หนานกงมั่วคล้ายจะยิ้มทว่าไม่ยิ้มมองไปยังผู้ว่าการโยวโจว วาจานี้ดูคล้ายจะเกรงใจ ทว่าความหมายโดยนัยกลับไม่มีความเกรงใจแล้ว หากเซียวเชียนชื่อเป็นคนใจแคบ ก็คงรู้สึกไม่พอใจ เซียวเชียนชื่อทำราวกับไม่ได้ยินวาจาของผู้ว่าการโยวโจว ใบหน้าเปี่ยมด้วยรอยยิ้ม เอ่ย “ใต้เท้าฉีบอกว่ามีรายละเอียดบางอย่างอยากคุยกับพี่สะใภ้สักหน่อยขอรับ”
หนานกงมั่วยิ้มบาง เอ่ย “ใต้เท้าฉีเกรงใจแล้ว ใต้เท้าคอยดูแลปกครองเมืองโยวโจวเพื่อโอรสสวรรค์ เรื่องเล็กน้อยเพียงนี้คงไม่ประสาอันใดในสายตาของใต้เท้าฉี ไหนเลยจะมีที่ให้ผู้น้อยอย่างพวกข้ายื่นมือเข้าไปยุ่งได้”
ผู้ว่าการโยวโจวกระตุกมุมปาก เอ่ย “เอ่ยเช่นนี้คงไม่ได้ ผู้ร้ายจวิ้นจู่เป็นคนเห็น คนตายก็เป็นคนของจวิ้นจู่ คำสั่งเป็นจวิ้นจู่ที่ออก จะไม่มาหารือกับจวิ้นจู่ได้เยี่ยงไร”
หนานกงมั่วเองก็ไม่โกรธ ยิ้มอย่างใจเย็น เอ่ย “ในเมื่อใต้เท้าฉีเอ่ยเยี่ยงนี้ เช่นนั้น…เชิญเถิด”
ผู้ว่าการโยวโจวเอ่ยเสียงหยัน สะบัดแขนเสื้อแล้วเดินนำออกไปนอกจวน
สองคนด้านหลังมองสบตากัน ไหวไหล่เบาๆ เซียวเชียนชื่อเอ่ย “พี่สะใภ้ ตาเฒ่านี้วุ่นวายไม่เลิกยิ่งนัก”
หนานกงมั่วยิ้มบาง เอ่ย “ไม่ต้องกังวล”
เซียวเชียนชื่อหัวเราะในลำคอ “มีพี่สะใภ้อยู่ ข้าไม่กังวลหรอกขอรับ”
ผู้ว่าการโยวโจวคิดไตร่ตรองกับการพ่ายแพ้ที่จวนเยี่ยนอ๋องในครั้งนี้ เหตุผลหลักๆ ยังเป็นเพราะเยี่ยนอ๋อง เขานึกว่าผู้สืบทอดเยี่ยนอ๋องนั้นไม่อาจทำอันใดได้ เยี่ยนอ๋องเองก็คงไม่กล้าเข้าข้างบุตรชายของตนอย่างออกหน้าออกตาได้ ทว่าลืมไปแล้วว่าเยี่ยนอ๋องทำไม่ได้ แต่เยี่ยนอ๋องสามารถหาคนที่แข็งแกร่งยิ่งกว่าผู้สืบทอดเยี่ยนอ๋องมาได้มากมาย แม้หนานกงมั่วจะเป็นสตรี แต่เมื่อไม่คำนึงถึงเพศ กลับเป็นคนที่เหมาะสมที่สุดแล้ว นางเป็นสะใภ้ขององค์หญิงฉังผิง และองค์หญิงฉังผิงเป็นน้องสาวแท้ๆ ของเยี่ยนอ๋อง ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงเว่ยซื่อจื่อหลานชายที่เยี่ยนอ๋องรักยิ่งกว่าบุตรชายของตน สถานะของหนานกงมั่วเพียงพอให้เยี่ยนอ๋องเชื่อใจ อีกทั้งไม่ทำให้คนคิดไปได้ว่าตำแหน่งของผู้สืบทอดจะสั่นคลอน แผนการของเยี่ยนอ๋องครั้งนี้ ดูแล้ววุ่นวายทว่าความจริงกลับเยี่ยมยอด
ครั้งนี้ ผู้ว่าการโยวโจวย้ายพื้นที่มาอยู่หยาเหมิน ผู้ว่าการที่เป็นเขตของตนเอง ในถิ่นของตนหากยังถูกหนานกงมั่วจูงจมูกได้ เขาก็ไม่ต้องเป็นแล้วผู้ว่าการโยวโจว
ในห้องโถงที่ว่าราชการหยาเหมิน หนานกงมั่วและเซียวเชียนชื่อนั่งสองฝั่งซ้ายขวา มองผู้ว่าการโยวโจวที่นั่งอยู่บนที่นั่งประจำตำแหน่งรอให้เขาเอ่ยปากขึ้นมาก่อน
