หู่พั่วรู้สึกจับต้นชนปลายไม่ถูก จึงพูดไปตรงๆ ว่า “พี่ตงชิง นี่มันเป็นเรื่องของตัวท่านเอง ท่านต้องตัดสินใจเอง ข้าฟังท่าน ท่านอยากให้ข้าไปเรียนฮูหยินว่าอย่างไร ข้าก็จะเรียนกับฮูหยินอย่างนั้น!”
ตนจะต้องรู้ว่าควรทำอย่างไร จะได้ไม่ต้องถ่วงเวลาแบบนี้…
คำพูดประโยคนี้ของหู่พั่วน่าฟัง แต่ความเป็นจริงคือพูดไปแล้วก็เหมือนไม่ได้พูด ไม่รู้ว่าสรุปแล้วมาจากทางฝั่งนายหญิงใหญ่หรือไม่ ไม่เหมือนเช่นปินจวี๋ที่เคยร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมา
เมื่อนึกถึงตรงนี้ ในใจของตงชิงก็รู้สึกเย็นชาขึ้นมา นางพูดขึ้นว่า “ข้าขอคิดดูก่อน พรุ่งนี้ค่อยเข้าไปเรียนฮูหยิน เจ้าเห็นว่าอย่างไร”
หลายวันมานี้ท่านโหวค้างที่เรือนฮูหยินทุกวัน เลยไม่ได้ให้พวกนางไปเฝ้าปรนนิบัติในช่วงกลางคืน เข็นเรือตามน้ำใครจะทำไม่เป็นกันเล่า
“ก็ดี!” หู่พั่วยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า “ข้าฟังพี่ตงชิงหมดเลย”
ทั้งสองถามไถ่สารทุกข์สุกดิบกันอยู่ครู่หนึ่ง หู่พั่วก็ลุกขึ้นกลับเข้าห้องของตัวเองไป
ตงชิงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ตัดสินใจไปหาปินจวี๋ เล่าเรื่องนี้ให้ปินจวี๋ฟัง
ปินจวี๋ได้ยินแล้วก็ฉุนขึ้นมาทันที “ทำไมเจ้าถึงเอาแต่หาเรื่องจับผิดผู้อื่น ในจวนนี้จะมีนายสักกี่ท่านที่สามารถเดินไปมาในเรือนอย่างสง่าผ่าเผยได้ แม้แต่เวลาที่พ่อบ้านไป๋เจอฮูหยิน ก็ยังต้องคอยสังเกตสีหน้าและระมัดระวังทุกย่างก้าว ข้าเองก็รู้สึกว่าว่านต้าเสี่ยนนั้นไม่เลวทีเดียว อีกอย่างฮูหยินเป็นคนย้ายเขาไปที่ห้องบัญชีด้วยตัวเอง วันข้างหน้ายังต้องใช้เขาอีกเยอะ หากเจ้าแต่งงานกับเขา ยังเป็นการช่วยฮูหยินอีกด้วย เพราะคนบ้านสกุลว่านเห็นว่าเจ้านั้นเป็นสาวใช้คนสนิทของฮูหยิน จึงไม่กล้าดูหมิ่นดูแคลนเจ้า เป็นทั้งบุตรชายคนโตและสะใภ้ใหญ่ เจ้ายังมีอะไรให้ไม่พอใจกัน” น้ำเสียงคำพูดคำจาของปินจวี๋ค่อนข้างไม่พอใจในความคิดของนางเป็นอย่างมาก
ตงชิงรู้สึกอัดอั้นตันใจแต่ก็ไม่สามารถระบายออกมาได้ คุยกับปินจวี๋พักหนึ่ง จากนั้นก็ขอตัวกลับเรือน
พอเงยหน้าขึ้นก็เจอเข้ากับจู๋เซียงพอดี
วันๆ นางก็มัวแต่ยุ่งอยู่กับการดูแลอาหารทั้งสามมื้อและซักผ้าผ่อนของเรือน ออกไปแต่เช้ากลับมาถึงก็ดึกดื่น ไม่ค่อยได้เจอหน้ากันเท่าไรนัก
“เสร็จงานแล้วหรือ” ตงชิงกล่าวทักทายจู๋เซียงด้วยรอยยิ้ม
