หนานกงมั่วเปลี่ยนชุดเสร็จเรียบร้อยก็เดินนำชวีเหลียนซิงและหลิ่วหันตรงไปยังจวนเยี่ยนอ๋อง เมื่อเดินเข้าไปในจวนก็ถูกเชิญไปยังห้องหนังสือของเยี่ยนอ๋องทันที ภายในห้องหนังสือ ไม่เพียงเยี่ยนอ๋องที่นั่งอยู่ตำแหน่งเหนือสุด ถัดลงมาด้านล่างยังมีผู้ว่าการเมืองโยวโจวที่มีสีหน้าทะมึนและเซียวเชียนชื่อที่ดูหดหู่นั่งอยู่ มองเห็นหนานกงมั่วเดินเข้ามา เซียวเชียนชื่อก็รีบส่งสายตาให้นาง
หนานกงมั่วยิ้มบางๆ เดินขึ้นไปถวายพระพรเยี่ยนอ๋อง “ถวายพระพรเสด็จลุง ไม่รู้ว่าเสด็จลุงเรียกพบมีเรื่องอันใดหรือเจ้าคะ”
เยี่ยนอ๋องเลิกคิ้ว เอ่ยว่า “ข้าไม่ได้มีเรื่องอันใด เป็นใต้เท้าฉีที่มีเรื่อง”
รอยยิ้มของหนานกงมั่วกว้างขึ้น หันกลับไปพยักหน้าให้ผู้ว่าการเมืองโยวโจวที่อยู่ตรงหน้า เอ่ย “ไม่รู้ว่าใต้เท้าฉีมีอันใดชี้แนะหรือเจ้าคะ” ผู้ว่าการเมืองโยวโจวส่งเสียงหยัน ทว่ายังคงลุกขึ้นคารวะหนานกงมั่ว ก่อนจะเอ่ย “จวิ้นจู่ ท่านให้ซื่อจื่อส่งคนออกไปตรวจตรายังนอกเมือง ขอถามว่าเรื่องอันใดกันแน่ จวิ้นจู่ไม่รู้หรือ ทำเช่นนี้สิ้นเปลืองภาษีประชาชน อีกทั้งยังรบกวนชาวเมืองด้วย”
คิ้วสวยของหนานกงมั่วเลิกขึ้น เซียวเชียนชื่อเอ่ยขึ้นก่อน “ใต้เท้าฉี ซื่อจื่อข้าเคยเอ่ยไปแล้ว เพื่อตามจับคนร้าย คนร้ายแฝงตัวอยู่กับชาวบ้าน อันตรายยิ่งนัก แน่นอนว่าต้องรีบจับตัวมาลงโทษให้เร็วที่สุด ไหนเลยจะสิ้นเปลืองภาษีประชาชนกัน” ผู้ว่าการโยวโจวมาอยู่ในตำแหน่งนี้ได้ แน่นอนว่าไม่เอาวาจาเหลวไหลของเซียวเชียนชื่อมาอยู่ในสายตา ยิ้มเย็น เอ่ย “ผู้ร้ายหรือ นอกจากซื่อจื่อและจวิ้นจู่เอ่ยปากเปล่า ยังมีใครเคยเห็นตัวผู้ร้ายอีกเล่า โยวโจวมีเยี่ยนอ๋องปกครองด้วยพระองค์เอง จะมีผู้ร้ายได้เยี่ยงไร”
หนานกงมั่วย่นคิ้ว เอ่ยเสียงเรียบ “ใต้เท้าฉีจะบอกว่าจวิ้นจู่อย่างข้าเอ่ยเหลวไหลอย่างนั้นหรือ”
ผู้ว่าการโยวโจวเอ่ยตอบมิกล้า ทว่าใบหน้าแสดงออกชัดเจนกำลังบอกว่า “ข้าหมายความเช่นนั้น”
หนานกงมั่วยิ้มหยัน เอ่ย “องครักษ์ในเรือนของจวิ้นจู่ข้าถูกคนสังหารในพื้นที่ที่ห่างออกจากเมืองโยวโจวไปไม่ถึงห้าสิบลี้ หรือว่าจะเป็นหลักฐานไม่ได้หรือ แม้แต่คนของต้าจั่งกงจู่ยังกล้าสังหาร คนผู้นี้ยังมีอันใดที่ไม่กล้าทำอีกเล่า ยังไม่เรียกว่าผู้ร้ายอีกหรือ หรือว่าใต้เท้าผู้ว่าการต้องการดูศพกันเล่า” แน่นอนผู้ว่าการโยวโจวไม่มีความสนใจต่อศพ เพียงจ้องหนานกงมั่วเขม็ง เอ่ย “ข้าขอถามจวิ้นจู่สักนิด ไยองครักษ์ในจวนท่านจึงไปถูกสังหารนอกเมืองในกลางดึกได้เล่า”
