หน้าของอินซอบร้อนผ่าว เพราะคำสารภาพรักที่มาอย่างกะทันหัน พอเสียงลมหายใจของอีอูยอนกระทบใบหู เขาก็รู้สึกวาบหวามในช่องท้อง
“…นั่นไม่ใช่เรื่องที่ดีเหรอครับ”
อินซอบถามกลับอย่างยากลำบาก
[ก็ดีครับ แต่คุณจะโดนสูบกินอย่างหนักไปทั้งชีวิตเลยนะครับ เพราะต้องมาติดอยู่กับคนอย่างผม]
“เชิญสูบกินเท่าที่คุณต้องการได้เลยครับ”
อีอูยอนหัวเราะอย่างหนักอีกครั้ง ถึงจะไม่รู้ว่าอีกฝ่ายหัวเราะเพราะอะไร แต่อินซอบก็คิดว่าโชคดีแล้วที่เขามีความสามารถพอที่จะทำให้อีอูยอนหัวเราะได้ จากนั้นจู่ๆ เขาก็อยากเจออีอูยอนขึ้นมา
“เมื่อไหร่ผมถึงจะได้ไปทำงานอีกครั้งเหรอครับ”
[ไม่รู้เหมือนกันสิครับ]
ตอนที่คุยโทรศัพท์กัน อีอูยอนก็อ่อนโยนเหมือนปกติ แต่พอเขาถามว่าเมื่อไหร่เขาจะได้ออกไปอีกครั้ง อีกฝ่ายก็มักจะตอบเหมือนเป็นเรื่องของคนอื่น
“มะ…ไม่พอใจกับการขับรถของผมเหรอครับ”
[เป็นไปได้ด้วยเหรอครับ พอได้นั่งรถที่คุณอินซอบขับแล้ว ผมถึงขนาดหงุดหงิดเวลาที่ต้องนั่งรถที่คนอื่นขับเลยนะ]
“งั้นผมจะขับรถให้ครับ”
[ดูเหมือนจะได้คุยโทรศัพท์กับกรรมการผู้จัดการไปสินะครับ]
อีอูยอนพูดแบบนั้นทันทีเพราะรู้จุดประสงค์ของอินซอบ
“ครับ เพิ่งคุยกันไปเมื่อสักครู่นี้เอง ไม่ต้องมีโร้ดเมเนเจอร์ก็ได้ครับ ต้องจ่ายเงินเป็นสองเท่า แถมยังทำให้กรรมการผู้จัดการต้องมากังวลใจโดยไม่จำเป็นอีก ผมเองก็จะใส่ใจกับการขับรถให้มากขึ้นครับ”
[เรื่องนั้นผมจะจัดการเองครับ]
“แต่ว่า…”
เขารู้สึกอึดอัดใจ เพราะไม่สามารถรับรู้ความตั้งใจของอีอูยอนได้ ขณะที่เขากำลังจะถามว่าทำไมอีกฝ่ายถึงทำแบบนั้น เสียงรอสายก็ดังขึ้นขณะที่คุยโทรศัพท์
[ใครเหรอครับ กลางดึกแบบนี้]
น้ำเสียงของอีอูยอนดูโมโหขึ้นมาในทันที
“จากอเมริกาน่ะครับ ดูเหมือนว่าคุณแม่จะโทรศัพท์มาหา”
อินซอบรีบดูเบอร์โทรศัพท์ที่โทรเข้ามาก่อนจะเอ่ยตอบ พอมาคิดดูแล้ว วันนี้คือวันที่เขาต้องคุยโทรศัพท์กับพ่อแม่ เขาลืมไปเสียสนิทเลย ในตอนนั้นเองอินซอบถึงตระหนักได้ว่าตัวเองเป็นคนที่อกตัญญูขนาดไหน
[รับสิครับ]
“ถ้าผมคุยกับแม่เสร็จแล้ว ผมจะโทรศัพท์ไปหาคุณใหม่ได้หรือเปล่าครับ”
[ไม่ต้องหรอกครับ คุณรู้เหรอครับว่าจะคุยเสร็จเมื่อไหร่ เอาไว้คุยกันคืนพรุ่งนี้เถอะครับ]
“เอ่อ คือว่า…”