จู๋เซียงย่อตัวทำความเคารพนาง “พี่ตงชิง ดึกป่านนี้แล้ว ท่านยังไม่เข้านอนอีกหรือ”
ใบหน้าของตงชิงเต็มไปด้วยสีหน้าที่กลัดกลุ้มใจ รอยยิ้มของนางค่อนข้างฝืน ลมพัดยามค่ำคืนพลอยทำให้รู้สึกอ้างว้างวังเวง
จู๋เซียงมองเห็นอย่างชัดเจน นึกถึงช่วงเวลาที่ผ่านมา ตงชิงคอยดูแลตนมาโดยตลอด จึงยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า “วันนี้โรงครัวทำขนมถั่วลันเตาเหลืองกวนเป็นอาหารว่างยามดึกให้ไท่ฮูหยิน เลยห่อให้ข้ามาหน่อยหนึ่ง พี่หญิงจะลองชิมสักหน่อยหรือไม่”
ค่ำคืนนี้ยังอีกยาวนาน อยู่ในห้องก็ต้องเย็บปักถักร้อย จึงตอบรับจู๋เซียงด้วยรอยยิ้ม ทั้งสองพากันเดินไปยังที่พักของนาง
จู๋เซียงพักอยู่คนเดียว ด้านข้างเป็นที่พักของสาวใช้น้อยคนอื่นๆ นางเคาะประตูเรียกสาวใช้น้อยไปเอาน้ำร้อนมาให้หนึ่งกา จากนั้นตงชิงก็นั่งลงบนเตียงเตา จู๋เซียงนำขนมถั่วลันเตาเหลืองกวนที่ห่อด้วยกระดาษมันจัดลงบนจานกระเบื้องลายคราม แล้วจึงหันไปนำชาเถี่ยกวนอินออกมาหนึ่งห่อ “…นี่คือชาที่ป้าตู้ให้เป็นรางวัลตอนเทศกาลฤดูหนาว พี่หญิงลองชิมดู”
ตงชิงรู้สึกว่านางยังเด็กอยู่แท้ๆ ไม่เพียงแค่การกระทำสุขุมหนักแน่น ยังว่านอนสอนง่ายและมนุษยสัมพันธ์ดีเยี่ยม ราวกับเป็นสาวใช้ใหญ่อย่างไรอย่างนั้น ไม่เหมือนตน ที่ฝ่าฝืนกฎของฮูหยินห้า จึงต้องนั่งเย็บปักถักร้อยอยู่แต่ในห้อง อดไม่ได้ที่จะเหม่อลอยขึ้นมา
จู๋เซียงมองสีหน้าที่เต็มไปด้วยความกังวลใจของตงชิง จู๋เซียงรู้ตัวว่าตนนั้นอายุยังน้อย อีกทั้งยังไม่ได้เข้ามาปรนนิบัติรับใช้ฮูหยินเหมือนกับนาง นางคงไม่คิดจะพูดความในใจกับตนหรอก จู๋เซียงจึงไม่ได้พูดอะไรออกมา เดินไปเปลี่ยนเสื้อผ้าหลังฉากบานพับเหมือนเช่นเคย คุยกับนางพลางรอน้ำร้อนที่จะนำมาชงชา
แต่หลังจากเปลี่ยนชุดเสร็จแล้ว น้ำร้อนก็ยังไม่มาสักที ยังคงเห็นตงชิงนั่งเหม่อลอยอยู่ที่เดิม แต่จู๋เซียงเองก็ไม่สะดวกใจจะถามนางตรงๆ จึงยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า “ทำไมน้ำร้อนถึงยังไม่มาสักที ข้าจะออกไปดูเสียหน่อย!” นางพูดพลางเดินออกไปด้านนอก แล้วให้สาวใช้น้อยอีกคนออกไปตาม แต่เพิ่งจะกลับเข้ามาในห้อง จู่ๆ ก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น
คนที่ยกน้ำร้อนเข้ามานั้นก็คือลี่ว์อวิ๋น “ได้ยินว่ามีแขกมาที่ห้องของน้องหญิง…นี่เป็นน้ำร้อนที่ฮูหยินใช้ไม่หมด ข้าก็เลยยกติดมือมาด้วย!”
