“หัวหน้าขอรับ”
ซิงเวยกวาดตามองบนโต๊ะอยู่ชั่วครู่ เอ่ยเสียงเข้ม “ส่งคนไปที่เขาชุ่ยเวยรายงานคุณชายเสียนเกอและอาจารย์ทั้งสอง เพิ่มความปลอดภัยบนเขาชุ่ยเวย นอกจากนี้ คนที่เหลืออยู่กระจายตัวออกไปให้หมด”
หาได้ยากที่ซิงเวยจะเอ่ยยืดยาวเพียงนี้ ผู้ติดตามของเขาเองก็อดไม่ได้เงยหน้าขึ้นมามองเขาก่อนเอ่ยตอบรับอย่างนอบน้อม อีกคนเอ่ยถาม “จะทำเช่นไรดีขอรับ” ซิงเวยเอ่ย “เผาเสีย ส่งคนกลับไปรายงานเยี่ยนอ๋องซื่อจื่อ ในระยะรอบเขาสิบลี้ว่ามีรังโจรป่า ปิดเขาค้นให้ทั่ว”
“ขอรับ”
เรือนชิงมั่ว
รุ่งเช้า หนานกงมั่วนั่งหวีผมอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง หมิงฉินยืนอยู่ด้านหลังกำลังปักผมให้นาง สาวใช้สองคนยืนถือกล่องผ้าสวยงามอำนวยความสะดวกให้หมิงฉิน ชวีเหลียนซิงและหลิ่วหันเดินเข้ามาอย่างรวดเร็ว “จวิ้นจู่”
หนานกงมั่วมองพวกนางผ่านกระจกทองเหลือง “เจ้ามาคุยด้านใน มีเรื่องอันใด” หลิ่วหันเอ่ยตอบ “คนที่ตามคนของหอธาราออกนอกเมืองเมื่อคืนตายแล้วเจ้าค่ะ”
“ตายแล้วแล้วอย่างนั้นหรือ” ดวงตาของหนานกงมั่วจมลึก หลิ่วหันเอ่ย “พวกเราช้าไป เมื่อซิงเวยพาคนไปถึงคนของสำนักหอธาราก็แยกย้ายกันไปแล้วเจ้าค่ะ”
“กงอวี้เฉิน ดี พอดีจวิ้นจู่อย่างข้าอยากมอบของขวัญชิ้นใหญ่ให้ท่าน” ครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ หนานกงมั่วจึงเอ่ยถาม “ซิงเวยจัดการอย่างไร” หลิ่วหันเอ่ย “ซิงเวยรายงานซื่อจื่อ ปิดเขาค้นรังโจรเจ้าค่ะ”
หนานกงมั่วพยักหน้า เงียบไปชั่วครู่ เอ่ย “ไม่ ส่งคนไปบอกกับเชียนชื่อ บอกว่ามีฆาตกรโหดเหี้ยมกำลังหลบหนี ส่งคนออกตรวจตรารอบโยวโจวในระยะห้าสิบลี้ทุกวันไม่ขาด”
ชวีเหลียนซิงเอ่ย “จวิ้นจู่ นี่เกรงว่า…”
“ทำไมหรือ” หนานกงมั่วเอ่ยถาม ชวีเหลียนซิงเอ่ย “เรื่องนี้เกรงว่าต้องเป็นผู้ว่าการโยวโจวร่วมมือกับกองบัญชาการเมืองโยวโจวจึงจะจัดการได้เจ้าค่ะ เกรงว่าซื่อจื่อคงจะ…” หนานกงมั่วยิ้มเย็น เอ่ยเสียงเรียบ “หากพวกเขายอมให้ความร่วมมือ กลางดึกคนของกงอวี้เฉินคงไม่อาจเข้ามาได้” ประตูเมืองไหนเลยจะปีนได้ง่ายๆ เห็นชัดว่ากำลังมีคนหลับหูหลับตาข้างหนึ่ง
“ไปเถิด มีปัญหาอันใดให้เขามาหาข้าก็พอ” หนานกงมั่วเอ่ย
ชวีเหลียนซิงจึงยอมพยักหน้า “เจ้าค่ะ บ่าวจะไปเดี๋ยวนี้”
“รายงานจวิ้นจู่ ซื่อจื่อมาขอพบเจ้าค่ะ” ด้านนอก เสียงจือซูเอ่ยรายงาน หนานกงมั่วเลิกคิ้ว “เอ๋ เชียนชื่อมาแต่เช้าเพียงนี้เลยหรือ เชิญเขาไปรอที่ห้องหนังสือชั่วครู่ก่อน” จือซูรับคำสั่งแล้วเดินออกไป หนานกงมั่วมองหมิงฉินที่กำลังจะปักผมของนางเพิ่มอีก โบกมือเอ่ย “พอแล้ว เยอะมากไปก็เกะกะ”
