ไม่ใช่แค่นางคนเดียวที่ไม่เชื่อ แม้แต่มู่หรงฉางเฟิงก็ยังสงสัยในเรื่องนี้อยู่เหมือนกัน
อย่างไรก็ตาม หลังจากที่เฮ่อเหลียนเวยเวยได้ยินว่าอีกฝ่ายพูดเช่นนั้น นางก็ไม่ได้มีท่าทีสะทกสะท้านเลยแม้แต่น้อย
หญิงสาวคลายปกคอเสื้อของตนเอง และพูดด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม “ในเมื่อพวกเราตกลงในเงื่อนไขนี้แล้ว ก็มาเริ่มกันเลยเถอะ”
เมื่อพูดจบ นางก็รวบผมยาวของตนเองขึ้น แล้วหยิบชิ้นส่วนอาวุธขึ้นมาตรงหน้า ท่าทีของนางในตอนนี้ดูจริงจังอย่างมาก และดวงตาของนางก็ดูนิ่งสงบราวกับทะเล ดูเหมือนว่า ตราบใดที่นางยืนอยู่ตรงนั้นและส่งยิ้มให้ ใครๆ ก็จะสามารถรับรู้ถึงสายลมเย็นได้
เมื่อสถานการณ์ต่างๆ ดำเนินมาถึงขั้นนี้แล้ว อาจารย์จึงประกาศเสียงดัง “การประลองช่วงที่สองของสาขาอาวุธจะเริ่มขึ้น ณ บัดนี้ ผู้ตัดสินทั้งสามคนจุดธูปได้”
ปัง!
ทันทีที่เขาพูดจบ เฮ่อเหลียนเวยเวยก็ขยับมือของนางทันที
การเคลื่อนไหวของนางรวดเร็วมากจนทุกคนไม่มีโอกาสที่จะแสดงปฏิกิริยาใดๆ
มันรวดเร็วมากจนสายตาของพวกเขาไม่สามารถจับการเคลื่อนไหวได้เลย
แต่เฮ่อเหลียนเวยเวยก็ได้เริ่มลงมือแล้ว นี่เป็นครั้งแรกที่นางได้ประกอบอาวุธต่อหน้าศิษย์ทุกคน
ใบหน้าด้านข้างของนาง ขนตาหนาเป็นแพหลุบลงเล็กน้อย และนิ้วมือเรียวยาวสีขาวนั้นดูไม่เหมือนว่ากำลังประกอบอาวุธอยู่เลย แต่ดูราวกับว่าเป็นนิ้วมือของนักดนตรีที่กำลังเล่นถานฉิน[1]อยู่ นางใช้นิ้วมือทุกนิ้วอย่างเต็มประสิทธิภาพ และอยู่ในท่าทีที่เหมาะสม สวยงาม และคล่องตัว เมื่อนิ้วมือเคลื่อนไหวเปลี่ยนทิศทาง ส่วนประกอบในมือของนางก็ขยับตามการเคลื่อนไหวนั้น มันเคลื่อนไหวอย่างลื่นไหลราวกับเป็นภาพวาดพู่กันก็ไม่ปาน
นอกจากเสียง ‘คลิก คลิก’ ทุกคนก็ได้แต่มองดูนิ่งๆ แต่ไม่มีใครมองออกว่านิ้วมือของนางเคลื่อนไหวอย่างไร
มีเพียงสิ่งเดียวที่พวกเขารู้สึกได้ ก็คือนางช่างดูราวกับเป็นภาพวาดที่งดงามจนตาพร่า
การเคลื่อนไหวที่เป็นธรรมชาติ ราวกับเป็นก้อนเมฆที่เคลื่อนตัวและกระแสน้ำที่ไหลรินนั้น ไม่ได้ดูกระวนกระวายหรือรีบร้อนอะไร ราวกับว่าชิ้นส่วนของอาวุธเหล่านั้นเป็นเพียงของเล่นสำหรับนางเท่านั้น
“ชิ้นที่หนึ่ง”
ขณะที่มู่หรงฉางเฟิงเพิ่งเริ่มประกอบชิ้นส่วน
เฮ่อเหลียนเวยเวยก็สร้างอาวุธชิ้นแรกที่นางออกแบบเอาไว้เสร็จแล้ว
ริมฝีปากบางของนางยกขึ้นอย่างเรียบเฉย รูปลักษณ์ของนางตรงกันข้ามกับเสื้อคลุมยาวสีขาว จนทำให้ผู้คนไม่สามารถละสายตาจากนางได้
“ปัง!”