จู๋เซียงจึงรีบลุกขึ้นหลีกที่ให้นางมานั่งดื่มชาด้วยกัน
ลี่ว์อวิ๋นและหงซิ่วไม่เหมือนกับจู๋เซียง เดิมทีพวกนางก็ติดตามฮูหยินมาตั้งแต่แรกแล้ว ต่อหน้าฮูหยินพวกนางระมัดระวังไม่กล้าทำผิดพลาดแม้แต่ก้าวเดียว ต่อหน้าตงชิงและจู๋เซียง พวกนางก็มักจะคอยเอาใจทำรองเท้าถุงเท้าให้เสมอ เพียงแต่ว่าฝีมือการเย็บปักถักร้อยของตงชิงนั้นเดิมทีก็ดีอยู่แล้ว อีกทั้งยังค่อนข้างมีเวลาว่าง พวกนางจึงพยายามไม่ค่อยจะไหว ส่วนปินจวี๋เป็นคนที่มีเท่าไรก็เอาเท่านั้น พูดเพียงว่า “ลำบากแล้ว!” แค่ประโยคเดียวก็ยอมปล่อยผ่านไป ส่วนหู่พั่วนั้นเก็บตามจำนวนที่สั่ง หากทำผิดก็ลงโทษไปตามผิด มีเพียงจู๋เซียงคนเดียวเท่านั้นที่มักจะยิ้มแย้มแจ่มใสอยู่เสมอ ทำความเคารพบ้างเป็นบางครั้ง ทุกคนจึงชอบนางเป็นอย่างมาก เมื่อนางชวนให้อยู่ดื่มน้ำชาด้วยกัน ก็รีบไปชงชาด้วยความกระตือรือร้น
“ท่านโหวนอนที่เรือนของฮูหยินแล้วใช่หรือไม่!” ตงชิงรู้สึกว่าลี่ว์อวิ๋นดูเหมือนว่างมาก จึงถามไปตามเนื้อผ้า
ลี่ว์อวิ๋นใช้ถาดไม้ที่เคลือบด้วยสีน้ำมันแดงเงาสลักลายดอกไห่ถังสีทองยกชาทั้งสามถ้วยเข้าไป “ไม่ใช่ ไปค้างที่เรือนของเฉียวอี๋เหนียงแทน”
ตงชิงชะงักไปทันที “เหตุใดจู่ๆ ถึงไปหาเฉียวอี๋เหนียงได้ล่ะ”
จู๋เซียงเข้าไปช่วยรับถ้วยชามาวางลงบนโต๊ะ จากนั้นก็ขยับที่ให้ลี่ว์อวิ๋นขึ้นไปนั่งบนเตียงเตา
“เดิมทีก็ถึงวันของเฉียวอี๋เหนียงอยู่แล้วนี่นา” ลี่ว์อวิ๋นไม่ได้คิดเช่นนั้น นางยิ้มพร้อมกับขึ้นไปนั่งบนเตียงเตา
“แต่หลายวันมานี้ท่านโหวก็พักอยู่แต่ในเรือนของฮูหยินมิใช่หรือ…”
“ใครจะสามารถคาดเดาจิตใจของท่านโหวได้กัน” ลี่ว์อวิ๋นยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า “หลังจากทานข้าวกลับมาก็ยังดีๆ อยู่เลย แต่พอเห็นว่าเปลี่ยนม่านเตียงชุดใหม่ สีหน้าของท่านโหวก็เคร่งขรึมขึ้นมาทันที จากนั้นก็ลุกขึ้นตรงไปยังเรือนของเฉียวอี๋เหนียงเลย ข้ากลับสังเกตเห็นฮูหยินถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก แล้วฮูหยินก็ไปที่เรือนปีกทิศตะวันออก เพราะพรุ่งนี้คุณหนูใหญ่จะเดินทางไปยังเขาซีซาน เพื่ออยู่ฉลองปีใหม่เป็นเพื่อนฮูหยินสอง”
