เฮ่อเหลียนเวยเวยหน้าแดงด้วยฤทธิ์เหล้า ลมหายใจของนางนั้นร้อนผ่าว นางขมวดคิ้วเล็กน้อย และพึมพำถ้อยคำบางอย่างออกมา ร่างกายอันอ่อนเยาว์ของนางเปล่งประกายภายใต้แสงจันทร์ราวกับเป็นเวทมนตร์ต้องห้าม
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยดูเคร่งเครียดอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน จนดวงตาของเขาปกคลุมไปด้วยความอยากรู้ “เจ้าเพิ่งเอ่ยชื่อใครออกมาหรือ”
“ถัง…” ขนตาของเฮ่อเหลียนเวยเวยสั่นไหว พร้อมกับเอ่ยคำนั้นออกมาอย่างแผ่วเบา
แม้ว่านางจะพูดเพียงแค่นั้น แต่ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยก็ได้ยินอย่างชัดเจนว่านางพูดคำว่าอะไร
จากนั้น เขาก็จับคางของเฮ่อเหลียนเวยเวยพร้อมกับประทับริมฝีปากของตนเองลงบนริมฝีปากของหญิงสาว ก่อนจะใช้กำลังเปิดริมฝีปากของนาง แล้วสอดลิ้นของตนเองเข้าไปอย่างโกรธเคือง
“อืม..”
น้ำเสียงอู้อี้ของเฮ่อเหลียนเวยเวยยิ่งยั่วยวนอารมณ์ของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยอย่างรุนแรง
เขากดริมฝีปากเพื่อจูบนางรุนแรงขึ้น ราวกับกำลังแสดงความเป็นเจ้าของในตัวนาง
เฮ่อเหลียนเวยเวยยังคงไม่ได้สติ ขณะที่รู้สึกว่าบางสิ่งที่กำลังสอดเข้ามาในปากของนางนั้นไม่ได้น่ารังเกียจอย่างที่นางคิด เมื่อสัมผัสถึงความนุ่มนวลและหอมหวานราวกับขนมโมจิ นางก็อ้าปากของตนเองให้กว้างขึ้น ทำให้ลิ้นของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยสอดเข้าไปได้ลึกขึ้น นิ้วมือของเขาเคลื่อนไปประคองหลังศีรษะของนางให้กระชับแต่ไม่ได้แน่นไปจนทำให้เจ็บปวด ในขณะที่มืออีกข้างของเขาก็วุ่นอยู่กับการลูบไล้ร่างกายทุกส่วนของหญิงสาวเท่าที่เขาสามารถเอื้อมถึง
เฮ่อเหลียนเวยเวยเริ่มทรุดตัวลงจากแรงกด จนกระทั่ง นางเอนตัวไปพิงแขนของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเต็มตัว ร่างกายของนางอ่อนไหวและดูไร้เรี่ยวแรง ราวกับว่านางแช่ตัวอยู่ในน้ำอุ่นๆ จังหวะลมหายใจของนางก็เริ่มผิดปกติมากขึ้นเรื่อยๆ
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยอุ้มนางขึ้นด้วยแขนข้างหนึ่ง และวางนางลงบนตักของตนเอง ริมฝีปากของเขาอยู่ข้างๆ ใบหูของนางขณะที่เขาพูดว่า “ข้าไม่สนใจว่าในอดีต เจ้าจะสนใจใคร” มือของเขาเลื่อนขึ้นมาคลำตรงหน้าอกของหญิงสาว “แต่ในปัจจุบัน และอนาคตนั้น…”
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยประคองนางขึ้นพร้อมกับเอนตัวเข้าไปจุมพิตตรงตำแหน่งเหนือหัวใจของนางอย่างแผ่วเบา “…ที่ตรงนี้ จะต้องเป็นของข้าคนเดียวเท่านั้น”
เฮ่อเหลียนเวยเวยยังคงไม่รู้สึกตัว นางรู้สึกถึงบางสิ่งที่อ่อนนุ่มและไหลลื่นอยู่ที่บริเวณหน้าอกของตนเอง และทันใดนั้น คลื่นความรู้สึกบางอย่างก็ก่อให้เกิดความสุขและความเจ็บปวดตรงกระดูกสันหลังของนาง ทำให้นางแอ่นหลังของตนเองตามสัญชาตญาณ “อา…” ภายใต้ฤทธิ์ของเหล้า บวกกับไป๋หลี่เจียเจวี๋ยที่ลูบหน้าอกของนางอยู่ ทำให้เฮ่อเหลียนเวยเวยก็รู้สึกว่าลึกเข้าไปในร่างกายของนางนั้นเกิดความรู้สึกกระสับกระส่ายอย่างไม่อาจอธิบายได้