อาวุธชิ้นที่สองเสร็จแล้ว เฮ่อเหลียนเวยเวยพลิกฝ่ามือ และเผยให้เห็นแส้สีเงินที่ถูกประกอบเป็นรูปเป็นร่าง
มู่หรงฉางเฟิงที่อยู่ใกล้กับเฮ่อเหลียนเวยเวยมากที่สุดนั้นรู้ดีว่า เดิมที ชิ้นส่วนของอาวุธเหล่านั้นกระจัดกระจายไปหมด แต่พออยู่ในมือของหญิงสาว พวกมันก็กลับกลายเป็นอาวุธขึ้นมาได้
ดวงตาของเขากระสับกระส่ายอย่างไม่อาจควบคุมได้ ในขณะที่ชิ้นส่วนอาวุธที่อยู่ในมือของเขาพังทลาย และร่วงหล่นลงบนพื้นพร้อมกับเสียงดังกึกก้อง
หากจะบอกว่า ตอนที่ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเอาชนะคู่ต่อสู้ได้นั้น พื้นที่บริเวณนี้เงียบสงัด
ถ้าเช่นนั้น ในตอนนี้ ผู้คนเหล่านั้นก็ไม่สามารถถอนสายตาจากนางได้เช่นกัน พร้อมกับเสียงที่ดังขึ้นอย่างเป็นจังหวะ จนพวกเขาต้องกลืนน้ำลายอย่างอดไม่ได้
นี่มันจะไม่เร็วเกินไปหน่อยหรือ
ทำไมนางถึงคล่องแคล่วเช่นนี้
แม้ว่าอาจารย์ตู๋เทียนจะรู้สึกว่าหญิงสาวน่าทึ่ง แต่มีเพียงเขาเท่านั้นที่แสดงสีหน้าผิดหวังอยู่เล็กน้อย
เฮ่อเหลียนเวยเวยรวดเร็วมากก็จริง แต่นางก็ยังไม่รวดเร็วเท่ากับหญิงสาวที่เขาเคยเจอที่หอเฟิ่งหวงก่อนหน้านี้
เขาคิดว่าคนที่สามารถออกแบบได้หลากหลายขนาดนี้ จะมีความโดดเด่นมากกว่าผู้หญิงคนนั้น แต่ดูเหมือนว่านางไม่ได้อยู่ในระดับนั้น…
ปัง!
อาวุธชิ้นที่สามเสร็จแล้ว!
หากพูดตามหลักเหตุและผลแล้ว ในการประกอบอาวุธ เมื่อถึงช่วงท้ายๆ ก็จะยิ่งซับซ้อนขึ้นเรื่อยๆ เพราะการออกแบบนั้นจะเริ่มจากง่ายไปยากตามลำดับ
แต่ดูเหมือนว่าประเด็นนี้จะไม่มีผลใดๆ กับเฮ่อเหลียนเวยเวย
ในทางกลับกัน ดวงตาของนางเปล่งประกายราวกับสายน้ำ และทอแสงสุกสกาวดุจดวงดาว
ในขณะที่มู่หรงฉางเฟิงพินิจดูใบหน้าอันงดงามของอีกฝ่าย หัวใจของเขาก็ราวกับถูกกระตุ้นอย่างรุนแรง เขารู้สึกปวดศีรษะและมึนงงอย่างน่าประหลาด
“ซื่อจื่อเจ้าคะ” เมื่อเห็นเช่นนั้น เด็กสาวที่อยู่นอกเวทีก็กัดริมฝีปากบางของนาง “รีบไปหยิบของของท่านขึ้นมาเถอะเจ้าค่ะ”
มู่หรงซื่อจื่อไม่เคยมองใครด้วยสายตาเช่นนี้มาก่อน สีหน้าที่ดูเหมือนอีกฝ่ายน่าดึงดูดใจ ให้ตายเถอะ นางสมควรตายจริงๆ
ในที่สุด มู่หรงฉางเฟิงก็กลับมาได้สติอีกครั้ง ก่อนจะก้มลงเก็บชิ้นส่วนเหล่านั้น และประกอบอาวุธชิ้นแรกสำเร็จอย่างรวดเร็ว แต่ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ไม่สามารถจดจ่อกับสมาธิของตนเองได้
ทุกคนต่างก็ตกตะลึง
ปัง!