จู๋เซียงชี้ไปยังขนมถั่วลันเตาเหลืองกวนที่อยู่ในจาน “ลองชิมดูว่ารสชาติเป็นอย่างไรบ้าง”
ลี่ว์อวิ๋นรีบหยิบชิ้นหนึ่งออกมาชิม “อร่อย…แต่หากหวานกว่านี้อีกหน่อยคงจะดี!”
จู๋เซียงขยับจานมาวางตรงด้านหน้าของตงชิง จากนั้นก็ยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า “เพราะทำให้ไท่ฮูหยินทาน”
ตงชิงหยิบชิ้นหนึ่งมาทานอย่างใจลอย แล้วจึงพูดขึ้นว่า “แล้วมันเกี่ยวอะไรกับเรื่องเปลี่ยนม่านเตียงชุดใหม่ล่ะ”
ลี่ว์อวิ๋นกลืนขนมถั่วลันเตาเหลืองกวนลงคอ จากนั้นก็พูดขึ้นว่า “ถึงว่าไงว่าไม่มีใครคาดเดาจิตใจของท่านโหวได้ จะว่าไปแล้ว ท่านโหวก็เป็นคนสั่งให้เปลี่ยนม่านเตียงแท้ๆ ตอนบ่ายท่านโหวก็เห็นแล้วด้วย อีกทั้งยังบอกว่าฮูหยินเปลี่ยนได้ทันเวลา ตกกลางคืน พอเห็นม่านเตียงก็เหมือนนึกถึงเรื่องอะไรไม่ดีเข้าอย่างไรอย่างนั้น…” แล้วก็พูดต่อไปว่า “เฮ้อ อารมณ์ท่านโหวเดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายมาโดยตลอด เมื่อก่อนเรือนดีๆ ก็ไม่ยอมอยู่ วันๆ เอาแต่อยู่ที่เรือนปั้นเย่ว์พั่น พอมาตอนนี้ก็เอาแต่กลับมานอนที่เรือน”
จู๋เซียงได้ยินแล้วก็รู้สึกตลก จึงหัวเราะพร้อมกับพูดขึ้นว่า “เรือนปั้นเย่ว์พั่นไม่ใช่เรือนหรืออย่างไรกัน”
“ปั้นเย่ว์พั่นไม่ใช่เรือนจริงๆ เสียด้วย” ลี่ว์อวิ๋นจิบชาไปคำหนึ่ง รู้สึกอุ่นทั่วทั้งกาย “ตอนที่ข้ายังเป็นสาวใช้น้อย ข้าเคยไปแจ้งข่าวให้ท่านโหวครั้งหนึ่ง…มันเป็นห้องสามห้องพี่มุงด้วยหญ้าคา รอบด้านเป็นน้ำ พาดกระดานไม้สีแดงเพียงสะพานเดียว”
“ไม่ได้ดูผิด” ลี่ว์อวิ๋นหัวเราะพร้อมกับพูดขึ้นว่า “ผนังด้านนอกทำด้วยดินเหนียว หลังคามุงด้วยหญ้าคา ยังมีบ่อน้ำดินและกว้านตักน้ำที่มุงด้วยหญ้าคา เป็นแบบเดียวกันกับบ้านนอกเลย” จากนั้นก็หัวเราะแล้วพูดต่อว่า “ตอนนั้นข้ารู้สึกแปลกใจเป็นอย่างมาก เหตุใดท่านโหวจึงพักอยู่ในที่เช่นนั้นได้ ก็เลยตั้งใจไปถามสาวใช้ใหญ่พี่เป่าหลานโดยเฉพาะ พี่เป่าหลานเองก็ตอบข้าว่าไม่รู้เหมือนกัน…”
จู๋เซียงเห็นว่าบทสนทนานี้ยิ่งคุยก็ยิ่งเตลิดไปไกล จึงยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า “ที่นี่เป็นจวนของท่านโหว ท่านโหวอยากจะอยู่ที่ใดก็ได้ ส่วนเราเป็นแค่สาวใช้ ตั้งใจปรนนิบัติอย่างสุดความสามารถก็พอแล้ว” จากนั้นก็เปลี่ยนไปคุยเรื่องอื่น “พี่ลี่ว์อวิ๋นคิดว่าชาเป็นอย่างไรบ้าง ข้าชิมแล้วรู้สึกทั้งหวานหอมและเข้มข้น”
