ใต้หน้ากากซูเปอร์สตาร์ – ภาค 2 เล่ม 2 ตอนที่ 3-13

ภาค 2 เล่ม 2 ตอนที่ 3-13

หน้าของอินซอบร้อนผ่าว เพราะคำสารภาพรักที่มาอย่างกะทันหัน พอเสียงลมหายใจของอีอูยอนกระทบใบหู เขาก็รู้สึกวาบหวามในช่องท้อง

“…นั่นไม่ใช่เรื่องที่ดีเหรอครับ”

อินซอบถามกลับอย่างยากลำบาก

[ก็ดีครับ แต่คุณจะโดนสูบกินอย่างหนักไปทั้งชีวิตเลยนะครับ เพราะต้องมาติดอยู่กับคนอย่างผม]

“เชิญสูบกินเท่าที่คุณต้องการได้เลยครับ”

อีอูยอนหัวเราะอย่างหนักอีกครั้ง ถึงจะไม่รู้ว่าอีกฝ่ายหัวเราะเพราะอะไร แต่อินซอบก็คิดว่าโชคดีแล้วที่เขามีความสามารถพอที่จะทำให้อีอูยอนหัวเราะได้ จากนั้นจู่ๆ เขาก็อยากเจออีอูยอนขึ้นมา

“เมื่อไหร่ผมถึงจะได้ไปทำงานอีกครั้งเหรอครับ”

[ไม่รู้เหมือนกันสิครับ]

ตอนที่คุยโทรศัพท์กัน อีอูยอนก็อ่อนโยนเหมือนปกติ แต่พอเขาถามว่าเมื่อไหร่เขาจะได้ออกไปอีกครั้ง อีกฝ่ายก็มักจะตอบเหมือนเป็นเรื่องของคนอื่น

“มะ…ไม่พอใจกับการขับรถของผมเหรอครับ”

[เป็นไปได้ด้วยเหรอครับ พอได้นั่งรถที่คุณอินซอบขับแล้ว ผมถึงขนาดหงุดหงิดเวลาที่ต้องนั่งรถที่คนอื่นขับเลยนะ]

“งั้นผมจะขับรถให้ครับ”

[ดูเหมือนจะได้คุยโทรศัพท์กับกรรมการผู้จัดการไปสินะครับ]

อีอูยอนพูดแบบนั้นทันทีเพราะรู้จุดประสงค์ของอินซอบ

“ครับ เพิ่งคุยกันไปเมื่อสักครู่นี้เอง ไม่ต้องมีโร้ดเมเนเจอร์ก็ได้ครับ ต้องจ่ายเงินเป็นสองเท่า แถมยังทำให้กรรมการผู้จัดการต้องมากังวลใจโดยไม่จำเป็นอีก ผมเองก็จะใส่ใจกับการขับรถให้มากขึ้นครับ”

[เรื่องนั้นผมจะจัดการเองครับ]

“แต่ว่า…”

เขารู้สึกอึดอัดใจ เพราะไม่สามารถรับรู้ความตั้งใจของอีอูยอนได้ ขณะที่เขากำลังจะถามว่าทำไมอีกฝ่ายถึงทำแบบนั้น เสียงรอสายก็ดังขึ้นขณะที่คุยโทรศัพท์

[ใครเหรอครับ กลางดึกแบบนี้]

น้ำเสียงของอีอูยอนดูโมโหขึ้นมาในทันที

“จากอเมริกาน่ะครับ ดูเหมือนว่าคุณแม่จะโทรศัพท์มาหา”

อินซอบรีบดูเบอร์โทรศัพท์ที่โทรเข้ามาก่อนจะเอ่ยตอบ พอมาคิดดูแล้ว วันนี้คือวันที่เขาต้องคุยโทรศัพท์กับพ่อแม่ เขาลืมไปเสียสนิทเลย ในตอนนั้นเองอินซอบถึงตระหนักได้ว่าตัวเองเป็นคนที่อกตัญญูขนาดไหน

[รับสิครับ]

“ถ้าผมคุยกับแม่เสร็จแล้ว ผมจะโทรศัพท์ไปหาคุณใหม่ได้หรือเปล่าครับ”

