สวีซื่อเจี่ยนที่ได้ยินว่ามารดาของตนพาพี่ใหญ่กลับบ้านสกุลเดิม ก็อึ้งจนตาค้าง พูดขึ้นอย่างไม่พอใจว่า “ทำไมถึงไม่รอข้ากลับไปด้วย”
สวีซื่ออวี้ยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า “เจ้านี่ได้คืบจะเอาศอกเสียจริง”
ทุกคนก็พากันหัวเราะเสียงดังพร้อมกัน
แต่สืออีเหนียงกลับแอบถอนใจด้วยความกังวล
ดูแล้ว ฮูหยินสามคงจะยังไม่วางใจ
ระหว่างบุตรเอกและบุตรอนุของตระกูลไม่ได้รับแค่ผลกระทบจากแค่ชาติกำเนิดที่แตกต่างกันเท่านั้น แต่ยังได้รับผลกระทบจากการศึกษาอีกด้วย
บุตรชายอนุยังดีกว่าหน่อย พอจะได้มีโอกาสรับการศึกษาเฉกเช่นเดียวกันกับบุตรของภรรยาเอก เข้านอกออกประตูจวน คบค้าสมาคมกับผองเพื่อน เพียงแค่เปลี่ยนความคิด ก็อาจจะพลิกชะตาชีวิตได้ แตกต่างกับบุตรสาวอนุอย่างสิ้นเชิง พวกนางไม่เคยออกนอกประตูใหญ่ ไม่ล่วงข้ามประตูสอง อ่านตำราเขียนหนังสือกับมารดา อาหญิงหรืออาสะใภ้ของตน ล้วนอายุกว่าหกสิบปีขึ้นไปทั้งนั้น อ่านแต่ ‘ตำนานปีศาจสาว’ เรียนอักษรเพียงแค่ไม่กี่ตัวเท่านั้น ไม่ได้สอนถึงหลักทำนองคลองธรรมเสียด้วยซ้ำ นี่ยังเป็นทางตอนใต้ที่อารยธรรมแพร่หลายกว้างขวางและค่อนข้างเปิดกว้าง หากเป็นตอนเหนือ สตรีจำนวนมากไม่สามารถเรียนรู้หนังสือได้เสียด้วยซ้ำ ล้วนแล้วแต่ต้องพึ่งมารดาอบรมสอนสั่งและถ่ายทอดให้บุตรสาวด้วยตัวเองเท่านั้น แม่ใหญ่มักจะคอยดูถูกเหยียบหยามและข่มเหงบุตรีของอนุเสมอ ไม่ปล่อยให้บุตรีของอนุเหล่านี้มีโอกาสได้รับการศึกษาเลยแม้แต่น้อย และถึงแม้ว่าจะมีการอนุญาตให้ได้รับการศึกษาอย่างเท่าเทียมกัน แต่คนรอบข้างค่อนข้างเยอะ ทุกอย่างจึงค่อนข้างล่าช้าอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ เวลานานเข้า ความตั้งใจและความกล้าของเหล่าบรรดาบุตรีอนุก็จะถดถอยน้อยลง กิริยาท่าทางก็จะดูขลาดกลัวไร้ซึ่งความมั่นใจ ยากที่จะมีแววตาฉลาดปราดเปรียว ส่วนผู้เป็นมารดาที่เป็นอนุภรรยาส่วนใหญ่มักจะมีภูมิหลังที่ต้อยต่ำ ประสบการณ์น้อย สิ่งที่เคยพบเห็นนั้นค่อนข้างแคบ จึงไม่สามารถช่วยอะไรในด้านนี้ได้เลย ทำให้บุตรีอนุส่วนใหญ่มีคุณสมบัติกลางๆ สตรีเช่นนี้ ถึงแม้ว่าตระกูลจะมีสมบัติ แต่ก็ไม่มีใครยินดีจะสู่ขอมาเป็นสะใภ้ เหตุผลก็เพราะจะไม่เป็นผลดีต่อรุ่นลูกรุ่นหลาน เป็นการยากที่จะอบรมบ่มสอนรุ่นหลังให้ดีเด่นได้ โดยเฉพาะด้านการศึกษาของบุตรี เหตุผลอีกข้อก็คือความสามารถนั้นมีขีดจำกัด ยากที่จะสามารถรับมือกับการดูแลและจัดการธุระทุกอย่างภายในครอบครัวในอนาคตได้