“ป้าตู้เป็นคนให้มาล่ะสิ” ลี่ว์อวิ๋นพยักหน้าเบาๆ “ป้าตู้ชอบดื่มชาเถี่ยกวนอินเป็นชีวิตจิตใจ ทุกๆ ปีไท่ฮูหยินมักจะมอบใบชาให้กับผู้หลักผู้ใหญ่อย่างป้าตู้เป็นของขวัญ ครั้งละหลายชั่งเชียว”
ทั้งสองนั้นกำลังพูดคุยกัน ในที่สุดก็สามารถเบี่ยงประเด็นจากเรื่องในเรือนของสืออีเหนียงได้
หลังจากดื่มชาและทานขนมเสร็จแล้ว ลี่ว์อวิ๋นเห็นว่าตงชิงเอาแต่นั่งเงียบไม่ยอมพูดอะไร จึงรู้สึกว่าตนนั้นเกินเลยเสียแล้ว ตงชิงมาหาจู๋เซียงในเวลานี้ จะต้องมีธุระอย่างแน่นอน จู๋เซียงชวนตนอยู่ดื่มชาด้วยตามมารยาท ตนก็ไม่ได้คิดอะไรมากมาย นั่งลงดื่มชาด้วยเสียอย่างนั้น
ลี่ว์อวิ๋นจึงพูดคุยอยู่ไม่กี่ประโยค จากนั้นก็ขอตัวกลับไป “พรุ่งนี้ข้าต้องเข้าเวรแต่เช้า”
จู๋เซียงได้ยินแล้วก็ไม่ได้รั้งให้นางอยู่ต่อ จึงเดินไปส่งนางที่หน้าประตู จากนั้นก็เดินกลับเข้ามาในห้อง นางยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า “ลี่ว์อวิ๋นสดใสร่าเริงมากกว่า ส่วนหงซิ่วออกจะพูดน้อยไปหน่อย แต่ทั้งสองนิสัยอ่อนโยนผ่อนตามทั้งคู่”
ตงชิงพยักหน้าเบาๆ นางอยากจะกลับห้องของตน แต่ก็ไม่อยากเหงาอยู่คนเดียว เมื่อครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายก็ตัดสินใจเล่าเรื่องที่ฮูหยินเป็นแม่สื่อของตนให้นางฟัง
จู๋เซียงได้ยินแล้วก็รู้สึกค่อนข้างประหลาดใจเป็นอย่างมาก “พี่ตงชิง ข้าพูดตามความคิดของข้า หากท่านรู้สึกไม่ถูกใจก็อย่าถือโทษโกรธข้าเลย”
ตงชิงได้ยินจู๋เซียงพูดจาฉะฉานตรงไปตรงมาเช่นนี้ จึงตั้งสติจ้องมองไปยังใบหน้าของนาง “เจ้าเป็นเหมือนน้องหญิงของข้า ข้าจะโกรธเจ้าได้อย่างไรเล่า”
จู๋เซียงยังคงไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงค่อยเอ่ยปากพูด “ข้าเองก็ได้ยินคนอื่นพูดมาบ้าง สตรีแต่งงานออกเรือนก็เพื่อหวังพึ่งสามีเลี้ยงดู หากพี่ตงชิงอยากจะแต่งงานกับคนที่หาเลี้ยงท่านได้ ข้าเองรู้สึกว่าว่านต้าเสี่ยนนั้นก็ถือว่าไม่เลวทีเดียว”
พูดเหมือนปินจวี๋เลย!