เขาเสียดาย ยังมีเรื่องที่เขาอยากพูดอยู่เลย และเขาก็อยากฟังเสียงของอีกฝ่ายต่ออีกนิดด้วย แต่เขาก็ทำตามคำพูดของอีอูยอน เขาไม่สามารถขอให้คนที่เพิ่งกลับมาจากการทำงานจนดึกรอสายที่ไม่รู้ว่าจะคุยเสร็จตอนไหนได้ และวันนี้ก็เป็นครั้งแรกที่อินซอบได้รู้ว่าตัวเองมีมุมที่เห็นแก่ตัวแบบนี้
“นอนหลับให้สบาย แล้วก็หลับฝันดีนะครับ”
เขาอยากบอกว่าคิดถึง แต่เพราะกลัวว่าจะสร้างความลำบากใจให้อีกฝ่ายโดยเปล่าประโยชน์จึงไม่ได้พูดออกไป
[ฝันดีครับ]
โทรศัพท์ถูกวางไปแล้ว ในขณะเดียวกันเสียงรอสายก็ดับไปด้วย อินซอบถอนหายใจ
“…เรามันไอ้คนที่พ่อแม่ไม่สั่งสอน”
อินซอบคิดถึงคำด่าที่รุนแรงที่ใช้เรียกคนอย่างตัวเอง จากนั้นเขาก็หาเบอร์โทรศัพท์ของแม่ในประวัติการโทรและกดโทรออก
***
อินซอบหันไปมองรอบๆ ในขณะที่หยิบตั๋วออกมา โถงของโรงภาพยนตร์เต็มไปด้วยผู้คน เนื่องจากเป็นตอนเย็นของวันหยุดสุดสัปดาห์ นานมากแล้วที่เขาไม่ได้มาดูภาพยนตร์คนเดียว ยิ่งไปกว่านั้นนี่ยังเป็นภาพยนตร์ที่อีอูยอนแสดงอีกด้วย แม้เมื่อก่อนเขาจะเคยดูภาพยนตร์ที่เหมือนกันนี้มานับสิบครั้งแล้วก็ตาม…แต่เขาก็ยังเกิดความรู้สึกแปลกใหม่ขึ้นมาอยู่ดี
วันนี้เป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์แล้วที่เขาไม่ได้เจอหน้าอีอูยอน ตารางงานในช่วงนี้ของอีอูยอนเสร็จหลังเที่ยงคืนเป็นส่วนใหญ่ เขาไม่สามารถติดต่ออีกฝ่ายได้ในตอนกลางวัน และคุยโทรศัพท์กันแค่วันละหนึ่งครั้งในตอนกลางคืน เขาไม่สามารถบอกคนแบบนั้นได้ว่าจะไปหา และเขาก็ไม่สามารถชวนให้อีกฝ่ายมาหาได้ด้วยเช่นกัน
ดังนั้นวิธีที่เขานึกออกก็คือการดูภาพยนตร์ แต่ไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงรู้สึกเขินจนไม่สามารถบอกอีอูยอนได้ อีกฝ่ายจะต้องประหลาดใจมากอย่างแน่นอน
อินซอบเก็บบัตรแข็งลงในกระเป๋าอย่างดี และนั่งลงบนเก้าอี้ที่ถูกเตรียมไว้ที่โถงทางเดินเพื่อรอที่จะเข้าไปดูภาพยนตร์
“การประเมินหนังครั้งนี้ของอีอูยอนดีเลยนะ”
อินซอบหูตั้ง เพราะชื่อของอีอูยอน
“อีอูยอนนี่ไม่ใช่เล่นๆ เลย เพื่อนของฉันเคยบอกว่าไม่ค่อยชอบอีอูยอนเท่าไร แต่พอได้ดูหนังแล้วก็กลายเป็นแฟนคลับไปเลย เจ๋งมากเลยใช่ไหมล่ะ”
อินซอบอารมณ์ดี เพราะคำชมของพวกผู้หญิงที่นั่งอยู่ข้างๆ
“เป็นแฟนคลับแล้วจะทำอะไรได้ล่ะ ยังไงซะเขาก็คบกับแชยอนซอไปแล้วนี่ ได้ยินมาว่าสองคนนั้นจะแต่งงานกันด้วย”