ริมฝีปากที่เต็มไปด้วยความต้องการนั้นสัมผัสไปทั่วร่างกายของนางอย่างแนบชิด มันกระตุ้นให้เกิดความตื่นเต้นปนความสุขไปทั่วร่างกายของนาง ความรู้สึกนั้นทำให้นางเกิดความต้องการบางอย่างที่ไม่อาจควบคุมได้ จนต้องจับและกัดริมฝีปากเอาไว้
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยรับรู้ถึงปฏิกิริยาของนางได้อย่างชัดเจน ทันใดนั้น เขาก็ลดระดับสายตาลงและกักตัวนางไว้ตรงหว่างขาของตนเอง พร้อมกับลูบไล้ตรงจุดสยิวนั้น จนทำให้นางแทบคลั่ง แม้ว่าเขาจะมีเสื้อผ้าปกปิดเอาไว้ แต่เขาก็ตั้งใจที่จะจัดการนางหลังจากนี้อยู่แล้ว
อย่างไรก็ตาม ในเวลาต่อมา เขาก็มีสีหน้าอมทุกข์และขุ่นเคือง
เฮ่อเหลียนเวยเวยนั้นพยายามป้องกันตัวเองตามสัญชาตญาณด้วยการยกเรียวขายาวของตนเองขึ้น
ท่วงท่าที่เปลี่ยนไปอย่างกะทันหันนั้น ทำให้นางชันเข่าข้างหนึ่งขึ้นไปตรงจุดที่พระอาทิตย์ยังไม่ฉายแสง ดวงตาของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเผยแววตาอาฆาตแค้นด้วยความเจ็บปวดอย่างกะทันหัน “ดี ดีมาก สมแล้วที่เป็นเหยื่อของข้า”
เฮ่อเหลียนเวยเวยขมวดคิ้วพร้อมกับบ่นพึมพำ ราวกับว่าเมื่อครู่นี้ นางไม่ใช่คนที่ยกขาขึ้นมา
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยหัวเราะอย่างเยือกเย็น ตัณหาของเขากระเจิดกระเจิงไปหมดแล้ว แต่เขากลับรู้สึกสนใจมากขึ้น
นางยังไม่ได้สติ แต่สามารถโจมตีผู้คนได้แม้แต่ตอนที่หมดสติจากอาการมึนเมา
เท่าที่เขารู้ ในจักรวรรดิจ้านหลงมีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่สามารถทำเช่นนี้ได้
ดวงตาของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยดูเคร่งขรึมขึ้น ขณะที่มองไปยังหญิงสาวที่หมุนตัวไปมา ก่อนจะเอื้อมมือออกไปดึงนางเข้ามากอด และรู้สึกพึงพอใจกับความนุ่มนวลที่เขาได้สัมผัส
เขาเริ่มครุ่นคิดว่าเขาควรจะเริ่มกดดันเงาทมิฬให้รีบสร้างกรงทองในวังหลวงให้เสร็จโดยเร็วที่สุด เพื่อที่เขาจะได้สามารถกอดสัตว์เลี้ยงของตนเองได้ทุกเมื่อที่เขาต้องการ
ใช่แล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เขาจะได้กอดนางด้วยร่างกายที่เปลือยเปล่าและไร้ซึ่งเสื้อผ้าอาภรณ์ที่น่ารำคาญใดๆ เหมือนกับตอนนี้
แต่ในขณะนั้นเอง จู่ๆ เฮ่อเหลียนเวยเวยก็ลืมตาขึ้น และเมื่อเห็นไป๋หลี่เจียเจวี๋ย นางก็คร่ำครวญด้วยเสียงต่ำ “ข้าจะอ้วก”
“เฮ่อเหลียนเวยเวย เจ้าอย่าบังอาจ” สีหน้าของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยที่ปกติแล้วจะหล่อเหลา แต่เมื่อเขาตะโกนร้องคำนั้นออกมา เสื้อผ้าของเขาก็เปื้อนอาเจียนและเหล้าเสียแล้ว
เขาตัวแข็งเกร็งไปทั้งร่าง
“หึหึ รู้สึกดีจัง” เฮ่อเหลียนเวยเวยหาวและหันศีรษะไปด้านข้างเพื่อหลับต่อ ดูเหมือนว่านางจะหลับลึกกว่าครั้งที่แล้ว
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยมองร่างของหญิงสาวจากด้านข้าง แล้วแววตาของเขาก็เผยให้เห็นถึงความเยือกเย็นที่น่ากลัวอย่างมาก จนคนที่มีสติสัมปชัญญะดีจะต้องหลีกหนีไป
เปรี้ยง!