หมิงฉินลังเลเพราะยังทำไม่เสร็จ จวิ้นจู่ไม่ได้รักสวยรักงาม ทำให้งานฝืมือที่สวยงามและมีความยากของนางไม่ได้มีโอกาสแสดงออกมาบ่อยนัก
หนานกงมั่วลุกขึ้น เดินออกไปด้านนอก พร้อมเอ่ยถาม “เหลียนซิง เจ้าว่าเชียนชื่อมาทำอันใด”
ชวีเหลียนซิงเองก็ไม่กล้าคาดเดาซื่อจื่อไปเรื่อย เอ่ย “บางทีอาจเพราะ…มีเรื่องอยากหารือกับจวิ้นจู่หรือไม่เจ้าคะ”
หนานกงมั่วถอนหายใจ “ช่วงนี้ยังไม่มีเรื่องใหญ่อันใด ข้าคาดหวังว่าเขาจะไม่มาหารือกับข้า” แม้การรับฟังความคิดเห็นของคนรอบข้างจะเป็นเรื่องที่ดี อย่างไรการทำสิ่งใดคนเดียวก็ไม่ใช่ทางเลือกที่ดีนัก แต่ว่าหนานกงมั่วคิดว่าเรื่องตอนนี้ยังไม่มีความยากอันใด ข้างกายของเซียวเชียนชื่อก็ใช่ว่าไม่มีที่ปรึกษา หากยังต้องมาถามนาง เกรงว่าไม่ใช่เซียวเชียนชื่อไม่รู้ว่าควรทำอย่างไร แต่เพราะเขาไม่กล้าทำ
มาถึงห้องหนังสือ เซียวเชียนชื่อนั่งอยู่ด้านในด้วยสีหน้านอบน้อม เมื่อเห็นหนานกงมั่วเดินเข้ามา เซียวเชียนชื่อจึงลุกขึ้น “พี่สะใภ้” หนานกงมั่วเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เชียนชื่อ ไยจึงมาแต่เช้าเพียงนี้เล่า”
เซียวเชียนชื่อเอ่ยอย่างลำบากใจ “เชียนชื่อมีเรื่องมาขอคำชี้แนะจากพี่สะใภ้อีกแล้วขอรับ”
หนานกงมั่วเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “คงไม่อาจเรียกว่าชี้แนะได้ มีเรื่องอันใดก็เอ่ยมาเถิด พวกเรามาดูไปด้วยกัน”
เซียวเชียนชื่อเอ่ย “เมื่อครู่คนของพี่สะใภ้ถือป้ายคำสั่งมาบอกว่าบนเขานอกเมืองมีรังโจร ต้อง…” หนานกงมั่วยิ้มเอ่ย “ที่แท้ก็เป็นเรื่องนี้นี่เอง ข้ากำลังจะส่งคนไปบอกกับน้องชาย ซิงเวยสืบไม่ละเอียดนัก ปิดล้อมเขาเพียงสิบลี้คงไม่พอ ได้ยินมาว่ามีฆาตกรมือมีกลิ่นคาวเลือดอยู่หลายคน เกรงว่าในระยะห้าสิบลี้ก็คงต้องปิดล้อมเอาไว้ด้วย นอกจากนี้ยังต้องส่งคนไปตรวจตราแน่นหนา จะได้ไม่ทำร้ายประชาชน”
เซียวเชียนชื่อลังเลอยู่ชั่วครู่ เอ่ย “พี่สะใภ้ เรื่องนี้เกรงว่าคงจะลำบาก การรักษาความปลอดภัยในโยวโจวเป็นหน้าที่ของกองบัญชาการเมืองโยวโจว นอกจากกองบัญชาการเมืองโยวโจวแล้วก็คงเป็นคำสั่งโดยตรงจากเสด็จพ่อจึงจะเรียกรวมกองกำลังได้ นอกจากนี้ผู้ว่าการเมืองโยวโจวเองเกรงว่าคงไม่เห็นด้วย” อย่างน้อยผู้ว่าการเมืองโยวโจวและกองบัญชาการเมืองโยวโจวก็ได้ชื่อว่าเป็นผู้ควบคุมกองกำลังเมืองโยวโจว แม้ว่าผู้ว่าการเมืองโยวโจวต่อหน้าเยี่ยนอ๋องแล้วจะดูราวกับเครื่องประดับก็ตาม แต่อย่างไรเขาก็ไม่ใช่หุ่นดินปั้น
หนานกงมั่วเลิกคิ้ว ราวกับไม่เข้าใจ เอ่ย “เอ๋ ไยจึงไม่เห็นด้วยเล่า”
