นำรายชื่อของคนที่เข้าเวรในแต่ละวันเขียนออกมาทั้งหมด?…ไม่เคยได้ยินมาก่อน
ต้องรู้ว่าช่วงเวลาปีใหม่ของทุกปีที่จวนจะครึกครื้นเป็นอย่างมาก หากไม่ใช่เหล่าฮูหยินและคุณหนูออกไปเยี่ยมเยียนที่จวนอื่นก็จะมีแขกมาเยี่ยมเยียนที่จวน ทั้งสาวใช้และแม่เฒ่าต่างก็ยุ่งกว่าปกติเป็นไหนๆ ทำได้เพียงแค่แอบไปพักผ่อนตอนคนเริ่มน้อยเริ่มบางตาเท่านั้น แต่หากว่าจัดเรียงคนเฝ้าเวรออกมาทั้งหมด จู่ๆ วันใดมีแขกสำคัญมาเล่า คนไม่พอขึ้นมาจะทำอย่างไร แค่วันสองวันก็ว่าไปอย่าง แต่นี่ต้องลากยาวจนถึงหลังเทศกาลโคมไฟ ราวครึ่งเดือนเห็นจะได้…
ฉินอี๋เหนียงหันไปมองเหวินอี๋เหนียงอย่างทำตัวไม่ถูก เหวินอี๋เหนียงลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นนางก็หันไปมองเฉียวเหลียนฝัง ก็สังเกตเห็นว่านางกำลังเม้มปาก สีหน้าเต็มไปด้วยแววตาที่ไม่ค่อยพอใจเท่าไรนัก
เหวินอี๋เหนียงจึงแอบรู้สึกดีใจลึกๆ
เฉียวเหลียนฝังนั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามสืออีเหนียงด้วยสีหน้าที่ไม่สบอารมณ์ เหวินอี๋เหนียงรู้เจตนาครั้งนี้ของสืออีเหนียงเป็นอย่างดี สืออีเหนียงต้องการจะทำลายรูปแบบเก่าของปีที่ผ่านๆ มาแล้วก็สร้างรายชื่อใหม่ขึ้น ฉินอี๋เหนียงเป็นคนที่ไม่ชอบออกความคิดเห็น ส่วนเหวินอี๋เหนียงอย่าว่าแต่สนับสนุนเลย สิ่งไหนที่ไม่ถูกไม่ดีนางก็ว่าดีไปหมด เพื่อที่จะหาโอกาสดีๆ ให้ตนเอง
เหวินอี๋เหนียงยิ้มพร้อมกับรีบพูดขึ้นว่า “พี่หญิง ข้ารู้สึกว่าสิ่งที่ท่านพูดมานั้นมีเหตุผลเป็นอย่างมาก หากว่าในเรือนเกิดเรื่องอันใดขึ้น ก็จะสามารถตามหาบ่าวรับใช้ตามรายชื่อเวรยามนี้ได้ เพียงแต่ว่าข้านั้นไม่เคยได้ยินมาก่อน และก็ไม่เคยเป็นผู้ดูแลหลักของเรือนด้วย จึงไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรดี อย่างนี้ดีหรือไม่ ท่านให้แม่นางหู่พั่วมาสอนข้าว่าต้องทำอย่างไรบ้าง เมื่อรู้คร่าวๆ เรียบร้อยแล้ว จะได้เขียนรายชื่อเวรยามออกมาได้เร็วขึ้น และจะได้รีบนำมาส่งให้แม่นางหู่พั่ว” นางแสดงออกถึงความสนับสนุนสืออีเหนียงอย่างเต็มที่
“ฮูหยิน” ฉินอี๋เหนียงได้ยินแล้วก็รีบพูดขึ้นอย่างเสียไม่ได้ว่า “ข้าและเหวินอี๋เหนียงคิดเหมือนกัน สายตาตื้นเขินและคับแคบ ไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย ท่านให้แม่นางหู่พั่วมาสอนพวกเราหน่อยเถอะเจ้าค่ะ!”