อาวุธชิ้นที่สี่เสร็จแล้ว!
เฮ่อเหลียนเวยเวยลูบต้นคอของตนเองอย่างผ่อนคลาย
เกิดเสียงดังขึ้น
ผู้คนส่งเสียงฮือฮาขึ้นทันที
“ชิ้นที่สี่ นางทำอาวุธชิ้นที่สี่เสร็จแล้ว”
“เป็นไปไม่ได้ มู่หรงซื่อจื่อเพิ่งจะประกอบเสร็จไปแค่ชิ้นเดียวเท่านั้น”
เหลือเวลาอีกเท่าไหร่ต่างหาก สิ่งที่สำคัญที่สุดคือเวลา
ในชั่วพริบตา ทุกคนต่างก็เพ่งมองก้านธูปที่ใกล้จะหมดลงในเวลาอันสั้นนี้ ความตึงเครียดอย่างที่ไม่เคยปรากฏขึ้นมาก่อนก็แผ่ซ่านไปทั่วร่างกายของพวกเขา
ก้านธูปเหลืออีกเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
หญิงสาวคนนั้นกำมือแน่น พร้อมกับจ้องก้านธูปที่อยู่ไกลๆ ตาเขม็ง สีหน้าของนางราวกับว่าต้องการให้ลมพัดแรงขึ้นเพื่อทำให้ก้านธูปนั้นดับลงอย่างรวดเร็ว
เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์ที่นั่งถัดจากนางยื่นมือซ้ายออกมาวางบนหลังมือของอีกฝ่าย ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงอันชั่วร้าย “ไม่ต้องกังวลหรอก ผู้หญิงคนนั้นไม่มีทางชนะได้ นางเพิ่งจะสร้างอาวุธได้เพียงสี่ชิ้นเท่านั้น และใช้เวลาไปแล้วสี่ในห้าของเวลาทั้งหมด นางไม่สามารถทำอาวุธอีกสามชิ้นที่เหลือให้เสร็จได้ทันหรอก”
ขณะที่เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์กำลังพูดอยู่นั้น เสียงดัง ‘ปัง’ ก็ดังขึ้น
เฮ่อเหลียนเวยเวยวางอาวุธชิ้นที่ห้าลงบนโต๊ะ พร้อมกับเงยหน้าขึ้นมองดูความยาวของธูปหอม
“ยังเหลืออีกสองชิ้น อีกสองชิ้นเท่านั้น แล้วนางก็จะเป็นฝ่ายชนะ”
“เวลาไม่พอหรอก ดูก้านธูปนั่นสิ”
ทุกคนในโลกใบนี้รู้ดีว่าคุณชายอู๋ซวงนั้นคือคนที่สามารถสร้างอาวุธได้อย่างรวดเร็วมาก ไม่ว่าเฮ่อเหลียนเวยเวยจะมีความสามารถเพียงใด แต่นางก็ไม่สามารถประกอบอาวุธได้เร็วไปกว่าคุณชายอู๋ซวงหรอก จริงไหมเล่า
ยิ่งกว่านั้น เวลาที่เหลืออยู่ก็ยังมีไม่มากพอ หากนางฝืนเอาชิ้นส่วนต่างๆ ประกอบเข้าด้วยกัน และไม่เป็นไปตามแบบที่ร่างเอาไว้ก่อนหน้านี้ นางก็จะพ่ายแพ้เช่นกัน
แต่สิ่งที่ทุกคนคาดไม่ถึงก็คือ ในจังหวะต่อมา เฮ่อเหลียนเวยเวยก็ยกมือขึ้นและถอดสิ่งของบางอย่างออกจากข้อมือของตนเอง
มันคือปลอกแขนถ่วงน้ำหนักที่พวกเขาเคยเห็นมาก่อนหน้านี้
บ้าน่า นี่มันเรื่องตลกอะไรกัน
นางใส่ปลอกแขนถ่วงน้ำหนักกี่อันกันแน่
ปัง!