เหตุผลเดียวกัน นี่ก็เป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่ภรรยาเอกมักจะริษยาอนุภรรยาที่มีภูมิหลังดี พวกนางไม่เหมือนกับเหล่าบรรดาอนุภรรยาที่มีภูมิหลังต้อยต่ำ ที่สูญเสียความมั่นใจไปก่อนแล้ว ฮูหยินเอกว่ากล่าวเพียงไม่กี่คำ พวกนางก็จะเชื่อฟังอย่างว่านอนสอนง่าย พวกนางมักจะอาศัยบุตรชายหรือพยายามให้ตนนั้นเป็นที่โปรดปราน เพื่อที่จะเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ความลำบากในชีวิตของตัวเอง ไม่เคยเลยที่จะสั่นคลอนรากฐานของตระกูล ล่วงเกินหรือคุกคามผลประโยชน์ของบุตรชายและบุตรสาวของภรรยาเอก
ขณะที่กำลังให้ความสนใจกับฐานะวงศ์ตระกูลที่เท่าเทียมกันของสมัยโบราณ นี่ก็เป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่บุตรีของภรรยาเอกไม่ยินยอมที่จะแต่งงานกับบุตรชายของอนุภรรยา ฐานะวงศ์ตระกูลเท่าเทียมกันไม่เพียงแต่หมายความว่าแค่ร่ำรวยเท่านั้น ยังรวมไปถึงขนบธรรมเนียมของวงศ์ตระกูล ระดับการศึกษาและความรู้ที่สืบทอดกันมา
จวนหยงผิงโหวจะมีชื่อเสียงแค่ไหน แต่คุณชายสามสวีลิ่งหนิงก็เป็นเพียงบุตรชายของอนุภรรยา
อย่าว่าแต่บิดามารดาของสวีซื่อฉินจะฐานะไม่ดีเลย แม้ว่าจะเปลี่ยนไปเป็นสวีซื่ออวี้ ตระกูลจงฉินปั๋วก็ไม่ยอมยกบุตรีคนโตของพวกเขาให้มาแต่งงานด้วยอยู่ดี
ขณะที่บรรยากาศกำลังครึกครื้นอยู่นั้น สวีลิ่งอี๋ก็ได้เปิดม่านแล้วเดินออกมา “เข้ามาเถิด!”
สีหน้าท่าทางของเขาดูนิ่งสงบ น้ำเสียงอ่อนโยน คุณชายห้าจึงค่อยโล่งใจ จากนั้นก็ยิ้มพร้อมกับเดินเข้าไปคารวะสวีลิ่งอี๋ กล่าวทักทายด้วยน้ำเสียงที่สนิทสนม “พี่สี่ ประทัดซื้อกลับมาเรียบร้อยแล้ว ข้าสั่งให้บ่าวรับใช้สองคนเฝ้าอยู่ด้วย ตอนวันส่งท้ายปีเก่า วันขึ้นหนึ่งค่ำเดือนอ้าย วันขึ้นสองค่ำเดือนอ้ายแล้วก็คืนของวันขึ้นสามค่ำเดือนอ้าย มีบ่าวเจ็ดคนอยู่เฝ้าประทัดโดยเฉพาะ รับรองว่าไม่เกิดเรื่องขึ้นอย่างแน่นอนขอรับ”
สวีลิ่งอี๋ยิ้มขึ้นพร้อมกับพยักหน้าเล็กน้อย “ไม่เลว!”