หนานกงมั่วไม่คิดตื่นกลัว เอ่ย “จวิ้นจู่อย่างข้าเองก็อยากถามท่านผู้ว่าการ องครักษ์ของข้าอยู่ดีๆ ก็มองเห็นชายชุดดำออกจากจวนแห่งหนึ่งมุ่งหน้าออกนอกเมืองไป เพราะคิดว่าคนผู้นี้น่าสงสัย หนึ่งคนมารายงานจวิ้นจู่ อีกหนึ่งคนติดตามออกไป แต่เมื่อจวิ้นจู่อย่างข้าส่งคนตามไป เขาก็ตายไปแล้ว ใต้เท้าฉีที่เป็นผู้ว่าการเมืองโยวโจว เป็นฝ่ายปกครอง จะให้คำตอบกับข้าได้ใช่หรือไม่”
ใต้เท้าฉีนิ่งงันโดยไม่รู้ตัว ไม่ว่าอย่างไรเมืองโยวโจวเกิดเรื่องเช่นนี้นับว่าเขาผิดพลาดในหน้าที่ ต่อให้ตำแหน่งผู้ว่าการจะไม่ได้มีอำนาจมากมายก็ตาม
ผู้ว่าการเมืองโยวโจวนิ่ง สายตาที่มองไปยังหนานกงมั่วมีความระแวดระวังมากขึ้น เห็นชัดว่ารอยยิ้มหวานและใบหน้างดงามของซิงเฉิงจวิ้นจู่นั้นไม่อาจรับมือได้ง่ายๆ เช่นเดียวกับผู้สืบทอดแห่งเยี่ยนอ๋อง
เนิ่นนาน ผู้ว่าการโยวโจวจึงเอ่ยว่า “เรื่องนี้อย่างไรข้าก็ต้องให้คำตอบกับจวิ้นจู่ แต่ว่า…องครักษ์ในจวนของจวิ้นจู่ออกไปเดินเล่นยามดึก…”
หนานกงมั่วเอ่ยเสียงเย็น “ใต้เท้าฉี ข้าจวิ้นจู่เอ่ยตั้งแต่เมื่อใดว่าพวกเขาออกไปเดินเล่นด้านนอก”
“…” นั่นมันชัดเจนมิใช่หรือ หากอยู่ในเรือนชิงมั่วเพียงเอ่ยเรียกก็มีคนติดตามไปเป็นพรวน ไยต้องตามไปคนเดียวเล่า แต่ว่า…ซิงเฉิงจวิ้นจู่บอกว่าคนชุดดำวิ่งมาถึงเรือนชิงมั่วเขาจะทำอันใดได้ กระทั่งต่อให้เดิมทีจะไม่มีคนชุดดำ ใครว่าซิงเฉิงจวิ้นจู่จะไม่อาจสร้างเรื่องขึ้นมาได้เล่า
หนานกงมั่วเอ่ยเสียงเรียบ “คนน่าสงสัยสามารถไปๆ มาๆ ในเมืองโยวโจวได้อย่างอิสระ ราวกับประตูเมืองนั้นว่างเปล่า ต่อให้ใต้เท้าฉีจะเป็นขุนนางฝ่ายบุ๋นก็คงไม่ควรนิ่งเฉยเช่นนี้หรือไม่”
ผู้ว่าการโยวโจวกัดฟัน หลุบตาลง เอ่ย “จวิ้นจู่สั่งสอนได้ถูกแล้ว”
เยี่ยนอ๋องนั่งเบื่อหน่ายอยู่ตรงนั้น มองทั้งสองที่ปะทะกันไปมา เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เอาล่ะ พวกเจ้าทั้งสอง ท่านฉี ท่านอายุเพียงนี้ก็อย่าได้เอาความกับเด็กสาวเลย เพียงส่งคนเดินไปเดินมาให้ทั่วก็เท่านั้นมิใช่หรือ ต่อให้ไม่มีคนร้ายส่งคนไปตรวจตราความเรียบร้อยสักหน่อยจะเป็นไรไป อู๋สยาและชื่อเอ๋อร์อายุยังน้อย ชื่อเอ๋อร์เพิ่งเข้ามาดูแลยากที่จะไม่ระมัดระวัง ท่านเป็นผู้อาวุโส อย่าได้เอาเรื่องกับเด็กเพราะเรื่องเท่านี้เลย”
ได้ยินเช่นนั้น ผู้ว่าการเมืองโยวโจวก็แทบกระอักเลือดอยู่ในใจ เด็กสาวหรือ เด็กสาวผู้นี้รับมือยากยิ่งกว่าบุรุษนับร้อย ผู้อาวุโสหรือ คุณชายทั้งสามในจวนของพระองค์ ใครบ้างที่เห็นเขาเป็นผู้อาวุโสบ้าง
ไม่พอใจอยู่ในใจ ผู้ว่าการโยวโจวขมวดคิ้ว เอ่ย “ท่านอ๋อง เอ่อ…ทางด้านแม่ทัพเซี่ย...”