เฉียวเหลียนฝังก้มหน้าจิบชาไปคำหนึ่ง นางไม่ได้พูดอะไรออกมา ราวกับว่าเอาหูไปนาเอาตาไปไร่อย่างไรอย่างนั้น
สืออีเหนียงยิ้มขึ้นเล็กน้อย
มิน่าเล่า ที่ผ่านมาหยวนเหนียงถึงได้ชอบเหวินอี๋เหนียงมาก นางเป็นคนที่รู้จักเห็นใจและเข้าอกเข้าใจผู้อื่น
สถานการณ์ตอนนี้คือสองต่อหนึ่ง สีหน้าท่าทางของเฉียวเหลียนฝังจึงไม่สำคัญโดยปริยาย
สืออีเหนียงให้หู่พั่วไปนำรายชื่อการจัดเวรยามในเรือนของตนออกมาให้เหวินอี๋เหนียงดู “…นี่เป็นรายชื่อที่หู่พั่วจัดเอาไว้ตั้งแต่แรก เจ้าลองดู ประเดี๋ยวหู่พั่วจะไปบอกวิธีจัดเวรยามที่เรือนพวกเจ้า”
เหวินอี๋เหนียงรับมาดูอยู่ครู่หนึ่ง ก็สังเกตเห็นว่าสืออีเหนียงนั้นเขียนทุกๆ หน้าที่ของเรือนออกมาทั้งหมดก่อน จากนั้นก็นำไปมอบหมายให้บ่าวรับใช้แต่ละคน โดยกำหนดหน้าที่และเวลาของแต่ละคนอย่างชัดเจน
ถึงแม้ว่าจะจุกจิกมากเรื่องและยุ่งยาก แต่ก็ไม่ได้เหลือบ่ากว่าแรง
นางยิ้มขึ้นเล็กน้อย ขณะที่กำลังจะเอ่ยรับปากนั้น นางกลับครุ่นคิด
สืออีเหนียงไม่ใช่ผู้ดูแลหลักของเรือน แต่กลับจะช่วยตกแต่งเรือนที่เก่าคร่ำครึของตนใหม่ เหตุใดถึงต้องมาลำบากยุ่งยากเช่นนี้
นึกถึงตอนนั้นที่เรือนเล็ก นางประจัญฝีปากกับสืออีเหนียงครั้งแรก สายตาที่สืออีเหนียงใช้มองเฉียวเหลียนฝังนั้น ผิวเผินอาจดูเหมือนกำลังขลาดกลัว แต่ลึกๆ กลับรู้สึกว่ามันแฝงไปด้วยความอดกลั้นที่เต็มไปด้วยแรงอาฆาตไร้ซึ่งจุดสิ้นสุด…เบื้องลึกคงจะไม่ได้ง่ายเหมือนอย่างที่เห็นกระมัง!