“เฮ้ย ไม่จริงน่า อีอูยอนเพิ่งจะอายุเท่าไรเอง ต้องบ้าไปแล้วล่ะถึงจะแต่งงาน อนาคตของทั้งสองคนนั้นยังอีกยาวไกลเลยนะ”
“อย่าไปพูดเรื่องนี้ที่ไหนนะ นี่เป็นเรื่องที่น้องที่สนิทกันของลูกพี่ลูกน้องของพี่ที่เพื่อนของฉันรู้จักเล่าให้ฟังน่ะ…”
ผู้หญิงที่สวมเสื้อสีขาวลดเสียงให้เบาลง และกระซิบกระซาบกับเพื่อน
“เขาบอกว่าแชยอนซอท้องได้สามเดือนแล้ว แล้วพวกเขาก็ไปเลือกชุดที่ร้านขายชุดย่านชองดัมแล้วด้วย”
“…!”
อินซอบเกือบจะลุกพรวดและตะโกนว่าไม่ใช่แล้ว
“โอ้ เยี่ยมเลย ไม่น่าล่ะ นี่ถึงเป็นครั้งแรกที่อีอูยอนยอมรับหลังจากที่มีข่าวลือว่าคบกัน”
น้องที่สนิทกันของพี่ที่เพื่อนรู้จักงั้นเหรอ อินซอบรู้สึกเวียนหัวอยู่กลางสถานที่เกิดเหตุของการสร้างข่าวลือ เขาอยากจะบอกว่านั่นไม่ใช่ความจริง แต่เพราะเขาไม่สามารถผลีผลามแทรกเข้าไปได้ เขาถึงรู้สึกอึดอัดใจขึ้นเป็นเท่าตัว
“โรงภาพยนตร์ที่สองเริ่มเข้าได้แล้วค่ะ”
สิ้นเสียงตะโกนของพนักงานโรงภาพยนตร์ คนก็เริ่มกรูกันไปยืนต่อแถว ผู้หญิงทั้งสองคนที่เคยอยู่ข้างๆ เขาเดินเข้าไปด้านในของโรงฉายภาพยนตร์ทันที อินซอบถือกาแฟและเดินอย่างหมดแรงไปยืนต่อแถว
พอเข้ามาด้านในโรงฉาย บัตรชมภาพยนตร์ก็ขายหมดไปจนถึงแถวหน้าสุด ดูเหมือนว่าข่าวที่พูดกันปากต่อปากว่าคะแนนในการฉายภาพยนตร์ดีขึ้นเรื่อยๆ จะเป็นเรื่องจริง ด้วยเหตุนั้นเขาถึงอารมณ์ดีขึ้นเล็กน้อย อินซอบหาที่นั่งตัวที่สามจากปลายแถวและนั่งลง ผ่านไปไม่นานไฟก็ดับลง แม้จะเคยดูในรอบปฐมทัศน์สำหรับสื่อไปแล้ว แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกถึงความรู้สึกอย่างที่ควรจะเป็นของโรงภาพยนตร์
ภาพยนตร์เริ่มฉายหลังจากที่โฆษณาจบ เสียงของอีอูยอนดังไปทั่วโรงภาพยนตร์มืดๆ เขาลืมแม้กระทั่งการดื่มกาแฟที่ถือเข้ามา และจดจ่ออยู่กับภาพยนตร์ ภาพยนตร์จบลงโดยที่เขาไม่รู้ตัวเลยว่าเวลากว่าสองชั่วโมงผ่านไปได้อย่างไร
“…”
อินซอบสูดหายใจลึกๆ
นี่เป็นภาพยนตร์ที่ดี บทของภาพยนตร์นั้นยอดเยี่ยม และการแสดงก็มีความรู้สึก เหนือสิ่งอื่นใดตือเขาชอบท่าทางของอีอูยอนที่ขยับอยู่ในจอภาพ ต่อให้ดูอีกกี่ครั้ง ภาพยนตร์เรื่องนี้ก็ยังคงเป็นภาพยนตร์ที่ดี เขาตั้งใจไว้ว่าอีกเดี๋ยวเขาต้องแอบอีอูยอนมาดูอีกครั้งให้ได้
