในตะลึง สตรีฝึกขี่ม้ายิงธนูล้วนเป็นเรื่องปกติ แต่ชนมุม?!
“รอข้าฝึกเป็นแล้ว ตอนไปรับเฉินตันจู ข้าจะประลองชนะนาง” องค์หญิงจินเหยาหัวเราะร่า ในขณะที่กำลังลุกขึ้นเดินออกไป พบว่าผมยังสางไม่เสร็จ จึงเร่งเร้าอาเซียง “เจ้าสางผมที่เหมาะสมในการชนมุมก็พอ”
ชนมุม? ทรงผมชนมุม หวีอย่างไร อาเซียงตระหนกในทันที
องค์หญิงจินเหยายื่นมือสาธยายเล็กน้อย “มัดขึ้นมาให้ข้าก็พอ อย่างใดง่ายก็ทำอย่างนั้น ไม่ต้องยุ่งยาก”
สวรรค์ ไม่ต้องยุ่งยาก เช่นนั้นนางในสางผมอย่างนางจะมีประโยชน์อันใด อาเซียงมือสั่นใจสั่น
“องค์หญิง ใช้เยียนจืออันใดเพคะ”
“ใช้เยียนจืออันใดกัน เมื่อข้าเรียนชนมุมเสร็จ ยังต้องล้างหน้าอีก ไม่ต้องใช้เยียนจือแล้ว”
“เร็วเข้า พวกเจ้าเร็วเข้า อีกอย่าง ชุด หยิบชุดสั้นให้ข้า”
เหล่านางในภายในห้องต่างวุ่นวายขึ้นมา แต่รวดเร็วกว่าเวลาอื่น แทบจะชั่วพริบตา องค์หญิงจินเหยาก็เดินออกจากภายในห้อง นางทาแป้งบาง แต้มเยียนจือเล็กน้อย สางผมสองข้างใช้สายด้ายทองมัดเอาไว้อย่างง่ายดาย สวมชุดแขนสั้นเหลี่ยม มัดเอวพับกระโปรง เดินออกไปอย่างคล่องตัว
นางในที่พบเห็นต่างตกใจ ถึงแม้การแต่งกายเช่นนี้จะงดงามเหมือนกัน แต่สำหรับองค์หญิงจินเหยาที่หลงใหลในการแต่งกายโอ่อ่าแล้ว การแต่งกายเรียบง่ายเช่นนี้ดุจดั่งชุดนอน
องค์หญิงจินเหยาเป็นอันใดไป
[1] เยียนจือ คือ ชาด มีลักษณะเป็นผงอัดแข็งหรือครีมใช้แต้มริมฝีปากและแก้ม ทำขึ้นจากเม็ดสีของดอกคำฝอย