เหวินอี๋เหนียงก้มหน้าลง ค่อยๆ ไล่ดูรายการอย่างละเอียดถี่ถ้วน เพื่อที่จะหาอะไรบางอย่างจากในนี้ได้บ้าง
วิธีการ…ยังเป็นดังเช่นเดิม…จำนวนคน…ยังเป็นจำนวนเดิม…ไม่สิ! จำนวนคนไม่ถูก…
นางค่อนข้างมีพรสวรรค์ด้านตัวเลขเป็นอย่างมาก
มองแค่รอบเดียวก็จะจำได้ขึ้นใจ
เรากับสายฟ้าผ่าฟาด นางเข้าใจแจ่มแจ้งขึ้นมาทันที
วิธีการจัดเวรยามเช่นนี้ ช่างมีความรู้สูงส่งยิ่งนัก
หากแค่มองผ่านๆ ก็จะเห็นเพียงว่าคนเหล่านี้มีความแตกต่างกัน แต่หากสังเกตดีๆ ก็จะเห็นถึงแม้จะเป็นวิธีการแบบเดิม แต่สาวใช้และแม่เฒ่าที่ทำงานหยาบในเรือนของสืออีเหนียงสามารถพักผ่อนได้หนึ่งวัน ส่วนสาวใช้ใหญ่และป้ารับใช้ทั้งหลายสามารถพักผ่อนได้สองวัน
สายตาของนางปรากฏสีหน้าที่ตื่นตระหนกขึ้นมาทันที
ตอนนี้ฮูหยินสามเป็นผู้ดูแลหลักของจวน ส่วนกลางจะมอบเงินให้นางเท่าไร ล้วนขึ้นอยู่กับฮูหยินสามคนเดียวเท่านั้น เงินส่วนนี้จะนำไปใช้จ่ายอย่างไรก็แล้วแต่แต่ละเรือน สืออีเหนียงไม่สามารถเปลี่ยนแปลงหรือบงการส่วนกลางว่าต้องให้เงินเท่าไรสำหรับการฉลองปีใหม่ของพวกนาง แต่กลับสามารถตัดสินใจว่าปีใหม่นี้จะจัดการวางแผนอย่างไรบ้าง บ้านสกุลสวีไม่ใช่ตระกูลเล็กตระกูลน้อย ความสัมพันธ์ของเหล่าบรรดาหญิงอาวุโสนั้นสลับซับซ้อนเป็นอย่างมาก บางคนก็เคยปรนนิบัติรับใช้ท่านโหวคนก่อนเสียด้วยซ้ำ การเป็นสะใภ้มือใหม่ หากนางอยากที่จะหาจุดยืนในตระกูลนี้ให้ได้เร็วที่สุด วิธีที่ดีที่สุดก็หนีไม่พ้นการสร้างความสัมพันธ์ฉันบุญคุณ เพราะการตกรางวัลนั้นมีแต่จะไม่สิ้นสุด แต่การใช้วิธีสลับกันหยุดพักผ่อนในวันปีใหม่แบบนี้ ไม่สิ้นเปลืองทั้งเงินทอง ไม่เสียการเสียงาน การได้หยุดพักผ่อนในวันปีใหม่ สำหรับเหล่าบรรดาบ่าวรับใช้ที่ต้องทำงานหนักทั้งสี่ฤดูนั้น ถือเป็นเรื่องที่น่ายินดีเป็นอย่างมาก เมื่อคนที่เรือนอื่นๆ รู้เรื่องนี้เข้า เกรงว่าคงจะพากันอิจฉาไม่หยุดหย่อน กล่าวชื่นชมสืออีเหนียงไม่ขาดสาย ว่านางนั้นมีจิตใจซื่อสัตย์จริงใจและโอบอ้อมอารี สามารถซื้อชื่อเสียงบารมีโดยที่ไม่ต้องจ่ายแม้แต่แดงเดียว
เมื่อนึกถึงตรงนี้ นางก็พยายามตั้งสติให้ใจเย็นลง จากนั้นก็อ่านรายการอย่างละเอียดถี่ถ้วนอีกรอบ
ฉินอี๋เหนียงรู้ว่าเหวินอี๋เหนียงฉลาดหัวไวมาโดยตลอด ตนก็เพียงแค่ต้องเป็นผู้ตามอย่างเดียว ไม่ออกตัวเป็นผู้นำ และไม่เป็นผู้ตามที่ไม่สนใจคนรอบข้างเกินไปเท่านั้นก็พอแล้ว
เมื่อเฉียวเหลียนฝังเห็นเหวินอี๋เหนียงไล่ดูรายการอย่างละเอียดไปมาหลายรอบแล้ว จู่ๆ ก็มีอาการกังวลขึ้นมาเล็กน้อย นางกำหมัดแน่นพร้อมกับหันไปจ้องมองเหวินอี๋เหนียง เพื่อจะสังเกตและหาความผิดปกติจากสีหน้านั้น!