ตงชิงมองจู๋เซียงด้วยความรู้สึกที่ค่อนข้างอึ้ง อดไม่ได้ที่จะรู้สึกผิดหวังขึ้นมาเล็กน้อย
“พี่หญิงลองนึกดูดีๆ” จู๋เซียงพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงปลอบโยน “หากพูดถึงข้าแทน เวลาที่อยู่บ้านนั้น วันๆ ก็ถูกแม่เลี้ยงคอยจ้องมองด้วยสายตาที่เย็นชา พลอยทำให้รู้สึกเหมือนตัวเองทำอะไรผิดอยู่ตลอดเวลา ยิ่งคิดเช่นนี้ เวลาทำอะไรก็ยิ่งรู้สึกกลัวผิดเข้าไปใหญ่ ยิ่งอยู่ยิ่งขลาดกลัว สุดท้ายผิดเยอะกว่าเก่า แม่เลี้ยงเห็นแล้วก็ขมวดคิ้วหนักกว่าเดิม ข้าก็ยิ่งกลัวไปกันใหญ่ ตอนหลังถูกส่งมาเป็นสาวใช้ในจวน ก็สังเกตเห็นว่าขอเพียงแค่ตนตั้งใจทำ ก็สามารถทำได้เร็วและดีกว่าคนรอบข้างได้ ต่อมาก็ถูกส่งไปเป็นสาวใช้ที่เรือนของฮูหยิน พี่หญิงมักจะคอยบอกสอนข้าเสมอว่าเรื่องใดควรทำหรือไม่ควรทำบ้าง ยังคอยทำเสื้อผ้าให้ข้า สอนข้าทำรองเท้าถุงเท้า ให้ข้าได้สวมใส่เสื้อผ้าที่สะอาดกลับบ้าน รองเท้าถุงเท้าที่ทำให้ท่านพ่อของข้าก็พอเหมาะพอดี เวลาที่ท่านพ่อเห็นข้าแล้วมีความสุขก็เพิ่มมากขึ้น ความกล้าและความมั่นใจของข้าก็เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ไม่ว่าเรื่องอะไรข้าก็เริ่มกล้าที่จะออกความคิดเห็น จากนั้นก็ย้ายตามฮูหยินแต่งเข้าจวนแห่งนี้ ให้ข้าได้ดูแลรับผิดชอบเรื่องมากมาย ข้าเองก็ระมัดระวังเป็นอย่างมาก แต่ก็ไม่มีข้อผิดพลาดใหญ่โตอะไร ข้ากล้าพูดจาเสียงดังขึ้น คนเราเวลาอยู่ตรงไหนก็ต้องทำตัวอย่างนั้น ตอนนี้ว่านต้าเสี่ยนเองก็ได้เป็นบ่าวรับใช้ของห้องบัญชีแล้ว เขาเป็นคนที่ฉลาดและรักที่จะเรียนรู้ หากวันใดได้เลื่อนขั้นขึ้นมาเป็นผู้ดูแล ทุกอย่างก็จะไม่เหมือนเดิมอย่างแน่นอน พ่อบ้าน ป้ารับใช้และสาวใช้ใหญ่ที่พอมีหน้ามีตาในจวนนี้ มีใครบ้างที่สามารถเดินมาถึงจุดนี้ได้โดยที่ไม่ต้องค่อยๆ ไต่เต้าทีละก้าวกัน”
ตงชิงก้มหน้าครุ่นคิด