[ไม่ต้องหรอกครับ คุณรู้เหรอครับว่าจะคุยเสร็จเมื่อไหร่ เอาไว้คุยกันคืนพรุ่งนี้เถอะครับ]

“เอ่อ คือว่า…”

เขาเสียดาย ยังมีเรื่องที่เขาอยากพูดอยู่เลย และเขาก็อยากฟังเสียงของอีกฝ่ายต่ออีกนิดด้วย แต่เขาก็ทำตามคำพูดของอีอูยอน เขาไม่สามารถขอให้คนที่เพิ่งกลับมาจากการทำงานจนดึกรอสายที่ไม่รู้ว่าจะคุยเสร็จตอนไหนได้ และวันนี้ก็เป็นครั้งแรกที่อินซอบได้รู้ว่าตัวเองมีมุมที่เห็นแก่ตัวแบบนี้

“นอนหลับให้สบาย แล้วก็หลับฝันดีนะครับ”

เขาอยากบอกว่าคิดถึง แต่เพราะกลัวว่าจะสร้างความลำบากใจให้อีกฝ่ายโดยเปล่าประโยชน์จึงไม่ได้พูดออกไป

[ฝันดีครับ]

โทรศัพท์ถูกวางไปแล้ว ในขณะเดียวกันเสียงรอสายก็ดับไปด้วย อินซอบถอนหายใจ

“…เรามันไอ้คนที่พ่อแม่ไม่สั่งสอน”

อินซอบคิดถึงคำด่าที่รุนแรงที่ใช้เรียกคนอย่างตัวเอง จากนั้นเขาก็หาเบอร์โทรศัพท์ของแม่ในประวัติการโทรและกดโทรออก

***

อินซอบหันไปมองรอบๆ ในขณะที่หยิบตั๋วออกมา โถงของโรงภาพยนตร์เต็มไปด้วยผู้คน เนื่องจากเป็นตอนเย็นของวันหยุดสุดสัปดาห์ นานมากแล้วที่เขาไม่ได้มาดูภาพยนตร์คนเดียว ยิ่งไปกว่านั้นนี่ยังเป็นภาพยนตร์ที่อีอูยอนแสดงอีกด้วย แม้เมื่อก่อนเขาจะเคยดูภาพยนตร์ที่เหมือนกันนี้มานับสิบครั้งแล้วก็ตาม…แต่เขาก็ยังเกิดความรู้สึกแปลกใหม่ขึ้นมาอยู่ดี

วันนี้เป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์แล้วที่เขาไม่ได้เจอหน้าอีอูยอน ตารางงานในช่วงนี้ของอีอูยอนเสร็จหลังเที่ยงคืนเป็นส่วนใหญ่ เขาไม่สามารถติดต่ออีกฝ่ายได้ในตอนกลางวัน และคุยโทรศัพท์กันแค่วันละหนึ่งครั้งในตอนกลางคืน เขาไม่สามารถบอกคนแบบนั้นได้ว่าจะไปหา และเขาก็ไม่สามารถชวนให้อีกฝ่ายมาหาได้ด้วยเช่นกัน

ดังนั้นวิธีที่เขานึกออกก็คือการดูภาพยนตร์ แต่ไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงรู้สึกเขินจนไม่สามารถบอกอีอูยอนได้ อีกฝ่ายจะต้องประหลาดใจมากอย่างแน่นอน

อินซอบเก็บบัตรแข็งลงในกระเป๋าอย่างดี และนั่งลงบนเก้าอี้ที่ถูกเตรียมไว้ที่โถงทางเดินเพื่อรอที่จะเข้าไปดูภาพยนตร์

“การประเมินหนังครั้งนี้ของอีอูยอนดีเลยนะ”

อินซอบหูตั้ง เพราะชื่อของอีอูยอน

“อีอูยอนนี่ไม่ใช่เล่นๆ เลย เพื่อนของฉันเคยบอกว่าไม่ค่อยชอบอีอูยอนเท่าไร แต่พอได้ดูหนังแล้วก็กลายเป็นแฟนคลับไปเลย เจ๋งมากเลยใช่ไหมล่ะ”

