คนชุดดำได้ฟังก็ถลึงตาดุดันใส่เซี่ยอวิ๋นจิ่นก่อนจะหันหลังขึ้นเขาไป
คนบนเขาได้รับรายงานจากคนชุดดำก็ทำอะไรเซี่ยอวิ๋นจิ่นไม่ได้ พวกเขารับคำสั่งมาสังหารเซี่ยอวิ๋นจิ่น แต่ตอนนี้เขาไม่ขึ้นเขา พวกเขาย่อมสังหารเขาไม่ได้
ฆ่าบุตรชายเขาระบายแค้น ความแค้นนี้อาจจะทำให้ต้องรับผลตอบแทนแสนสาหัสจากอาการคลุ้มคลั่งของเขาแทน
ดังนั้นคนบนเขาหารือกันแล้วก็พาเอ้อร์เป่ากับหันหนานเฟิงลงเขามา แต่ไม่ได้ให้ลงเขามาโดยตรง ให้ไปหยุดที่ห่างจากที่เซี่ยอวิ๋นจิ่นกับลู่เจียวอยู่ไม่ไกลมาก หัวหน้าคนชุดดำสั่งให้เอ้อร์เป่าตะโกนลงไป
เอ้อร์เป่าสามวันนี้ทำได้ไม่เลว ไม่ร้องไห้ ไม่โวยวาย แสดงท่าทางว่านอนสอนง่าย ทำให้เขาถูกทำร้ายน้อยมาก
คนที่จับเอ้อร์เป่ามาเห็นว่าเอ้อร์เป่าว่านอนสอนง่าย และยังอายุน้อยขนาดนี้ ก็แอบมีความรู้สึกเห็นใจ ยังให้เอ้อร์เป่ากินและให้ดื่มน้ำ ไม่ได้ทำให้เอ้อร์เป่ารู้สึกทรมานมากนัก
เริ่มแรกเพราะหันหนานเฟิงอายุน้อยจึงเอาแต่ร้องไห้ ต้องให้เอ้อร์เป่ามาปลอบ ปรากฏเจ้าเด็กน้อยถูกกล่อมเรียบร้อย สองเด็กน้อยอยู่ในห้องบนเขาอย่างเชื่อฟัง
เอ้อร์เป่ายังวางแผนพาหันหนานเฟิงหลบหนี น่าเสียดายห้องที่ขังพวกเขา นอกประตูมีคนเฝ้าอยู่ ในห้องว่างเปล่า แม้แต่เก้าอี้ก็ไม่มี พวกเขาตัวเตี้ยกว่าหน้าต่าง ดังนั้นจึงไม่อาจหนีออกไปได้
สามวันถือเป็นขีดสุดของเอ้อร์เป่าแล้ว ยามนี้เขาได้ยินคนชุดดำว่า ท่านพ่อท่านแม่เขาอยู่เชิงเขา เขาก็ไม่ทันได้คิดถึงจุดมุ่งหมายของคนชุดดำ และแม้เขาจะคิดก็คงคิดไม่เข้าใจ
ยามนี้เขาทนไม่ไหว แผดเสียงร้องไห้ดังลั่น ร้องไห้ไปก็ตะโกนไปที่เชิงเขาไปว่า “ท่านพ่อ ท่านแม่”
หันหนานเฟิงเห็นเขาร้องไห้ ก็แผดเสียงร้องไห้ตามเขา ร้องเรียกหาท่านพ่อท่านแม่ด้วยกัน
เซี่ยอวิ๋นจิ่นกับลู่เจียวเชิงเขาได้ยินเสียงร้องไห้เอ้อร์เป่าดังแว่วมา ทั้งสองคนตั้งใจฟังแล้วก็มั่นใจในทันทีว่าเอ้อร์เป่ากับหันหนานเฟิงอยู่บนเขาจริงๆ
ดูท่าคนบงการจัดการทุกอย่างบนเขาไว้แล้ว ดังนั้นจึงมีท่าทางไม่เกรงกลัวสิ่งใด
บนเขา หัวหน้าคนชุดดำใช้กำลังภายในตะโกนมาที่เชิงเขาใส่เซี่ยอวิ๋นจิ่นว่า “เซี่ยอวิ๋นจิ่น หากไม่อยากให้บุตรชายเจ้าตาย ก็ขึ้นเขามาคนเดียว”
ในบ้านตระกูลเซี่ยมียอดฝีมือร้ายกาจ คนผู้นั้นลงมือทีก็ทำร้ายพวกเขาไปสิบกว่าชีวิต ดังนั้นคนตรงหน้าจึงหวาดกลัวลูกน้องเซี่ยอวิ๋นจิ่น เอาแต่ยืนยันจะให้เขาขึ้นเขามาคนเดียว