เฉียวเหลียนฝังมองแล้วก็หัวเราะ “หึๆ” ลอดผ่านจมูกออกมาเบาๆ
ฉินอี๋เหนียงคนนี้ คอยโบกธงอยู่หลังเหวินอี๋เหนียงเสมอ ไม่เคยมีปากมีเสียงหรือเสนอข้อคิดเห็นใดๆ จะต้องพึงรู้ไว้เสมอว่าการปกครองอาณาจักรก็เหมือนกับการทำอาหาร กฎเกณฑ์เก่าแก่เหล่านั้นหากไปแตะต้องก็จะเกิดการสั่นคลอน ไม่สามารถแก้ไขเปลี่ยนแปลงตามอำเภอใจได้ การที่สืออีเหนียงไม่เหมือนกับคนอื่น สุดท้ายแล้ว ก็เพียงแค่ต้องการแย่งชิงความเป็นใหญ่ในหมู่ฮูหยินทั้งสามก็เท่านั้น หากว่าตนยืนอยู่ในตำแหน่งของนาง ก็คงจะทำเช่นนี้เหมือนกัน หากไม่ทดลองกับแวดวงแคบๆ เช่นนี้ก่อน แต่กลับไปใช้ในงานฉลองปีใหม่ทีเดียวเลยล่ะก็ ถึงเวลานั้น ก็เป็นเพียงการสร้างปัญหา หาเรื่องเดือดร้อนให้กับท่านโหวเท่านั้น
เมื่อคิดถึงตรงนี้ ในใจพลันรู้สึกเจ็บปวดราวกับถูกมีดกรีดแทงก็ไม่ปาน
เมื่อคืนท่านโหวนอนค้างที่นี่…
นางกุมถ้วยชาแน่น จนปลายนิ้วขาวเพราะแรงกด
สืออีเหนียงหันไปมองสีหน้าที่ค่อนข้างตื่นเต้นของฉินอี๋เหนียง และเหวินอี๋เหนียงที่สีหน้าจริงจังรวมไปถึงเฉียวเหลียนฝังที่สติไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ค่อยๆ ยกชาขึ้นมาจิบ อดทนรอดูปฏิกิริยาของอี๋เหนียงทั้งหลายอย่างใจเย็น ฤดูใบไม้ผลิปีหน้าตนก็จะต้องขึ้นเป็นเจ้าบ้านที่ต้องดูแลทุกอย่างของจวนสกุลสวีแล้ว การจะสู้กับภายนอกจะต้องสยบภายในให้สงบก่อน คนเช่นฮูหยินสาม สิ่งที่มอบให้ตนมานั้นเกรงว่าคงจะเป็นประเภทจำพวกที่ภายนอกสวยดั่งทองกับหยก แต่ภายในเหมือนฝ้ายที่เปื่อยเน่า ตนจะต้องรีบทำความเข้าใจจิตใจของอี๋เหนียงเหล่านี้ให้ดีเสียก่อน ถึงเวลาจะได้ไม่ต้องเป็นเหมือนการกดขันน้ำเต้าลงน้ำ ที่กดลงไปเท่าไรก็ยังลอยขึ้นมาเหมือนเดิม ทำเอาสถานการณ์ยุ่งเหยิงวุ่นวายไปหมด
“พี่หญิง” ผ่านไปครู่หนึ่ง เหวินอี๋เหนียงก็ค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมา นางยิ้มบางๆ พร้อมกับจ้องมองไปที่สืออีเหนียง “หลังจากที่ท่านเข้าวังไปถวายพระพรให้กับฮองเฮาในวันปีใหม่แล้ว แขกที่จะมาเยี่ยมเยียนท่านเกรงว่าคงจะเพิ่มมากขึ้น” นางชี้ไปยังชื่อของหู่พั่วและปินจวี๋ที่เรียงอยู่แถวหน้าสุด “ข้าว่าถึงแม้ว่าพี่หญิงจะเพิ่มจำนวนคนแล้ว แต่เกรงว่าถ้าเกิด…เพียงแค่สมมุติเท่านั้น ปีนี้เป็นปีใหม่ปีแรกที่ท่านมายังจวนแห่งนี้ กลัวก็แต่คนที่มาคารวะในวันปีใหม่นั้นจะมากกว่าปีที่ผ่านมา หากพี่หญิงไม่รังเกียจ ข้าและชิวหงสาวใช้ที่เรือนข้าจะมาเป็นลูกมือของพี่หญิง พี่หญิงเห็นควรอย่างไร ธุระอื่นอาจจะช่วยอะไรไม่ได้ แต่เรื่องรินน้ำชาข้าเองก็ถนัดไม่น้อย”
สืออีเหนียงค่อนข้างรู้สึกแปลกใจ
นึกไม่ถึงเลยว่าเหวินอี๋เหนียงจะอ่านเจตนาของตนได้เร็วขนาดนี้ อีกทั้งยังรีบแสดงให้เห็นว่านางนั้นสนับสนุนขึ้นมาทันที เป็นคนที่ฉลาดหลักแหลมเป็นอย่างมาก!
นางยิ้มพร้อมกับพยักหน้าเล็กน้อย “หากว่ายุ่งจนไม่ทันจริงๆ เกรงว่าคงจะต้องเชิญอี๋เหนียงมาช่วยแล้ว”
ฉินอี๋เหนียงได้ยินแล้วก็รีบพูดขึ้นทันทีว่า “ถึงเวลา ข้าก็สามารถมาช่วยได้อีกแรง”
สืออีเหนียงพยักหน้าเบาๆ จากนั้นจู่ๆ สายตาของฉินอี๋เหนียงและเหวินอี๋เหนียงก็เหลือบไปมองเฉียวเหลียนฝังพร้อมๆ กัน สืออีเหนียงที่รู้นิสัยใจคอและอารมณ์ในตอนนี้ของเฉียวเหลียนฝังเป็นอย่างดี แต่ไม่รอให้นางทันได้มีปฏิกิริยาตอบสนอง สืออีเหนียงก็ยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า “เรื่องนี้ค่อนข้างเร่งรีบ ทุกคนก็แยกย้ายกันเถิด!” พูดจบก็ยกชาขึ้นมาจิบเพื่อส่งแขก
ทั้งสามต่างพากันอึ้งไปตามๆ กัน
ฉินอี๋เหนียงนึกไม่ถึงมาก่อน สืออีเหนียงที่ทั้งอ่อนโยนและโอบอ้อมอารีต่อเฉียวเหลียนฝังมาโดยตลอดนั้น จะไม่ถามเฉียวเหลียนฝังเลยแม้แต่คำเดียว สืออีเหนียงแสดงออกเพียงสีหน้าและท่าทีที่แข็งกร้าวไม่ยอมอ่อนข้อให้…พลอยทำให้นางรู้สึกไม่ค่อยสบายใจเท่าไรนัก ถึงแม้ว่าสืออีเหนียงจะอายุยังน้อย แต่สุดท้ายก็ยังเป็นบุตรีของจวนสกุลหลัว นึกถึงเมื่อตอนแรก หยวนเหนียง…นางรีบสะบัดหน้าเพื่อสลัดความคิดนี้ออกไปจากหัวทันที