อินซอบอารมณ์ดี เพราะคำชมของพวกผู้หญิงที่นั่งอยู่ข้างๆ

“เป็นแฟนคลับแล้วจะทำอะไรได้ล่ะ ยังไงซะเขาก็คบกับแชยอนซอไปแล้วนี่ ได้ยินมาว่าสองคนนั้นจะแต่งงานกันด้วย”

“เฮ้ย ไม่จริงน่า อีอูยอนเพิ่งจะอายุเท่าไรเอง ต้องบ้าไปแล้วล่ะถึงจะแต่งงาน อนาคตของทั้งสองคนนั้นยังอีกยาวไกลเลยนะ”

“อย่าไปพูดเรื่องนี้ที่ไหนนะ นี่เป็นเรื่องที่น้องที่สนิทกันของลูกพี่ลูกน้องของพี่ที่เพื่อนของฉันรู้จักเล่าให้ฟังน่ะ…”

ผู้หญิงที่สวมเสื้อสีขาวลดเสียงให้เบาลง และกระซิบกระซาบกับเพื่อน

“เขาบอกว่าแชยอนซอท้องได้สามเดือนแล้ว แล้วพวกเขาก็ไปเลือกชุดที่ร้านขายชุดย่านชองดัมแล้วด้วย”

“…!”

อินซอบเกือบจะลุกพรวดและตะโกนว่าไม่ใช่แล้ว

“โอ้ เยี่ยมเลย ไม่น่าล่ะ นี่ถึงเป็นครั้งแรกที่อีอูยอนยอมรับหลังจากที่มีข่าวลือว่าคบกัน”

น้องที่สนิทกันของพี่ที่เพื่อนรู้จักงั้นเหรอ อินซอบรู้สึกเวียนหัวอยู่กลางสถานที่เกิดเหตุของการสร้างข่าวลือ เขาอยากจะบอกว่านั่นไม่ใช่ความจริง แต่เพราะเขาไม่สามารถผลีผลามแทรกเข้าไปได้ เขาถึงรู้สึกอึดอัดใจขึ้นเป็นเท่าตัว

“โรงภาพยนตร์ที่สองเริ่มเข้าได้แล้วค่ะ”

สิ้นเสียงตะโกนของพนักงานโรงภาพยนตร์ คนก็เริ่มกรูกันไปยืนต่อแถว ผู้หญิงทั้งสองคนที่เคยอยู่ข้างๆ เขาเดินเข้าไปด้านในของโรงฉายภาพยนตร์ทันที อินซอบถือกาแฟและเดินอย่างหมดแรงไปยืนต่อแถว

พอเข้ามาด้านในโรงฉาย บัตรชมภาพยนตร์ก็ขายหมดไปจนถึงแถวหน้าสุด ดูเหมือนว่าข่าวที่พูดกันปากต่อปากว่าคะแนนในการฉายภาพยนตร์ดีขึ้นเรื่อยๆ จะเป็นเรื่องจริง ด้วยเหตุนั้นเขาถึงอารมณ์ดีขึ้นเล็กน้อย อินซอบหาที่นั่งตัวที่สามจากปลายแถวและนั่งลง ผ่านไปไม่นานไฟก็ดับลง แม้จะเคยดูในรอบปฐมทัศน์สำหรับสื่อไปแล้ว แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกถึงความรู้สึกอย่างที่ควรจะเป็นของโรงภาพยนตร์

ภาพยนตร์เริ่มฉายหลังจากที่โฆษณาจบ เสียงของอีอูยอนดังไปทั่วโรงภาพยนตร์มืดๆ เขาลืมแม้กระทั่งการดื่มกาแฟที่ถือเข้ามา และจดจ่ออยู่กับภาพยนตร์ ภาพยนตร์จบลงโดยที่เขาไม่รู้ตัวเลยว่าเวลากว่าสองชั่วโมงผ่านไปได้อย่างไร

“…”