หนานกงเลี่ยที่นั่งยองอยู่ตรงมุมห้องเพื่อดักฟังว่าด้านในเกิดอะไรขึ้นถูกเตะอย่างกะทันหัน จนเขารู้สึกหวาดกลัวแทบตาย
แต่เมื่อสบตากับใบหน้าอันหล่อเหลาของไป๋หลี่เจียเจวี๋ย เขาก็เริ่มยิ้มเยาะออกมา “เป็นเช่นไรบ้างหรือ อาเจวี๋ย เจ้ามีความสุขไหมเล่า แต่น่าแปลกที่เจ้าเสร็จธุระรวดเร็วมากทีเดียว เจ้าไม่เป็นไรใช่หรือไม่”
“หากข้าเป็นเจ้า ข้าจะหุบปากเดี๋ยวนี้” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยคำราม น้ำเสียงของเขาฟังดูอันตรายจนทำให้หนานกงเลี่ยผงะไปเล็กน้อย
แต่เขาเป็นคนที่อยากรู้อยากเห็นอยู่แล้ว จึงยอมเสี่ยงตาย แล้วถามต่อ “เป็นไปไม่ได้ เจ้าไม่เคยมีสาวๆ คนไหนมานานแล้ว แล้วทำไมเจ้าถึงออกมาเร็วนักเล่า ไม่สิ มันน่าจะมีอะไรไม่ถูกต้อง เมื่อครู่นี้ข้าได้ยินเสียงเจ้าพูดประมาณว่า ‘เฮ่อเหลียนเวยเวย อย่าบังอาจ’ แล้ว…” ดวงตาของหนานกงเลี่ยส่องเป็นประกาย และพูดต่ออย่างกระตือรือร้น “แล้วเจ้าก็ถูกนางข่มขืน มันก็เลยรวดเร็วมากเช่นนั้นหรือ”
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยมองเขาก่อนจะเตะสีข้างของอีกฝ่าย จากนั้นก็เดินตรงไปด้วยความอดทน
หลังจากที่หนานกงเลี่ยหลุดพ้นอาการมึนงงจากการที่ถูกเตะได้ เขาก็ตะโกนร้อง “นี่ๆๆ อาเจวี๋ย เจ้าถอดเสื้อผ้าออกทำไม แหวะ นั่นมันกลิ่นอะไรกัน”
หนานกงเลี่ยจ้องมองเสื้อคลุมที่คลุมศีรษะของเขาอยู่ ก่อนจะย่นคิ้วใส่กลิ่นเหล้าที่ติดอยู่บนเสื้อตัวนั้น
“นางอาเจียน” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยพูดอย่างเคร่งขรึม ขณะที่เหลือบมองหนานกงเลี่ย
หนานกงเลี่ยตัวแข็งทื่อ ก่อนจะเอื้อมมือไปหยิบเสื้อคลุมที่อยู่บนหน้าของตนเอง และเผยสีหน้าขยะแขยงออกมาราวกับว่าเขาถูกบังคับให้กลืนแมลงวันก็ไม่ปาน
อย่างไรก็ตาม…
เมื่อหนานกงเลี่ยเห็นสีหน้าไม่พอใจที่แสดงออกอย่างชัดเจนของสหายคนนี้ เขาก็เริ่มหัวเราะคิกคักเยาะเย้ย “ถ้าอย่างนั้น คือเจ้าต้องการจะลงมือ แต่นางกลับอาเจียนใส่เจ้าเช่นนั้นหรือ ฮ่าๆๆๆ ข้าจะพูดอะไรได้เล่า นางเกิดมาเพื่อปะทะกับเจ้าจริงๆ แต่เจ้ากลับไม่เชื่อ…”
เปรี้ยง!
เขาถูกเตะอีกครั้ง
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเหยียบบนหลังของหนานกงเลี่ยพร้อมกับเดินออกไป ใบหน้าของเขาปรากฏให้เห็นรอยยิ้มที่น่ากลัว “อย่างไรก็ตาม ในเมืองหลวงมีพวกระกูลถังกี่ตระกูลหรือ”
“ตระกูลถังเช่นนั้นหรือ” หนานกงเลี่ยนั่งลงบนพื้นและยกมือขึ้นมาลูบคาง ก่อนจะเอียงศีรษะอย่างครุ่นคิด จนทำให้เส้นผมสีหมึกนั้นพลิ้วไหวไปตามใบหญ้า “ข้าคิดว่าไม่มีนะ แต่…”
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยหันกลับมาและมองเขาอย่างยากจะอธิบายได้ “แต่อะไร”
“สกุลรองของเฮยเจ๋อคือถัง” หนานกงเลี่ยพูดโดยไม่เงยหน้าขึ้น ขณะที่เขาปัดใบไม้ที่ร่วงลงมา
“เช่นนั้นเองหรือ” น้ำเสียงของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยฟังดูเย็นชา