ในที่สุด ก็มีคนสังเกตเห็นว่าเฮ่อเหลียนเวยเวยเปลี่ยนมือ “ดูสิ นางเริ่มใช้มือซ้ายเป็นหลักแล้ว ส่วนมือขวา ในตอนนี้ ก็เพียงแค่ใช้เพื่อช่วยเหลือเท่านั้น ความเร็วของนางดูเหมือนจะเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าจากในตอนแรก”
“อย่าบอกนะว่า… ก่อนหน้านี้ นางยังไม่ได้ทำอย่างถึงที่สุด มันช่างน่ากลัวเกินไปแล้ว”
มันช่างน่ากลัวจริงๆ ในฐานะที่เป็นอาจารย์ของสำนักไท่ไป๋ อวิ๋นซิวก็ไม่แน่ใจว่าตนเองจะสามารถทำได้ถึงขั้นนี้หรือไม่ แม้ว่าการประกอบอาวุธจะเป็นเพียงระดับผู้เริ่มต้น และไม่ได้ประกอบยากมากนัก แต่ถึงแม้จะเป็นตัวเขาเอง การสร้างอาวุธสี่ชิ้นก็ถือเป็นขีดจำกัดแล้ว ในอดีต เขาคิดมาตลอดว่ามู่หรงฉางเฟิงคืออัจฉริยะ นอกจากคุณชายอู๋ซวงที่ไม่มีใครเทียบได้ในวงการประกอบอาวุธแล้ว ก็มีเด็กรุ่นใหม่เพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่จะสามารถไล่ตามเขาได้ทัน
แต่สิ่งที่เขาเห็นจากการประลองในวันนี้ และได้เห็นกลยุทธ์ในการประกอบอาวุธของเฮ่อเหลียนเวยเวย เขาก็รับรู้ได้ว่าความหมายของยอดอัจฉริยะในหมู่ของเหล่าอัจฉริยะคืออะไร
จะมีผู้หญิงที่เก่งกาจเช่นนี้ได้อย่างไรกัน และน่าแปลกใจ ที่ผู้หญิงคนนี้เป็นคนที่ถูกพวกเขามองว่าเป็นขยะไร้ค่าอีกด้วย!
“ชิ้นที่เจ็ด นางกำลังทำอาวุธชิ้นที่เจ็ดแล้ว””
ทั่วทั้งเวทีแห่งนี้กลายเป็นโลกแห่งความเงียบสงัดอย่างไม่อาจบรรยายได้ หลังจากที่เฮ่อเหลียนเวยเวยแสดงอาวุธชิ้นที่หกเสร็จ ทุกคนก็อดที่จะกลั้นหายใจไม่ได้
อาจารย์ไป๋เองก็ไม่สามารถนั่งนิ่งได้อีกต่อไป ทันใดนั้น เขาก็ลุกขึ้นยืนจากเก้าอี้ไม้ของตนเอง และหันไปมองก้านธูป มุมปากของเขาค่อยๆ ปรากฏรอยยิ้มขึ้น “นางไม่สามารถเอาชนะได้หรอก เพราะตอนนี้ ไม่มีเวลา…”
อาจารย์ไป๋ยังพูดไม่ทันจบ เขาก็ได้ยินเสียงกระแทกดัง ‘ปัง!’ อย่างชัดเจน มันดังไปทั่วเวทีการแข่งขัน ราวกับว่ามันส่งเสียงสะท้อนก้องอยู่เป็นเวลานานโดยที่เสียงนั้นไม่ได้แผ่วเบาลงเลย
—————
[1] ถานฉิน เป็นเครื่องดนตรีประเภทพิณโบราณ ลักษณะคล้ายๆ กู่เจิง