เซี่ยอวิ๋นจิ่นได้ยินเสียงตะโกนของอีกฝ่าย ก็หันหน้าไปมองลู่เจียวกล่าวว่า “เจ้าก็อยู่ที่เชิงเขา อย่าได้ขึ้นไป”
เขากล่าวจบหันไปมองหลี่หนานเทียนกล่าวว่า “เจ้าอยู่ที่เชิงเขาคุ้มกันเหนียงจื่อ โจวเส้ากง อีกสักครู่ก็แอบตามข้าขึ้นเขา ดูว่าจะพยายามปกป้องข้าได้เต็มที่เท่าไร”
หลี่หนานเทียนกับโจวเส้ากงสบตากันยังไม่ทันได้พูดอะไร ลู่เจียวก็เอ่ยว่า “ข้าขึ้นเขาไปกับเจ้า”
บนเขาเห็นได้ชัดว่าจัดการไว้อย่างถี่ถ้วนทุกด้าน คนเหล่านี้ต้องการสังหารเซี่ยอวิ๋นจิ่นอย่างเห็นได้ชัด เกรงว่าหลี่หนานเทียนกับโจวเส้ากงยากจะเข้าช่วยเหลือเขาในระยะใกล้ได้ ดังนั้นครั้งนี้หากจะช่วยเขาก็คงต้องอาศัยนางแล้ว
ลู่เจียวกล่าวจบก็มองไปยังหลี่หนานเทียนกับโจวเส้ากง สั่งการว่า “อีกสักครู่ตอนพวกเราขึ้นเขา พวกเจ้าสองคนก็รีบแอบหลบขึ้นเขาดูว่าจะลงมือกับอีกฝ่ายได้หรือไม่”
หากหลี่หนานเทียนกับโจวเส้ากงสามารถช่วยเหลือพวกเขาออกมาได้อย่างราบรื่น นางก็ไม่จำเป็นต้องเสี่ยงเปิดเผยเรื่องห้วงอากาศ
แต่นางไม่อาจไม่ตามเซี่ยอวิ๋นจิ่นขึ้นเขา
แต่เซี่ยอวิ๋นจิ่นก็ยังไม่อยากให้นางตามเขาขึ้นเขาไปเสี่ยงภัย ยังคิดจะพูดต่อ
ทว่าลู่เจียวหันหลังเดินขึ้นเขาไปแล้ว เดินไปก็พลางตะโกนไปบนเขาว่า “ข้าคือภรรยาเซี่ยอวิ๋นจิ่น ข้าขึ้นเขาไปเป็นเพื่อนเขา พวกเราสองสามีภรรยา จะตายก็ต้องตายด้วยกัน จะรอดก็ต้องรอดด้วยกัน”
คนชุดดำบนเขาได้ยินคำพูดลู่เจียวก็มองมาอย่างรวดเร็ว คนหนึ่งในนั้นกล่าวว่า “พวกเราสืบมาแล้ว ภรรยาเซี่ยอวิ๋นจิ่นเรี่ยวแรงมหาศาล แต่นางไม่เป็นวิชายุทธ์ เป็นแค่สตรีธรรมดา นางขึ้นเขามา บางทีก็แค่มาเป็นเพื่อนสามีนางเท่านั้น”
คนผู้นี้กล่าวจบ หัวหน้าคนชุดดำก็แค่นหัวเราะ “หญิงโง่เง่า ยามนี้ยังสนใจแต่เรื่องรักใคร่ชายหญิง เป็นหญิงโง่เง่าอย่างที่สุดจริงๆ”
ควรรู้ว่าคืนนี้พวกเขาจะต้องสังหารเซี่ยอวิ๋นจิ่นทิ้ง เซี่ยอวิ๋นจิ่นตายแล้ว หากนางตายไป เจ้าเด็กสี่คนจะทำอย่างไร
แต่คนชุดดำขี้เกียจจะสนใจเรื่องพวกนี้ สั่งให้ลูกน้องลงเขาไปตะโกนบอกให้พวกเขาสองสามีภรรยาขึ้นเขามาด้วยกันได้ แต่ห้ามคนอื่นตามมาอีก หากตามมาก็จะสังหารบุตรชายพวกเขาทิ้ง
หัวหน้าคนชุดดำกล่าวจบก็ออกคำสั่งให้ลูกน้องข้างกายสองคนทันที “พวกเจ้าสองคนลงไปจับตาดูคนของพวกเขาไว้”
คนชุดดำสองคนวิ่งลงเขาไปทันที อีกคนไปทางเชิงเขาตะโกนว่า “ในเมื่อพวกเจ้าสองสามีภรรยาอยากจะขึ้นเขามาด้วยกัน ก็ขึ้นมาด้วยกัน”