คุณชายห้าได้ยินแล้วก็แสดงสีหน้าดีใจออกมา ราวกับเด็กน้อยที่ได้รับคำชื่นชมอย่างไรอย่างนั้น
สืออีเหนียงเห็นแล้วก็อดไม่ได้ที่จะเม้มปากยิ้ม
สวีซื่อเจี่ยนถือโอกาสนี้เดินเข้าไปคารวะสวีลิ่งอี๋ จากนั้นทุกคนก็พากันเดินเข้าไปในห้องชั้นใน เมื่อคุณชายห้าและสวีซื่อเจี่ยนคารวะไท่ฮูหยินเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็แยกย้ายไปนั่งตามลำดับ
คุณชายห้าก็ได้พูดถึงเรื่องประทัดให้ไท่ฮูหยินฟังอีกรอบ ท้ายประโยคยังเสริมไปว่า “…พี่สี่เองก็เห็นดีด้วยขอรับ!”
ไท่ฮูหยินได้ยินแล้วก็หัวเราะออกมาเบาๆ “ดีแล้ว เช่นนั้นก็ดีแล้ว”
จากนั้นก็มีสาวใช้เข้ามาเรียนว่า “ฮูหยินสามและคุณชายน้อยใหญ่กลับมาแล้วเจ้าค่ะ!”
“กลับมาเร็วขนาดนี้เชียวหรือ!” ไท่ฮูหยินพูดขึ้นด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้ม “รีบเข้ามาเร็วเข้า!”
ฮูหยินสามและสวีซื่อฉินเปิดม่านเข้ามาด้านใน เมื่อเห็นว่าทุกคนอยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตา จึงรู้สึกค่อนข้างแปลกใจ
เมื่อทำความเคารพเรียบร้อยแล้ว ไท่ฮูหยินก็ถามไถ่ด้วยความห่วงใยว่า “เสียนเจี่ยเอ๋อร์สกุลกานเป็นอย่างไรบ้างแล้ว”
ฮูหยินสามตอบกลับไปด้วยรอยยิ้มว่า “ในเมื่อรู้แล้ว จะไม่ไปดูเสียหน่อยก็ไม่ดี ทำได้แค่พยายามให้ดีที่สุดเท่านั้นเจ้าค่ะ” ฮูหยินสามไม่ได้ตอบคำถามของไท่ฮูหยินตรงๆ
ไท่ฮูหยินยิ้มขึ้นเล็กน้อย แล้วก็ไม่ได้พูดถึงเรื่องนี้อีก หันไปกำชับกับคุณชายห้าว่า “พรุ่งนี้พ่อบ้านจะไปส่งมอบของขวัญอวยพรวันปีใหม่ที่ตรอกหงเติงบ้านพ่อตาเจ้า เจ้าเองก็ตามไปด้วย ไปคารวะทักทายพ่อตาเจ้าเสียหน่อย พ่อตาของเจ้าไม่ได้เจอตานหยางมาพักใหญ่แล้ว”
ของขวัญอวยพรวันปีใหม่ของบ้านสกุลหลัวและบ้านสกุลกานถูกส่งไปตั้งแต่เมื่อวานนี้แล้ว
คุณชายห้าขานรับด้วยความนอบน้อม “ขอรับ”
คุณชายสามมาถึงพอดี เขามาเชิญสวีลิ่งอี๋และคุณชายห้าไปเซ่นไหว้เทพเจ้าแห่งเตาไฟ
คุณชายห้าจึงได้เรียกบรรดาเด็กๆ “ไป…เราไปกินลูกกวาดกัน!”