เหวินอี๋เหนียงรู้สึกน่าสนุกเป็นอย่างมาก นางเป็นบุตรีอนุ พบเจอเหตุการณ์ปะทะชิงดีชิงเด่นระหว่างภรรยาทั้งหลายตั้งแต่เด็ก แล้วอย่างเฉียวเหลียนฝังที่ทั้งรูปโฉมงดงามอีกทั้งยังเป็นถึงบุตรีของตระกูลที่มีศักดินาสูงส่ง ถือเป็นสิ่งที่แสลงต่อผู้เป็นนายหญิงใหญ่ของเรือนที่สุด สืออีเหนียงปฏิบัติต่อเฉียวเหลียนฝังเช่นนี้ เกรงว่านางคงจะไม่ได้อยู่ในสายตาตั้งแต่แรกแล้วกระมัง เป็นเพราะขี้เกียจจะต่อความยาวสาวความยืด หรือไม่ก็สืออีเหนียงมีแผนการในใจอยู่แล้ว เวลานี้อาจจะไม่ใช่โอกาสที่ดีสำหรับการลงมือ แล้วก็นึกไปถึงว่าช่วงนี้สวีลิ่งอี๋ค้างที่เรือนของสืออีเหนียงเสียส่วนใหญ่ จึงรู้สึกว่าสิ่งที่ตนทายนั้นไม่ผิดแน่ สายตาที่มองไปยังเฉียวเหลียนฝังนั้นจึงเต็มไปด้วยความสะใจ
เฉียวเหลียนฝังโมโหเดือดดาลเป็นอย่างมาก
สืออีเหนียงหมายความว่าอย่างไรกัน ราวกับว่าไม่เห็นตนอยู่ในสายตาอย่างไรอย่างนั้น หรือแค่อยากจะวางอำนาจว่าตนนั้นเป็นภรรยาเอกของที่นี่?
นางโกรธจนใบหน้าแดงก่ำ
ก็แค่คนเกิดจากอนุที่ต้อยต่ำ อาศัยเล่ห์อุบายของพี่สาวขึ้นมาเป็นฮูหยินของหย่งผิงโหว ก็หลงระเริงนึกว่าฐานะของตนนั้นจะสูงศักดิ์ขึ้นมาจริงๆ
อยากที่จะพูดอะไรออกมา แต่ก็รู้สึกว่าหากตนพูดอะไรออกมาในเวลานี้ ก็จะเผยให้ผู้อื่นเห็นว่าตนนั้นอ่อนแอ มีแต่จะทำให้สืออีเหนียงได้ใจเสียเปล่า แต่หากไม่พูดอะไรเลย สืออีเหนียงก็อาจจะนึกว่าตนนั้นกลัวนาง วันข้างหน้าจะข่มเหงตนเอาได้ ในขณะที่จิตใจของเฉียวเหลียนฝังกำลังสับสนว้าวุ่นไม่อาจนิ่งสงบอยู่นั้น เหวินอี๋เหนียงก็ได้ลุกขึ้นพร้อมกับพูดขึ้นด้วยรอยยิ้มว่า “งั้นพวกเราก็ขอตัวกลับเรือนก่อน” ฉินอี๋เหนียงเองก็ได้พูดตามหลังมาว่า “ใกล้จะปีใหม่แล้ว เรื่องที่จะต้องทำค่อนข้างมาก ฮูหยินเองจะต้องดูแลรักษาสุขภาพด้วย ค่ำๆ หน่อยข้าจะนำรายชื่อการจัดเวรยามที่จัดเสร็จแล้วมาให้ฮูหยินดูเจ้าค่ะ”
ทั้งสองตีตัวออกจากเฉียวเหลียนฝังทันที ไม่แม้แต่จะชายตามองเฉียวเหลียนฝัง ทั้งสองย่อตัวทำความเคารพพร้อมๆ กัน จากนั้นก็พากันถอยออกไป
เฉียวเหลียนฝังสังเกตเห็นถึงความเปลี่ยนแปลงของอี๋เหนียงทั้งสองได้อย่างชัดเจน
นางหน้าดำหน้าแดงไปหมด จากนั้นก็ได้ยินสืออีเหนียงพูดกับสาวใช้ว่า “ไปดูหน่อยว่าม่านมุ้งแขวนเสร็จแล้วหรือยัง อย่าให้ตอนท่านโหวกลับมาถึงแล้วห้องยังรกรุงรังอยู่” พูดราวกับว่านางไม่มีตัวตนอย่างไรอย่างนั้น