ที่เชิงเขา เพราะลู่เจียวพูดว่าจะตายต้องตายด้วยกัน จะรอดก็ต้องรอดด้วยกัน ทำเอาเซี่ยอวิ๋นจิ่นใจเต้นโครมครามรุนแรง ตอนคนบนเขาตะโกนลงมา เซี่ยอวิ๋นจิ่นก็คิดจะหยุดนางไว้ แต่ก็ไม่ทันเสียแล้ว
เขารีบก้าวตามหลังลู่เจียวไป “ลู่เจียว ทำไมเจ้าต้องตามข้าขึ้นเขาด้วย”
ในความมืด แววตาผู้ชายส่องประกายราวกับดวงดาวบนท้องฟ้า ความจริงเซี่ยอวิ๋นจิ่นอยากถามว่า
ลู่เจียว เจ้ามีความรู้สึกกับข้าไม่เหมือนเดิมแล้วใช่ไหม
แต่ลู่เจียวไม่สนใจจะตอบเขา นางมองหน้าเขา แม้ไม่คิดบอกเรื่องว่านางมีห้วงอากาศ แต่ก็พอให้รู้บ้างก็ดี
“ข้ามีทางช่วยเจ้าได้ ดังนั้นเจ้าอย่าได้เป็นห่วง คืนนี้พวกเราจะไม่ตาย”
แววตาเซี่ยอวิ๋นจิ่นส่องประกายเจิดจ้า หรี่ตามจ้องมองลู่เจียว เขารู้ว่าลู่เจียวเป็นคนร้ายกาจ เพียงแต่นางไม่เป็นวิชายุทธ์ ดังนั้นนางจะแก้ไขสถานการณ์คืนนี้อย่างไร
ลู่เจียวไม่พูดมากความต่อ รีบก้าวเดินขึ้นเขาไป เดินไปก็กล่าวไปว่า “พวกเราขึ้นเขากันเถอะ อย่าได้เป็นห่วงข้า ข้าไม่เป็นอะไรหรอก”
เซี่ยอวิ๋นจิ่นฟังคำพูดนาง จิตใจก็อดสงบลงไม่ได้ เพราะเขาเชื่อใจลู่เจียว ขอเพียงนางว่ามา เขาล้วนเชื่อ
เซี่ยอวิ๋นจิ่นคิดแล้วก็กล่าวว่า “วันหน้าข้าจะพยายามทำตนเองให้เข้มแข็ง จะไม่ให้เจ้ากับลูกทั้งสี่ต้องมาตกอยู่ในสภาพเช่นนี้อีก แม้ว่าข้าไม่เป็นวิชายุทธ์ และไม่อาจฝึกเป็นในตอนนี้ แต่วันหน้าข้าจะมีปัญญาเฉียบขาด ไม่ให้ผู้ใดมารังแกขึ้นขี่คอพวกเราได้”
เซี่ยอวิ๋นจิ่นกล่าวด้วยแววตาเย็นเยียบดุดัน ลู่เจียวหันหน้าไปมองเขาแล้วก็ปลอบใจว่า “ข้าเชื่อคำพูดเจ้า”
“อืม”
ทั้งสองคนขึ้นเขาไปอย่างรวดเร็ว แต่ไม่ได้ไปเดินไปตรงหน้าคนชุดดำ แต่ไปหยุดห่างจากคนชุดดำระยะหนึ่ง
เซี่ยอวิ๋นจิ่นหันไปกล่าวกับคนชุดดำตรงข้ามว่า “พวกเจ้าปล่อยเด็กสองคน พวกเราไปกับพวกเจ้า”
คนชุดดำแค่นยิ้มมองไปยังชายหญิงคู่ตรงหน้า รู้สึกเพียงแค่พวกเขานี่มันช่างสุดๆ จริงๆ ขึ้นเขามาแล้วยังกล้าต่อรอง พวกเขาควรรู้ว่าอีกสักครู่พวกเขาย่อมต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัย
ส่วนเจ้าสองหนูน้อยนี่ คนชุดดำก้มหน้าลงมองพวกเขา เบื้องบนบอกว่าสังหารทิ้งให้หมด เพียงแต่สามวันมานี้สองหนูน้อยทั้งเชื่อฟังและรู้ความ ทำให้คนชุดดำคิดถึงหลานที่บ้าน ตัดใจทำไม่ลงจริงๆ
หัวหน้าคนชุดดำคิดแล้วก็โบกมือเห็นด้วยให้ปล่อยคน จะรอดชีวิตหรือไม่ก็ขึ้นกับวาสนาเด็กน้อยสองคนนี้แล้ว
“ได้ พวกเราปล่อยคน พวกเจ้ารีบขึ้นมา”