เด็กๆ จึงพากันหัวเราะชอบใจแล้วเดินตามเขาไป
ไท่ฮูหยินก็ได้ให้ฮูหยินสามถอยออกไป “…ไปเปลี่ยนชุดแล้วมาทานข้าวกันเถิด”
ฮูหยินสามขานรับแล้วจึงได้ถอยออกไป ไท่ฮูหยินพูดกับสืออีเหนียงพลางชี้ไปที่เจินเจี่ยเอ๋อร์ “อี๋เจินอาศัยอยู่ที่เขาซีซานคนเดียว ทั้งโดดเดี่ยวและเดียวดาย ก็เลยว่าจะให้เจินเจี่ยเอ๋อร์ไปอยู่เป็นเพื่อนนาง เจ้ามีความคิดเห็นอย่างไรบ้าง”
สืออีเหนียงหัวใจสั่นไหว
ทั้งๆ ที่ตนเป็นคนพูดเรื่องเจินเจี่ยเอ๋อร์อยากไปอยู่เป็นเพื่อนฮูหยินสองที่เขาซีซานกับสวีลิ่งอี๋ แต่สวีลิ่งอี๋กลับพูดเรื่องนี้กับไท่ฮูหยินว่าเป็นความคิดของเขาเอง และไท่ฮูหยินเห็นว่าเรื่องนี้เป็นความคิดของสวีลิ่งอี๋ ก็กลัวว่าตนจะไม่สบายใจ ไท่ฮูหยินจึงได้นำเรื่องนี้มาเป็นเจตนาของนางเอง
“ท่านแม่ นี่เป็นเรื่องที่ดีเจ้าค่ะ” สืออีเหนียงค่อนข้างรู้สึกซาบซึ้งใจ “ข้าจะไปพูดเรื่องนี้กับเจินเจี่ยเอ๋อร์เดี๋ยวนี้เลย ท่านว่าควรจะเดินทางเมื่อไรดีเจ้าคะ”
ไท่ฮูหยินพยักหน้าเล็กน้อย “พรุ่งนี้จะส่งมอบของปีใหม่ให้อี๋เจิน…เป็นพรุ่งนี้ก็แล้วกัน! พรุ่งนี้ยามซื่อ เริ่มออกเดินทาง”
สืออีเหนียงพยักหน้าเบาๆ “ตามเจตนาของท่านแม่เจ้าค่ะ”
*****
ในขณะที่ไท่ฮูหยินกำลังพูดคุยกับสืออีเหนียงอยู่นั้น หู่พั่วและตงชิงเองก็กำลังคุยกันอยู่เช่นกัน
“สรุปแล้วพี่หญิงตัดสินใจว่าอย่างไร ท่านไม่ยอมบอกข้า แล้วข้าจะช่วยท่านได้อย่างไรเล่า”
ตงชิงก้มหน้าก้มตาปักผ้าต่อ ไม่ยอมพูดอะไรออกมาทั้งนั้น
หู่พั่วเห็นท่าทีของนางแล้วก็ถอนหายใจออกมาเบาๆ “ข้าสนิทกับท่านไม่เท่าปินจวี๋หรืออย่างไรกัน”
เมื่อพูดจนถึงตรงนี้ ตงชิงก็เงยหน้าขึ้นมาด้วยความจนใจ ฝืนยิ้มเจื่อนๆ พร้อมกับพูดขึ้นว่า “ข้าไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น” แต่กลับไม่ยอมอธิบายอะไรต่อ
หู่พั่วนวดมือของตงชิงเบาๆ “พี่หญิงคนดี ท่านอย่าถือโทษโกรธน้องที่พูดจาไม่น่าฟัง ท่านลองนึกดู มีฮูหยินคนไหนเป็นดังเช่นฮูหยินของเราบ้าง อีกทั้งยังมาปรึกษากับท่านถึงห้องด้วยตัวเอง จะว่าไปแล้ว นี่ก็ถือเป็นวาสนาของท่านกับฮูหยิน บางครั้ง พี่หญิงเองก็ควรไตร่ตรองพิจารณาว่าเหมาะควรหรือไม่ถึงจะถูก”
คำพูดนี้ค่อนข้างหนักหน่วงไปหน่อย
ตงชิงรีบพูดขึ้นทันทีว่า “ข้าเองก็รู้ แต่เวลาอยู่ต่อหน้าฮูหยิน ข้าไม่รู้ว่าควรจะพูดอย่างไรดี!”