จู๋เซียงเห็นท่าทางของนางแล้วก็ไม่ได้รบกวนนาง ปล่อยให้นางดื่มชาเงียบๆ จนหมดถ้วย จากนั้นก็ได้ให้สาวใช้น้อยไปต้มน้ำเพื่อที่จะเตรียมตัวอาบน้ำ
สาวใช้น้อยแสดงสีหน้าที่กระอักกระอ่วนใจ
“เกิดเรื่องอันใดขึ้นหรือ” จู๋เซียงมักปฏิบัติต่อผู้อื่นด้วยความอ่อนโยนเสมอ
สาวใช้น้อยพูดขึ้นพึมพำว่า “เมื่อครู่นี้ท่านบอกว่าจะดื่มชา พวกข้าก็เลยไปขอน้ำร้อนที่โรงครัวเล็ก จึงเห็นว่าซิ่วหยวนเฝ้าที่นั่นอยู่ เห็นว่าคืนนี้ท่านโหวค้างที่เรือนของเฉียวอี๋เหนียง เกรงว่าคงจะใช้น้ำร้อนตลอดเวลา ก็เลยให้พวกข้ารอก่อน”
โรงครัวของสืออีเหนียง สืออีเหนียงก็ใช้อยู่ ส่วนโรงครัวเล็กของเรือนทิศตะวันออก ก็เป็นเหล่าบรรดาอี๋เหนียง สาวใช้และป้ารับใช้ใช้ร่วมกัน จู๋เซียงได้ยินแล้วก็ยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า “เจ้าลองไปดู หากมีก็ตักมา หากว่าไม่มีเดี๋ยวค่อยว่ากันใหม่”
สาวใช้น้อยขานรับแล้วออกไป
ตงชิงที่อยู่ในเรือนก็ได้ยินด้วย อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วขึ้นมาด้วยความแปลกใจ “ซิ่วหยวนคนนี้ กำเริบเสิบสานเกินไปแล้ว”
จู๋เซียงไม่คิดเช่นนั้น “เจตนาเดิมของนักปราชญ์ไม่ได้อยู่ที่สุรา นางคงจะพยายามคิดหาวิธีที่จะให้คนอื่นไปนินทาให้ฮูหยินฟัง! ยิ่งพวกเราร้อนรน พวกนางก็จะยิ่งได้ใจเข้าไปใหญ่ แต่หากเราไม่ไปให้ความสนใจ พวกนางก็จะยอมแพ้ไปในที่สุด”
“มีแต่จะทำให้คนอื่นเกลียดชังก็เท่านั้น” ตงชิงรู้สึกว่าคำพูดของจู๋เซียงนั้นค่อนข้างมีเหตุผล
จู๋เซียงกลับยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า “ทำมากกว่า ก็จะผิดพลาดมากกว่า กลัวก็แต่ว่านางจะไม่ทำ”
ตงชิงรู้สึกไม่ค่อยเข้าใจเท่าไรนัก สีหน้าของนางเต็มไปด้วยความงุนงง อยากจะถามจู๋เซียงให้ละเอียด แต่จู๋เซียงกลับเปลี่ยนเรื่องไปคุยอย่างอื่นแทน “พี่ตงชิง ท่านไม่อยากที่จะตงลกแต่งงานกับว่านต้าเสี่ยน แล้วท่านมีทางเลือกที่ดีกว่านี้แล้วหรือยังเจ้าคะ”