เยี่ยนอ๋องโบกมือเอ่ย “หากเซี่ยลี่มีปัญหาอันใดก็ให้เขามาหาข้า”
ผู้ว่าการเมืองโยวโจวลอบถอนหายใจ รู้อยู่แก่ใจว่าวันนี้ตนเสียเปรียบ ทำได้เพียงยกมือประสานเอ่ย “ในเมื่อท่านอ๋องเอ่ยเช่นนี้ กระหม่อมก็รับบัญชาพ่ะย่ะค่ะ” มีหรือเยี่ยนอ๋องจะไม่รู้ว่าเขาไม่พอใจ ทว่าไม่ใส่ใจ เอ่ยด้วยท่าทางมีความสุข “เช่นนั้นก็ดี เชียนชื่อ ในเมื่อใต้เท้าฉีเอ่ยเช่นนี้ เจ้าก็ไปจัดการเถิด”
เซียวเชียนชื่อยินดีขึ้นมา รีบประสานมือเอ่ยเสียงดัง “พ่ะย่ะค่ะ เสด็จพ่อ ลูกขอตัวแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
ถูกเยี่ยนอ๋องซื่อจื่อบีบบังคับต่อหน้าเยี่ยนอ๋องไม่อาจเอ่ยสิ่งใดได้ ทว่าถูกสตรีคนหนึ่งทำจนเขาไม่อาจโต้เถียงได้ ผู้ว่าการโยวโจวรู้สึกหงุดหงิดอยู่ในใจ มองหนานกงมั่ว ฝืนยิ้มพลางเอ่ย “ซิงเฉิงจวิ้นจู่ช่างมีคารมคมคาย ข้าน้อยนับถือ” หนานกงมั่วเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ใต้เท้าฉีชมเกินไปแล้ว”
ผู้ว่าการโยวโจวกระตุกมุมปาก หันไปเอ่ยลาเยี่ยนอ๋อง
ในห้องหนังสือเหลือเพียงหนานกงมั่วและเยี่ยนอ๋องสองคน ทั่วทั้งห้องพลันเงียบลง เยี่ยนอ๋องมองไปยังหนานกงมั่ว เอ่ย “เจ้าไม่มีอันใดอยากบอกข้าหรือ”
หนานกงมั่วยิ้มร่า เอ่ย “เสด็จลุงอยากฟังอันใดหรือเพคะ”
เยี่ยนอ๋องส่งเสียงหยัน เอ่ย “เจ้าคิดว่าสิ่งใดควรเอ่ยก็เอ่ยมา”
หนานกงมั่วไหวไหล่ เอ่ย “หม่อมฉันไม่มีเรื่องใดต้องเอ่ยเพคะ”
เยี่ยนอ๋องจนใจ ถอนหายใจออกมา “ยามนี้จวินเอ๋อร์ไม่อยู่ ชื่อเอ๋อร์ยังอ่อนแอ คงต้องลำบากเจ้าแล้ว” หนานกงมั่วย่นคิ้ว เอ่ย “ช่วงนี้เสด็จป้าและหลายคนต่างก็เป็นห่วงเสด็จลุงเพคะ” เยี่ยนอ๋องมองสำรวจนาง “ข้าดูไม่ออกว่าเจ้ามีท่าทางเป็นห่วงเป็นใย”
หนานกงมั่วยิ้ม เอ่ย “นั่นเพราะหม่อมฉันเชื่อมั่นในเสด็จลุงอย่างไรเล่าเพคะ”
แม้เยี่ยนอ๋องจะมิใช่คนที่ชอบฟังวาจาประจบประแจง แต่คำเยินยอของหนานกงมั่วเช่นนี้ไม่นับว่าเยินยอทำให้เขารู้สึกดีขึ้นมามากทีเดียว
“เจ้าไม่เข้าใจหรือว่าไยข้าต้องทำเช่นนี้” เยี่ยนอ๋องเอ่ยถาม
หนานกงมั่วเอ่ย “แม้หม่อมฉันจะไม่เข้าใจจริงๆ แต่หม่อมฉันรู้ว่าเสด็จลุงมิได้…อืม ก็เพียงพอแล้วเพคะ เพียงแต่ต้องขอให้เสด็จลุงใส่ใจความรู้สึกของผู้ใต้บัญชาและเสด็จป้าสักนิด” เยี่ยนอ๋องถอนหายใจ “ข้าเองก็ไม่มีทางเลือก ยามนี้โยวโจวดูราวกับสงบสุข เบื้องลึกแล้วกลับมีคนมากมายคอยสอดแนม จริงสิ…ร่างกายของข้าเป็นอย่างไรบ้าง”