หู่พั่วได้ยินแล้วก็หัวเราะออกมาเบาๆ “พี่หญิงแค่พูดความในใจกับฮูหยินก็พอ มีเรื่องอันใดให้ไม่สะดวกพูดกันเชียว” หู่พั่วหยอกล้ออีกครั้งว่า “นอกเสียจากพี่หญิงจะไปถูกใจคุณชายเรือนไหนเข้า กลัวว่าตอนฮูหยินถามขึ้นมาแล้วจะตอบไม่ถูก ก็เลยไม่กล้าพูดกระมัง”
“ไปให้พ้นเลย” ตงชิงยิ้มพร้อมกับผลักหู่พั่วเบาๆ
หู่พั่วยกแขนเสื้อขึ้นมาบังพร้อมกับหัวเราะออกมา
บรรยากาศที่อึดอัดในห้องก็เปลี่ยนไปเป็นโล่งสบายขึ้นมา
ตงชิงเองก็ค่อยๆ ผ่อนคลายลง
“ข้าไม่ค่อยชอบคนเช่นว่านต้าเสี่ยน”
หู่พั่วได้ยินแล้วก็ชะงักไป “แต่ข้าเห็นว่าเขาดูดีใช้ได้เลย”
ตงชิงไม่คิดเช่นนั้น “ผู้ชายดูดีจะไปมีประโยชน์อะไร สิ่งที่พึงมีและพึงเป็นก็คือจะต้องมีปัญญาเลี้ยงดูครอบครัว” พูดจบ แววตาของนางก็ค่อยๆ เศร้าสลด “หากเจอคนที่เหมือนเช่นท่านพ่อของข้า ถึงแม้ว่าท่านแม่ของข้าทั้งสวยและเพียบพร้อมด้วยศีลธรรมอันดีงามแค่ไหน สุดท้ายก็ตกอับจนถึงขั้นต้องขายบุตรชายบุตรสาว”
หู่พั่วเองก็เคยได้ยินมา ว่าตงชิงมีพี่ชายคนหนึ่ง อายุเพียงแค่ห้าขวบก็ถูกส่งไปเป็นบุตรเขยบ้านคนอื่นแล้ว
เมื่อได้ยินแล้วรอยยิ้มบนใบหน้าของนางก็ค่อยๆ หายไป
“ฮูหยินถูกใจว่านต้าเสี่ยน ฮูหยินก็ต้องชอบเขาอยู่แล้ว ข้าเองไม่รู้ว่าตอนอยู่ต่อหน้าฮูหยินเขาเป็นคนอย่างไร” ตงชิงถอนลมหายใจออกมาอีกครั้ง “คราวก่อนข้าไปที่ตรอกจินอวี๋ เขา…” พูดถึงตรงนี้ จู่ๆ นางก็เหมือนกับว่าลังเลไม่รู้ว่าควรจะพูดต่อดีหรือไม่ จึงได้ชะงักไป
หู่พั่วได้ยินแล้วก็รู้สึกใจเต้นขึ้นมา “หรือว่าเขา…พูดจาไม่ดีกับท่าน”
“ไม่ใช่ ไม่ใช่” ตงชิงรีบปฏิเสธทันควัน “เขาเป็นคนอ่อนน้อมถ่อมตน อีกทั้งยังรู้จักสังเกตสีหน้าของผู้อื่นด้วย หากข้าเพียงแค่เผยให้เห็นว่าข้าชอบอะไรแม้แต่นิดเดียว เขาก็จะรีบไปทำให้ทันที…” พูดจบก็ค่อยๆ ก้มหน้าลง “ไม่หลงเหลือความเป็นบุรุษเลยแม้แต่นิดเดียว” หู่พั่วได้ยินแล้วก็หัวเราะขึ้นมา “นั่นเป็นเพราะเขาเห็นพี่หญิงที่ราวกับเทพธิดาก็ไม่ปานมายืนอยู่ตรงหน้า มือไม้เลยพันกัน ทำเป็นแค่ตั้งหน้าตั้งตาเอาอกเอาใจเท่านั้น…”
ได้ยินน้ำเสียงที่หยอกล้อของหู่พั่ว ใบหน้าของตงชิงก็แดงก่ำขึ้นมา ตงชิงเอื้อมมือตีหู่พั่วไปทีหนึ่ง “พูดซี้ซั้วอะไรของเจ้า!”