อินซอบสูดหายใจลึกๆ

นี่เป็นภาพยนตร์ที่ดี บทของภาพยนตร์นั้นยอดเยี่ยม และการแสดงก็มีความรู้สึก เหนือสิ่งอื่นใดตือเขาชอบท่าทางของอีอูยอนที่ขยับอยู่ในจอภาพ ต่อให้ดูอีกกี่ครั้ง ภาพยนตร์เรื่องนี้ก็ยังคงเป็นภาพยนตร์ที่ดี เขาตั้งใจไว้ว่าอีกเดี๋ยวเขาต้องแอบอีอูยอนมาดูอีกครั้งให้ได้

เครดิตตอนท้ายของภาพยนตร์เลื่อนขึ้นมาพร้อมกับไฟในโรงฉายที่สว่างขึ้น คนเริ่มลุกขึ้นทีละคนสองคน แต่ประตูด้านหน้าของโรงภาพยนตร์กลับถูกเปิดพร้อมกับพนักงานของโรงภาพยนตร์ที่เดินเข้ามา

“อีกเดี๋ยวจะมีเซอร์ไพรส์ทักทายบนเวทีจากนักแสดงและผู้กำกับค่ะ ขอความกรุณาท่านผู้ชมทุกท่านไม่ลุกออกจากที่ และช่วยรอด้วยนะคะ”

รอบตัวของเขาเริ่มวุ่นวาย อินซอบกลั้นหายใจดังเฮือก การเซอร์ไพรส์ทักทายบนเวทีเป็นแฟนเซอร์วิสที่มักจะมีอยู่บ่อยๆ และมักจะทำเพื่อให้จำนวนผู้ชมถึงจำนวนที่ตั้งเป้าไว้ หรือเพื่อให้นักแสดงได้ออกมาโฆษณาภาพยนตร์ อินซอบมึนงงเป็นอย่างมากกับการทักทายบนเวทีที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน เพราะอีอูยอนไม่ใช่คนประเภทที่จะทำถึงขนาดนั้น ดูเหมือนว่าคำพูดของกรรมการผู้จัดการคิมที่บอกว่าช่วงนี้อีอูยอนตั้งใจทำงานอย่างหนักจะเป็นเรื่องจริง

“…ทำยังไงดี”

เขาไม่อยากโดนจับได้ว่ามาดูภาพยนตร์ของอีอูยอนคนเดียว พอเขากำลังจะออกไป พนักงานที่ดูแลรับผิดชอบงานก็กำลังเดินเข้ามาพอดี และมันก็คงจะไม่เหมาะสมนัก อินซอบกดหมวกลงต่ำและฝังตัวเข้ากับเก้าอี้อย่างไม่สามารถทำอะไรได้

พวกนักแสดงเริ่มทยอยเดินขึ้นมาทีละคนสองคน ผู้ชมส่งเสียงกรีดร้องและตื่นเต้น ทันทีที่อีอูยอนเดินขึ้นมาเป็นคนสุดท้าย เสียงกรีดร้องก็ดังถึงขีดสุด บรรดาผู้ชมที่นั่งอยู่หยิบโทรศัพท์มือถือออกมากันทุกคน และเริ่มถ่ายรูปกับวิดีโอ

“สวัสดีครับ ผมยูแทฮยอนผู้กำกับภาพยนตร์เรื่อง ‘คนรัก’ ครับ ฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะครับ”

พอผู้กำกับแนะนำตัวเสร็จ ทุกคนก็ปรบมือ เขาส่งไมค์ให้อีอูยอนที่ยืนอยู่ข้างๆ

“สวัสดีครับ”

เพียงแค่อีกฝ่ายกล่าวทักทาย เสียงกรีดร้องที่ดังอย่างมากก็ระเบิดออกมาแล้ว พวกผู้หญิงกรีดร้องพร้อมกับถ่ายรูป

อินซอบมองอีอูยอนอย่างเหม่อลอย นี่เป็นการเจอกันในรอบหนึ่งสัปดาห์ พวกเขาเคยไม่เจอกันนานกว่านี้ด้วยสถานการณ์ของแต่ละคน แต่เขากลับดีใจและใจสั่นอย่างน่าประหลาด ทุกครั้งที่กะพริบตา ความรู้สึกที่มีต่ออีกฝ่ายก็ตีตื้นขึ้นมาเหมือนจะทะลัก

นี่เราคงชอบคนคนนั้นมากจริงๆ สินะ

เขาตระหนักได้ถึงความจริงที่แน่นอนอยู่แล้วโดยบังเอิญ

“ผมอีอูยอนรับบทควอนฮยองจูในเรื่อง ‘คนรัก’ ครับ”

“พี่ค้า! หล่อมากเลยค่า!”