เครดิตตอนท้ายของภาพยนตร์เลื่อนขึ้นมาพร้อมกับไฟในโรงฉายที่สว่างขึ้น คนเริ่มลุกขึ้นทีละคนสองคน แต่ประตูด้านหน้าของโรงภาพยนตร์กลับถูกเปิดพร้อมกับพนักงานของโรงภาพยนตร์ที่เดินเข้ามา
“อีกเดี๋ยวจะมีเซอร์ไพรส์ทักทายบนเวทีจากนักแสดงและผู้กำกับค่ะ ขอความกรุณาท่านผู้ชมทุกท่านไม่ลุกออกจากที่ และช่วยรอด้วยนะคะ”
รอบตัวของเขาเริ่มวุ่นวาย อินซอบกลั้นหายใจดังเฮือก การเซอร์ไพรส์ทักทายบนเวทีเป็นแฟนเซอร์วิสที่มักจะมีอยู่บ่อยๆ และมักจะทำเพื่อให้จำนวนผู้ชมถึงจำนวนที่ตั้งเป้าไว้ หรือเพื่อให้นักแสดงได้ออกมาโฆษณาภาพยนตร์ อินซอบมึนงงเป็นอย่างมากกับการทักทายบนเวทีที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน เพราะอีอูยอนไม่ใช่คนประเภทที่จะทำถึงขนาดนั้น ดูเหมือนว่าคำพูดของกรรมการผู้จัดการคิมที่บอกว่าช่วงนี้อีอูยอนตั้งใจทำงานอย่างหนักจะเป็นเรื่องจริง
“…ทำยังไงดี”
เขาไม่อยากโดนจับได้ว่ามาดูภาพยนตร์ของอีอูยอนคนเดียว พอเขากำลังจะออกไป พนักงานที่ดูแลรับผิดชอบงานก็กำลังเดินเข้ามาพอดี และมันก็คงจะไม่เหมาะสมนัก อินซอบกดหมวกลงต่ำและฝังตัวเข้ากับเก้าอี้อย่างไม่สามารถทำอะไรได้
พวกนักแสดงเริ่มทยอยเดินขึ้นมาทีละคนสองคน ผู้ชมส่งเสียงกรีดร้องและตื่นเต้น ทันทีที่อีอูยอนเดินขึ้นมาเป็นคนสุดท้าย เสียงกรีดร้องก็ดังถึงขีดสุด บรรดาผู้ชมที่นั่งอยู่หยิบโทรศัพท์มือถือออกมากันทุกคน และเริ่มถ่ายรูปกับวิดีโอ
“สวัสดีครับ ผมยูแทฮยอนผู้กำกับภาพยนตร์เรื่อง ‘คนรัก’ ครับ ฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะครับ”
พอผู้กำกับแนะนำตัวเสร็จ ทุกคนก็ปรบมือ เขาส่งไมค์ให้อีอูยอนที่ยืนอยู่ข้างๆ
“สวัสดีครับ”
เพียงแค่อีกฝ่ายกล่าวทักทาย เสียงกรีดร้องที่ดังอย่างมากก็ระเบิดออกมาแล้ว พวกผู้หญิงกรีดร้องพร้อมกับถ่ายรูป
อินซอบมองอีอูยอนอย่างเหม่อลอย นี่เป็นการเจอกันในรอบหนึ่งสัปดาห์ พวกเขาเคยไม่เจอกันนานกว่านี้ด้วยสถานการณ์ของแต่ละคน แต่เขากลับดีใจและใจสั่นอย่างน่าประหลาด ทุกครั้งที่กะพริบตา ความรู้สึกที่มีต่ออีกฝ่ายก็ตีตื้นขึ้นมาเหมือนจะทะลัก
นี่เราคงชอบคนคนนั้นมากจริงๆ สินะ
เขาตระหนักได้ถึงความจริงที่แน่นอนอยู่แล้วโดยบังเอิญ
“ผมอีอูยอนรับบทควอนฮยองจูในเรื่อง ‘คนรัก’ ครับ”
“พี่ค้า! หล่อมากเลยค่า!”