หู่พั่วหัวเราะหนักกว่าเก่า
สีหน้าของตงชิงเต็มไปด้วยความขมขื่น “ข้ากับเจ้าไม่เหมือนกัน เจ้าเป็นบุตรสาวของบ่าวรับใช้ กลับจวนก็ไปเป็นสาวใช้ที่เรือนของนายหญิงใหญ่ แต่ข้าไม่เหมือนกัน ข้าถูกขายเข้ามา ไร้ญาติขาดมิตรไม่มีที่พึ่งพิง แม้แต่คนคุยด้วยก็ไม่มีเสียด้วยซ้ำ ตอนนั้นก็เป็นเพราะไม่มีใครอยากไปดูแลฮูหยินที่ป่วยอยู่ ธุระก็เลยมาตกลงบนหัวข้า” พูดจบก็ยกเรื่องป้าเหยาที่จะจับตนไปแต่งงานกับหลานชายของนางมาพูดต่อ “จะว่าไปแล้ว เหลียนเฉียวที่เรือนของนายหญิงใหญ่ก็ถือว่าหายากยิ่ง ลั่วเชี่ยวเองก็ไม่เลวเลย กลับเอาแต่มาถามข้าอยู่คนเดียว”
หู่พั่วค่อยๆ หุบยิ้มลง
ตงชิงก็ได้พูดถึงเรื่องที่ตนต้อนรับแขกที่มาเยือนแทนหู่พั่วขึ้นมา “…ทั้งๆ ที่สิบตำลึงเท่ากัน แต่ทำไมคุณหนูห้าสามารถทำอาหารได้ทั้งโต๊ะ ส่วนพวกเรากลับทำไม่ได้!” สีหน้าของนางเต็มไปด้วยความผิดหวัง “จะว่าไปแล้ว ไม่แน่บางทีอาจจะเป็นเพราะตอนนั้นฮูหยินยังไม่มีคนให้พึ่งพิงอาศัย แม้แต่พวกหัวหน้าป้ารับใช้ก็ไม่กล้าจะให้เราอยู่ในสายตา แล้วเจ้าดูอย่างตอนนี้สิ…” นางพูดพลางแสดงสีหน้าลังเลออกมา
หรือว่ามีเรื่องอะไรที่ตนไม่รู้เกิดขึ้นกันแน่
แววตาของหู่พั่วหมองหม่นลงไปทันควัน นางรีบหันกลับมาพร้อมกับถามขึ้นว่า “ก็ได้พี่หญิง เรามาคุยเรื่องส่วนตัวกัน ท่านมีเรื่องอะไรให้เป็นกังวลใจหรือ”
ตงชิงลังเลอยู่ครู่ใหญ่ สุดท้ายจึงพูดขึ้นเสียงทุ้มต่ำว่า “กลับจนสกุลหลัวครั้งที่แล้ว ข้าได้ยินลั่วเชี่ยวเล่าว่าหลังจากที่นายท่านใหญ่กลับมาแล้ว ก็เอาแต่ค้างที่เรือนของอี๋เหนียงห้า พอนายหญิงใหญ่รู้เรื่องนี้เข้า ก็ส่งอี๋เหนียงหกไปปรนนิบัติโดยเฉพาะ แต่แล้วนายท่านใหญ่…นายหญิงใหญ่โมโหจนคว่ำถ้วยยาที่ป้าสวี่ยกไปให้หกจนหมด!”