ทุกคนระเบิดเสียงหัวเราะออกมาเพราะเสียงกรีดร้องของนักเรียนหญิงที่ดังออกมาจากตรงมุมห้อง

“ขอบคุณที่ชมนะครับ”

อีอูยอนตอบพลางยิ้มอย่างอ่อนโยนตามมารยาท จากนั้นไมค์ก็ถูกส่งต่อไปให้นักแสดงคนอื่นตามลำดับ อินซอบนั่งอยู่ตรงมุม และมองอีอูยอนที่ยืนอยู่บนเวทีอย่างเหม่อลอย เขารู้สึกถึงสถานะของอีกฝ่ายอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน

“ดูเหมือนคุณผู้กำกับมีเรื่องที่จะพูดถึงผลงานชิ้นนี้เยอะเลยนะคะ รบกวนพูดอะไรสักหน่อยค่ะ”

ไมค์ถูกส่งไปให้ผู้กำกับ

“ก่อนอื่นเลยผมต้องขอขอบคุณคุณนักแสดงอีอูยอนที่แค่เห็นบทก็เชื่อมั่นในตัวผม และเลือกผลงานชิ้นนี้จากใจเลยครับ ภรรยาของผมเธอสั่งว่าต่อไปนี้ทุกวันขึ้นปีใหม่ และเทศกาลชูซอกให้ผมทำความเคารพไปที่ทิศที่คุณอีอูยอนอยู่ด้วยล่ะครับ”

ทุกคนหัวเราะให้กับคอมเมนต์ของผู้กำกับ อินซอบทอดสายตามองอีอูยอนนิ่งๆ

“ผมคิดว่าที่ผลงานชิ้นนี้สามารถออกสู่สายตาของทุกคนได้ ไม่เพียงแต่เป็นเพราะความพยายามของคุณอีอูยอนเท่านั้น แต่ยังเป็นเพราะนักแสดงและผู้ผลิตทุกคนด้วยครับ ผมขอบคุณเพื่อนๆ ทุกคนที่ช่วยบอกกันปากต่อปากนะครับ”

เสียงตบมือดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง อีอูยอนรับไมค์มาอีกครั้ง

“ผมรู้สึกเป็นเกียรติมากครับที่ได้ร่วมงานกับนักแสดงและผู้กำกับที่ดี ภาพยนตร์เรื่องนี้ดูครั้งที่สอง ที่สามจะยิ่งรู้สึกว่าสนุกกว่าครั้งแรกเยอะเลยครับ เพราะฉะนั้นผมหวังว่าพวกคุณจะมาดูกันอีกนะครับ”

พออีอูยอนพูดจบ นักเรียนหญิงคนเมื่อกี้ก็ส่งเสียงกรีดร้องอีกครั้ง

“พี่คะ! ห้ามแต่งงานนะคะ! ช่วยอยู่เป็นโสดไปตลอดชีวิตด้วยค่า!”

การพูดแบบนี้เป็นเพราะรับรู้ถึงข่าวลือเรื่องที่อีอูยอนคบกับแชยอนซอ อีอูยอนที่กำลังจะยื่นไมค์ไปด้านข้างหยุดชะงัก และเบนสายตากลับไปที่นักเรียนหญิงคนนั้น อินซอบเผลอกลั้นหายใจโดยไม่รู้ตัว เพราะสายตาของอีกฝ่ายทิ่มแทงเหมือนปลายหอก

“ไม่ครับ”