ทุกคนระเบิดเสียงหัวเราะออกมาเพราะเสียงกรีดร้องของนักเรียนหญิงที่ดังออกมาจากตรงมุมห้อง
“ขอบคุณที่ชมนะครับ”
อีอูยอนตอบพลางยิ้มอย่างอ่อนโยนตามมารยาท จากนั้นไมค์ก็ถูกส่งต่อไปให้นักแสดงคนอื่นตามลำดับ อินซอบนั่งอยู่ตรงมุม และมองอีอูยอนที่ยืนอยู่บนเวทีอย่างเหม่อลอย เขารู้สึกถึงสถานะของอีกฝ่ายอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน
“ดูเหมือนคุณผู้กำกับมีเรื่องที่จะพูดถึงผลงานชิ้นนี้เยอะเลยนะคะ รบกวนพูดอะไรสักหน่อยค่ะ”
ไมค์ถูกส่งไปให้ผู้กำกับ
“ก่อนอื่นเลยผมต้องขอขอบคุณคุณนักแสดงอีอูยอนที่แค่เห็นบทก็เชื่อมั่นในตัวผม และเลือกผลงานชิ้นนี้จากใจเลยครับ ภรรยาของผมเธอสั่งว่าต่อไปนี้ทุกวันขึ้นปีใหม่ และเทศกาลชูซอกให้ผมทำความเคารพไปที่ทิศที่คุณอีอูยอนอยู่ด้วยล่ะครับ”
ทุกคนหัวเราะให้กับคอมเมนต์ของผู้กำกับ อินซอบทอดสายตามองอีอูยอนนิ่งๆ
“ผมคิดว่าที่ผลงานชิ้นนี้สามารถออกสู่สายตาของทุกคนได้ ไม่เพียงแต่เป็นเพราะความพยายามของคุณอีอูยอนเท่านั้น แต่ยังเป็นเพราะนักแสดงและผู้ผลิตทุกคนด้วยครับ ผมขอบคุณเพื่อนๆ ทุกคนที่ช่วยบอกกันปากต่อปากนะครับ”
เสียงตบมือดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง อีอูยอนรับไมค์มาอีกครั้ง
“ผมรู้สึกเป็นเกียรติมากครับที่ได้ร่วมงานกับนักแสดงและผู้กำกับที่ดี ภาพยนตร์เรื่องนี้ดูครั้งที่สอง ที่สามจะยิ่งรู้สึกว่าสนุกกว่าครั้งแรกเยอะเลยครับ เพราะฉะนั้นผมหวังว่าพวกคุณจะมาดูกันอีกนะครับ”
พออีอูยอนพูดจบ นักเรียนหญิงคนเมื่อกี้ก็ส่งเสียงกรีดร้องอีกครั้ง
“พี่คะ! ห้ามแต่งงานนะคะ! ช่วยอยู่เป็นโสดไปตลอดชีวิตด้วยค่า!”