เซียวเชียนชื่อเอ่ย “พวกเรายังไม่มีข่าวชัดเจน เคลื่อนกองกำลังมากมาย เกรงว่าจะเปลืองภาษีของประชาชน…และยากที่จะอธิบายกับเสด็จพ่ออีกด้วย”
หนานกงมั่วปวดหัว เอ่ย “เมื่อคืนมีคนตายอยู่ที่ตีนเขา แถมยังมีไฟไหม้ คนที่ซิงเวยส่งไปไม่ได้บอกกับเจ้าหรือ”
“บอกแล้วขอรับ เพียงแต่…” นั่นไม่ได้หมายความว่ามีรังโจรป่านี่นา เอ่ยตามตรง พื้นที่ห่างจากเมืองโยวโจวใกล้เพียงนั้น คิดว่าอยากให้คนเชื่อว่ามีรังโจรคงเป็นเรื่องยาก
หนานกงมั่วถอนหายใจ “เชียนชื่อ บางเรื่องก็ไม่ต้องทำให้ชัดเจน มีเหตุผลก็พอแล้ว เรื่องนี้เจ้าไปจัดการก่อน เมื่อถึงยามเสด็จลุงเอ่ยถาม ข้าจะไปตอบเอง ส่วนผู้ว่าการเมืองโยวโจวนั่น หากเขามีข้อโต้แย้งก็ให้เขามาหาข้า”
เมื่อได้ยินนางเอ่ยเช่นนั้น เซียวเชียนชื่อพลันรู้สึกละอายขึ้นมา “ไม่ต้องขอรับ ไม่ต้อง ผู้ว่าการโยวโจวนั่น ข้าไปเองก็พอ ข้า…พี่สะใภ้ ข้าไร้ประโยชน์มากเลยใช่หรือไม่” นึกขึ้นว่าตนเองนั้นไม่กล้าตัดสินใจเท่าพี่สะใภ้ที่เป็นสตรี เซียวเชียนชื่อจึงรู้สึกละอายใจและผิดหวังขึ้นมา
หนานกงมั่วยิ้มหวาน เอ่ย “การระแวดระวังเป็นเรื่องสมควร บางครั้งก็ไม่ควรระวังจนเกินไป เจ้าเป็นผู้สืบทอดของเยี่ยนอ๋อง ต่อให้มีความผิดพลาดบ้างเป็นบางครั้งก็ไม่เป็นไร อย่าลืมว่าเจ้ายังมีเสด็จพ่อเสด็จแม่” เกรงว่าหากตั้งแต่ต้นจนจบไม่มีความกล้าที่จะพลาดและไม่กล้าที่จะทำผิด ไม่กล้าทำอันใด ไม่เคยผ่านสิ่งเหล่านี้ คงไม่อาจอยู่ในตระกูลเชื้อพระวงศ์ได้ง่ายๆ เซียวเชียนชื่อไม่ใช่ขุนนางธรรมดา เขาอาจเป็นผู้ถือหางเสือจวนเยี่ยนอ๋องในภายภาคหน้า มีโอกาสทำผิดพลาดทว่าไม่ทำ รอจนทำผิดในยามที่ไม่ควรทำ เช่นนั้นคงเป็นการผิดพลาดมหันต์
เซียวเชียนชื่อพยักหน้า เอ่ย “ขอบคุณพี่สะใภ้ที่ชี้แนะขอรับ”
หนานกงมั่วส่ายศีรษะเอ่ย “คนกันเองทั้งนั้น ไม่ต้องเกรงใจ”
“จวิ้นจู่ ท่านอ๋องให้มาเชิญเจ้าค่ะ” หนานกงมั่วนั่งอ่านตำราอยู่ในห้องหนังสือ ด้านนอกประตู จือซูเดินเข้ามารายงาน หนานกงมั่ววางตำราในมือลง เลิกคิ้วเอ่ย “ท่านอ๋องหรือ มีเรื่องอันใด” เยี่ยนอ๋องเป็นคนรักษาคำพูด เขาบอกว่าให้เซียวเชียนชื่อจัดการธุระในจวน ก็ละทิ้งทุกอย่างรักษาตัวอยู่ที่เรือนเตี๋ยอย่างสบายใจ ทำให้คนนอกต่างคาดเดาว่าท่านอ๋องนั้นป่วยหนักแล้วหรือไม่
จือซูส่ายศีรษะ เอ่ย “ผู้ดูแลที่มาส่งข่าวมิได้บอกว่าเรื่องอันใดเจ้าค่ะ เพียงแต่บอกว่าเยี่ยนอ๋องเชิญจวิ้นจู่ไปพบ” หนานกงมั่วพยักหน้า ลุกขึ้นเอ่ย “ข้าพอจะรู้แล้วว่าเพราะอันใด เตรียมตัวไปจวนเยี่ยนอ๋องเถิด”
“เจ้าค่ะ จวิ้นจู่”