เฉียวเหลียนฝังได้ยินแล้วแววตาก็ลุกโชนขึ้นมาทันที นางหัวเราะเยาะออกมาเบาๆ จากนั้นก็ย่อตัวทำความเคารพสืออีเหนียงแล้วถอยออกไป
ปินจวี๋เห็นแล้วก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกฉุนเฉียวขึ้นมา “เฉียวเหลียนฝังผู้นี้ คิดว่าตนเป็นใครมาจากไหนกัน”
ตั้งแต่สืออีเหนียงได้อบรมสอนสั่งและตักเตือนหู่พั่วไปแล้ว จู่ๆ หู่พั่วก็มีความเชื่อใจต่อสืออีเหนียงขึ้นมา โดยที่ไม่สามารถอธิบายได้ นางรู้สึกว่าขอแค่มีสืออีเหนียงอยู่ด้วย ทุกอย่างก็จะไม่เลวร้ายจนถึงขั้นกู่ไม่กลับ จึงไม่กังวลใจเรื่องพวกนี้อีกต่อไป นางยิ้มพร้อมกับถามสืออีเหนียงว่า “การจัดเวรยามของอี๋เหนียงทั้งสามมีสิ่งใดที่ต้องระมัดระวังเป็นพิเศษบ้างเจ้าคะ แล้วก็ยังมีคุณชายน้อยสอง คุณหนูใหญ่และคุณชายน้อยสี่ทางนั้นด้วย ต้องจัดเวรยามด้วยหรือไม่เจ้าคะ”
ยิ่งนานวันหู่พั่วก็ยิ่งเข้าใจและยังสามารถจับจุดได้เร็วขึ้น
“การจัดเวรยามของอี๋เหนียงทางนั้นขอเพียงแค่คนไม่ขาดสาย ก็ทำตามเจตนาของพวกนางได้เลย” สืออีเหนียงพูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม “ส่วนทางคุณชายและคุณหนูทั้งหลาย เจ้าต้องเป็นคนไปกำชับกับสาวใช้ใหญ่เหล่านั้นด้วยตัวเจ้าเอง”
หู่พั่วขานรับด้วยรอยยิ้ม จากนั้นก็ถอยออกไป
สืออีเหนียงเห็นว่าไปทานมื้อค่ำกับไท่ฮูหยินเวลานี้คงจะเร็วเกินไป จึงตัดสินใจไปหาตงชิงแทน
ห้องของตงชิงยังคงเก็บกวาดได้สะอาดและเป็นระเบียบเรียบร้อยเหมือนเช่นเคย เข็มและด้ายกระจัดกระจายอยู่ในตะกร้าผ้าปัก บนเตียงเตามีรองเท้าหลายคู่ที่ปักเย็บเสร็จเรียบร้อยวางกองอยู่
เมื่อเห็นสืออีเหนียงเข้ามา นางก็ตกใจเป็นอย่างมาก
“ฮูหยิน ทำไมท่านถึงมาที่นี่ได้” นางรีบสวมรองเท้าลงจากเตียงแล้วตรงเข้าไปประคองสืออีเหนียงทันที “มีเรื่องอะไรสั่งบ่าวรับใช้ให้มาเรียกบ่าวก็ได้นี่เจ้าคะ”
สืออีเหนียงหย่อนตัวนั่งลงบนเตียงเตา รับชาที่ตงชิงชงเองกับมือมาพลางมองไปยังรองเท้าสตรีบนเตียงเตาที่ปักเย็บด้วยลวดลายค่อนข้างละเอียดเป็นอย่างมาก สืออีเหนียงถอนหายใจ พูดขึ้นว่า “ตงชิง ตอนนี้เจ้าทำรองเท้าสี่วันต่อหนึ่งคู่…วันๆ ก็เอาแต่อยู่ในเรือน คงจะรู้สึกเบื่อหน่ายมากกระมัง”