การพูดแบบนี้เป็นเพราะรับรู้ถึงข่าวลือเรื่องที่อีอูยอนคบกับแชยอนซอ อีอูยอนที่กำลังจะยื่นไมค์ไปด้านข้างหยุดชะงัก และเบนสายตากลับไปที่นักเรียนหญิงคนนั้น อินซอบเผลอกลั้นหายใจโดยไม่รู้ตัว เพราะสายตาของอีกฝ่ายทิ่มแทงเหมือนปลายหอก
“ไม่ครับ”
อีอูยอนตอบด้วยใบหน้าเรียบเฉย เสียงหัวเราะที่ดังอยู่ในโรงฉายภาพยนตร์แห้งเหือดลงเพราะการพูดที่สั้นกระชับด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ แม้แต่นักเรียนหญิงที่กรีดร้องอย่างแซวเล่นเองก็หน้าเจื่อนไปด้วยความมึนงง
“พวกแฟนคลับที่พูดแบบนี้ชอบทิ้งผมไปมีแฟนก่อนทุกทีเลยนี่ครับ”
อีอูยอนทำตายิ้มอย่างอ่อนโยนก่อนจะพูดต่อ แล้วโรงภาพยนตร์ก็เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะอีกครั้ง ไมค์ถูกส่งต่อไปแล้ว อีอูยอนยังคงทำหน้ายิ้มแย้มอยู่ ทุกคนคิดว่านี่เป็นการล้อเล่น แต่ชเวอินซอบกลับจ้องมองอีอูยอนอย่างตั้งใจด้วยความรู้สึกหวาดหวั่น
อารมณ์ไม่ดีเหรอ
แม้คนอื่นจะไม่รู้ แต่อินซอบรู้ดีว่าอีอูยอนกำลังอารมณ์ไม่ดี แม้ตาจะยิ้ม แต่แววตาไม่ได้ยิ้มไปด้วย นี่เป็นเรื่องที่ไม่ค่อยมีให้เห็นเท่าไร ไม่ค่อยมีเรื่องที่อีกฝ่ายจะแสดงอารมณ์ของตัวเองออกมาขนาดนี้ในขณะที่ทำงาน
อินซอบมองอีอูยอนด้วยสายตาเป็นกังวล พอนักแสดงคนอื่นๆ ทักทายเสร็จ ผู้กำกับและนักแสดงก็ออกไปจากโรงฉายภาพยนตร์ อินซอบรีบลุกขึ้น
“เจ๋งอะ อีอูยอนนี่หล่อจริงๆ ทำไมเสียงของเขาถึงเท่ขนาดนั้นนะ”
“แชยอนซอนี่ดีจัง เธอได้ลองกอดไหล่กว้างๆ นั่นด้วยไม่ใช่เหรอ แสดงก็เก่ง นิสัยก็ดี ถ้าได้แต่งงานกับคนแบบนั้นจะดีแค่ไหนกันนะ”
คำพูดถึงอีอูยอนปลิวว่อนไปทั่ว แต่ตอนนี้ไม่มีอะไรเข้าหูอินซอบเลยแม้แต่อย่างเดียว
“ขอโทษครับ ขอผมผ่านไปหน่อยนะครับ ขอโทษครับ”
อินซอบแหวกฝูงชนและวิ่งไปข้างหน้า เขาคำนวณระยะทางคร่าวๆ ที่อีอูยอนจะเดินไปจนถึงลานจอดรถได้ เพราะเขาเคยมางานเปิดตัวรอบปฐมทัศน์ที่โรงภาพยนตร์นี้มาก่อน แต่ปัญหาก็คือผู้ชมไม่สามารถใช้ลิฟต์ตัวที่อีอูยอนใช้ได้ เพราะเป็นลิฟต์ฉุกเฉิน
ลิฟต์ที่อยู่ตรงโถงแออัดไปด้วยคนที่จะลงไปชั้นล่างหลังจากที่ภาพยนตร์จบ อินซอบครุ่นคิดก่อนจะเปลี่ยนทิศทางเดินไปทางบันไดหนีไฟ เขาวิ่งลงบันไดไป เขาเป็นห่วงอีอูยอน นี่เป็นครั้งแรกเลยที่เขาเห็นอีกฝ่ายทำหน้าแบบนั้น เขาอยากเจอหน้าอีกฝ่ายแค่ครู่เดียว ครู่เดียวจริงๆ จากนั้นก็ถามว่า คุณโอเคไหม เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือเปล่า เขาคิดแค่นั้นจริงๆ