หู่พั่วงุนงงเป็นอย่างมาก
ตอนนางกลับไปที่จวนสกุลหลัวก็ไม่เห็นซานหูว่าอะไร เพียงแต่บอกนางว่าคุณนายสี่ที่เพิ่งเข้ามาใหม่นั้นเก่งกาจมาก พูดจาเป็นต่อยหอย มีหลักคุณธรรม อีกทั้งยอมเสียเปรียบ ไม่เพียงแต่ปรนนิบัติดูแลจนคุณชายสี่เป็นผู้เป็นคนและเชื่อฟังขึ้นมา แม้แต่เหล่าบรรดาสาวใช้และป้ารับใช้ทั้งหลายก็ไม่มีใครกล้ามาวางก้ามทำตัวใหญ่โตกับนางเลย สยบได้แม้กระทั่งคุณนายใหญ่ที่อยู่ต้นลมเสมอมา…
“หากมาลองคิดดีๆ นั่นก็เป็นเพราะตอนนั้นคุณหนูสิบเอ็ดต้องเข้ามาเป็นฮูหยินของหย่งผิงโหวเช่นวันนี้!” สีหน้าของตงชิงเต็มไปด้วยความกังวลใจ “กว่าจะหลุดพ้นจากทะเลทุกข์นั่นได้ ข้าไม่อยากกลับไปติดรากแหนั้นอีกแล้ว!”
“เช่นนั้นพี่หญิงหมายความว่าอย่างไร” หู่พั่วเหมือนจับต้นชนปลายไม่ค่อยถูก
ตงชิงรู้ดีว่าหู่พั่วนั้นมาเพื่อไถ่ถามแทนฮูหยิน หลังจากที่ได้พิจารณาไตร่ตรองแล้ว นางก็ได้พูดขึ้นว่า “บุรุษใหญ่ชายชาตรี จะลุกนั่งต้องกระฉับกระเฉงว่องไว เฉียบขาดและเด็ดเดี่ยว คนเช่นว่านต้าเสี่ยน ข้ามองไม่เข้าตาจริงๆ ไม่อยากจะไปสนิทสนมคบค้ากับคนเช่นนั้น!”
หู่พั่วแสดงสีหน้าท่าทีที่ค่อนข้างลำบากใจ
จะให้ตนกลับไปเรียนฮูหยินว่าอย่างไรดีเล่า
ฮูหยินถูกใจว่านต้าเสี่ยน แต่ก็ไม่อยากให้ตงชิงต้องฝืนมองเขาด้วยความจำใจ จึงไม่ได้ให้งานแต่งนี้เกิดขึ้น แต่ใต้หล้านี้จะมีงานแต่งสักกี่คู่ที่สามารถสมดังใจปรารถนาได้ แม้แต่ตัวฮูหยินเองก็ยังต้องฝืนใจแต่งงาน ใช้ชีวิตกับท่านโหวด้วยความระมัดระวังเช่นนี้มิใช่หรือ
ตงชิงดูสีหน้าท่าทีของหู่พั่วออก สาเหตุที่นางไม่ได้บอกสืออีเหนียงก็เพราะกลัวว่าจะส่งผลไม่ดีเหมือนกัน
“หากข้าไปบอกว่าเพราะไม่ถูกชะตากับว่านต้าเสี่ยนก็เลยไม่อยากแต่ง เกรงว่าฮูหยินคงจะรู้สึกว่าข้าบ้าไปแล้ว แต่หากให้ข้าไปโกหกสร้างเรื่องว่าว่านต้าเสี่ยนเป็นคนไม่ดี แล้วฮูหยินมีปมในใจขึ้นมาล่ะ ไม่เท่ากับเป็นการทำร้ายว่านต้าเสี่ยนหรอกหรือ ถึงแม้ว่าข้าไม่ค่อยได้เจอคนผู้นี้มากนัก แต่ก็ไม่ควรไปกล่าวหาให้ร้ายเพียงเพราะความเห็นแก่ตัวของตัวข้าเอง ข้าไม่รู้ว่าควรจะบอกเรื่องนี้กับฮูหยินอย่างไรดี!”