ผู้ว่าการโยวโจวเองก็ไม่รอช้า เอ่ยขึ้นมาว่า “ในเมื่อเยี่ยนอ๋องมีคำสั่ง แน่นอนว่าข้าไม่อาจขัดคำสั่ง วันนี้ข้าจะส่งหยาอี่ห้าสิบคนไปตรวจตรานอกเมือง ทั้งสองท่านคิดเห็นเช่นไร”
ได้ยินเช่นนั้น สีหน้าของเซียวเชียนซื่อพลันทะมึนขึ้น “ใต้เท้าฉี ห้าสิบคนหรือ ท่านล้อพวกเราเล่นหรือไม่”
ผู้ว่าการโยวโจวสงบนิ่ง เอ่ยราวกับลำบากใจเป็นที่สุด “ซื่อจื่อกล่าวหนักไปแล้ว ข้าเองก็จนปัญญา ซื่อจื่อท่านเองก็รู้ แม้ข้าจะเป็นผู้ว่าการโยวโจว อย่างไรผู้ว่าการก็มิใช่งานของกองทัพ หยาอี่ในหยาเหมินก็มีเพียงไม่กี่ร้อยคน เรียกตัวออกมาห้าสิบคนอย่างกะทันหันเช่นนี้ข้าก็พยายามถึงที่สุดแล้ว”
เซียวเชียนชื่อแสยะยิ้ม เอ่ย “เอ่ยเช่นนี้ พวกเราต้องไปขอกำลังสนับสนุนจากแม่ทัพเซี่ยอย่างนั้นหรือ”
ผู้ว่าการผายมือสองข้างออกมา เอ่ย “ตามหลักแล้วแน่นอนว่าเป็นเช่นนั้น เช่นนั้นคงต้องรบกวนซื่อจื่อแล้ว”
ตาเฒ่านี่ช่างพล่ามไร้สาระ เซียวเชียนชื่อลอบด่าอยู่ในใจ แม้ว่าเขาจะมีนิสัยลังเลไม่เด็ดขาด แต่ไม่ได้หมายความว่าเขาจะโง่ ไหนเลยจะไม่รู้ว่าผู้ว่าการโยวโจวกำลังหลอกตน เอ่ยเสียงเย็น “ยามนี้แม่ทัพเซี่ยไปออกรบ เรื่องเล็กน้อยเพียงนี้ไยต้องรบกวนท่านแม่ทัพเล่า หากต้องรบกวนท่านแม่ทัพทุกเรื่อง ยังจะมีคนเบื้องล่างไปทำไม เป็นคนใช้การไม่ได้หรือ”
ผู้ว่าการโยวโจวกำลังใช้ความคิด กวาดตามองหนานกงมั่วที่นั่งอยู่อีกฝั่ง เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “แม้ว่าซื่อจื่อจะไม่คิดเล็กคิดน้อย แต่ว่าข้าก็ไม่กล้าทำให้ท่านแม่ทัพต้องขุ่นเคือง ออกคำสั่งเคลื่อนกองกำลังข้ามหน้าข้ามตาท่านแม่ทัพ เรื่องนี้…มิใช่เรื่องที่ขุนนางเช่นข้าควรทำ” เขาเข้าใจดี เซียวเชียนชื่อไม่ใช่อุปสรรคอันใด สิ่งที่วุ่นวายที่สุดคือหญิงงามที่นั่งยิ้มหวานอยู่ด้านข้าง
เงยหน้าขึ้นสบตาเข้ากับสายตาสำรวจของผู้ว่าการโยวโจว หนานกงมั่วเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเนิบนาบ “ความลำบากใจของใต้เท้าฉี พวกเราเข้าใจ และไม่กล้าทำให้ใต้เท้าต้องลำบากใจ”
ผู้ว่าการโยวโจวรู้สึกยินดีขึ้นมา ยกมือขึ้นประสาน เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เช่นนั้นคงต้องขอบคุณจวิ้นจู่ยิ่งแล้ว” ทว่าในใจยังไม่ลดความระแวดระวังลง เป็นเช่นนั้น ได้ยินหนานกงมั่วเอ่ยต่อ “ในเมื่อกองกำลังเมืองไม่อาจเคลื่อนย้ายได้ง่ายๆ หากดึงตัวหยาอี่ของหยาเหมินไปอาจมีผลกระทบต่องานของหยาเหมิน หากรบกวนแล้วก็คงไม่ดี”
ผู้ว่าการโยวโจวไม่เอ่ยวาจา เพียงจ้องมองหนานกงมั่วนิ่งเงียบ
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ มิสู้คนเหล่านี้ก็ปล่อยให้จวนเยี่ยนอ๋องจัดการเถิด หากใต้เท้าฉีไม่วางใจเสด็จลุง จะควบคุมเองก็ได้ทุกเมื่อ ท่านว่าอย่างไร” หนานกงมั่วเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม
ว่าอย่างไรหรือ หากคนตรงหน้าไม่ได้มีฐานะเป็นจวิ้นจู่ ผู้ว่าการโยวโจวก็คงด่าไปยกใหญ่แล้ว ขุนนางของราชสำนักเช่นพวกเขาต้องคอยระมัดระวังรักษาความสมดุลต่อผู้ปกครองเมืองมันง่ายหรือ หากปล่อยให้ทหารของเยี่ยนอ๋องคอยเฝ้าระวังในพื้นที่รอบๆ โยวโจว ต่อไปตำแหน่งของพวกเขาก็ยิ่งไม่มีประโยชน์ แต่ว่า เขากล้าบอกว่าไม่วางใจเยี่ยนอ๋องหรือ ต่อให้เป็นฮ่องเต้ก็ไม่กล้าเอ่ยว่าไม่วางใจผู้ปกครองเมืองคนใดอย่างโจ่งแจ้งกระมัง
“เอ่อ…เกรงว่าจะกระทบต่องานในจวนเยี่ยนอ๋อง ให้…” ผู้ว่าการโยวโจวรีบเอ่ย
หนานกงมั่วเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “จะเป็นเช่นนั้นได้เยี่ยงไร กองกำลังส่วนพระองค์ของเยี่ยนอ๋องนับพัน อย่างไรก็สะดวกกว่าหยาอี่นับร้อยในหยาเหมินของผู้ว่าการมาก ท่านว่าใช่หรือไม่”
กองกำลังส่วนพระองค์ของเยี่ยนอ๋องมีมากกว่าหนึ่งพัน กองกำลังทหารเหล็กโยวโจวมีนับแสน ล้วนเรียกได้ว่าเป็นทหารของเยี่ยนอ๋องรู้หรือไม่ หนานกงมั่วต้องการมากเพียงใดก็เรียกใช้ได้เท่านั้น แน่นอนว่ามีอำนาจสะดวกกว่าหยาอี่ของเขามากอย่างแน่นอน สายตาที่ผู้ว่าการโยวโจวมองหนานกงมั่วจมลึกมากขึ้น ลอบคิดในใจว่าซิงเฉิงจวิ้นจู่ผู้นี้คิดอยากควบคุมอำนาจของแม่ทัพเซี่ยหรือไม่ ถ้าหากใช่แล้วเป็นความต้องการของเยี่ยนอ๋องหรือความต้องการของซิงเฉิงจวิ้นจู่เองเล่า หากเป็นความคิดของเยี่ยนอ๋องแล้วเยี่ยนอ๋องคิดจะทำอันใด หากเป็นซิงเฉิงจวิ้นจู่ เช่นนั้น…เห็นได้ชัดว่าเขาประเมินสตรีผู้นี้ต่ำเกินไป ช่างเป็นสตรีที่น่ากลัว
ชั่วพริบตา ผู้ว่าการโยวโจวก็มีความคิดนับเจ็ดแปดอย่างอยู่ในหัว ยังไม่ทันได้เอ่ยปาก ก็ได้ยินหนานกงมั่วเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ในเมื่อใต้เท้าฉีไม่มีข้อโต้แย้ง เช่นนั้นก็เอาตามนี้แล้วใช่หรือไม่”
“…” ใครไม่มีข้อโต้แย้งกัน ตกลงกับผีน่ะสิ
ในห้องโถง ใบหน้าของผู้ว่าการนิ่งดุจผิวน้ำ เส้นเลือดบนขมับกลับเต้นระรัว แต่ผู้เยาว์ทั้งสองที่นั่งถัดลงไปนั้นกลับดูผ่อนคลาย ต่างมองมาที่ตนด้วยรอยยิ้ม ผู้ว่าการโยวโจวคิดว่าตนเองนั้นตกลงไปในหลุมพรางอีกรอบแล้ว
เซียวเชียนชื่อรู้สึกดีใจเป็นที่สุด มีพี่สะใภ้อยู่แม้จะมีปัญหาก็กลายเป็นไม่มีปัญหา ที่สำคัญก็คือพี่สะใภ้อารมณ์ดี เมื่อเทียบกับพี่ชายที่ร้ายกาจ…หรืออาจจะร้ายกาจมากกว่า ติดตามพี่สะใภ้นั้นมีความสุขมากกว่า
ตอนนี้มองใบหน้าบิดเบี้ยวของผู้ว่าการโยวโจว เซียวเชียนชื่อคิดว่าตนต้องใช้ความพยายามอย่างยิ่งที่จะไม่หัวเราะออกมา