อีอูยอนตอบด้วยใบหน้าเรียบเฉย เสียงหัวเราะที่ดังอยู่ในโรงฉายภาพยนตร์แห้งเหือดลงเพราะการพูดที่สั้นกระชับด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ แม้แต่นักเรียนหญิงที่กรีดร้องอย่างแซวเล่นเองก็หน้าเจื่อนไปด้วยความมึนงง

“พวกแฟนคลับที่พูดแบบนี้ชอบทิ้งผมไปมีแฟนก่อนทุกทีเลยนี่ครับ”

อีอูยอนทำตายิ้มอย่างอ่อนโยนก่อนจะพูดต่อ แล้วโรงภาพยนตร์ก็เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะอีกครั้ง ไมค์ถูกส่งต่อไปแล้ว อีอูยอนยังคงทำหน้ายิ้มแย้มอยู่ ทุกคนคิดว่านี่เป็นการล้อเล่น แต่ชเวอินซอบกลับจ้องมองอีอูยอนอย่างตั้งใจด้วยความรู้สึกหวาดหวั่น

อารมณ์ไม่ดีเหรอ

แม้คนอื่นจะไม่รู้ แต่อินซอบรู้ดีว่าอีอูยอนกำลังอารมณ์ไม่ดี แม้ตาจะยิ้ม แต่แววตาไม่ได้ยิ้มไปด้วย นี่เป็นเรื่องที่ไม่ค่อยมีให้เห็นเท่าไร ไม่ค่อยมีเรื่องที่อีกฝ่ายจะแสดงอารมณ์ของตัวเองออกมาขนาดนี้ในขณะที่ทำงาน

อินซอบมองอีอูยอนด้วยสายตาเป็นกังวล พอนักแสดงคนอื่นๆ ทักทายเสร็จ ผู้กำกับและนักแสดงก็ออกไปจากโรงฉายภาพยนตร์  อินซอบรีบลุกขึ้น

“เจ๋งอะ อีอูยอนนี่หล่อจริงๆ ทำไมเสียงของเขาถึงเท่ขนาดนั้นนะ”

“แชยอนซอนี่ดีจัง เธอได้ลองกอดไหล่กว้างๆ นั่นด้วยไม่ใช่เหรอ แสดงก็เก่ง นิสัยก็ดี ถ้าได้แต่งงานกับคนแบบนั้นจะดีแค่ไหนกันนะ”

คำพูดถึงอีอูยอนปลิวว่อนไปทั่ว แต่ตอนนี้ไม่มีอะไรเข้าหูอินซอบเลยแม้แต่อย่างเดียว

“ขอโทษครับ ขอผมผ่านไปหน่อยนะครับ ขอโทษครับ”

อินซอบแหวกฝูงชนและวิ่งไปข้างหน้า เขาคำนวณระยะทางคร่าวๆ ที่อีอูยอนจะเดินไปจนถึงลานจอดรถได้ เพราะเขาเคยมางานเปิดตัวรอบปฐมทัศน์ที่โรงภาพยนตร์นี้มาก่อน  แต่ปัญหาก็คือผู้ชมไม่สามารถใช้ลิฟต์ตัวที่อีอูยอนใช้ได้ เพราะเป็นลิฟต์ฉุกเฉิน

ลิฟต์ที่อยู่ตรงโถงแออัดไปด้วยคนที่จะลงไปชั้นล่างหลังจากที่ภาพยนตร์จบ อินซอบครุ่นคิดก่อนจะเปลี่ยนทิศทางเดินไปทางบันไดหนีไฟ เขาวิ่งลงบันไดไป เขาเป็นห่วงอีอูยอน นี่เป็นครั้งแรกเลยที่เขาเห็นอีกฝ่ายทำหน้าแบบนั้น เขาอยากเจอหน้าอีกฝ่ายแค่ครู่เดียว ครู่เดียวจริงๆ จากนั้นก็ถามว่า คุณโอเคไหม เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือเปล่า เขาคิดแค่นั้นจริงๆ

ใต้หน้ากากซูเปอร์สตาร์

ใต้หน้ากากซูเปอร์สตาร์

Status: Ongoing

นิยายวายแปลเกาหลี ดารา x ผู้จัดการ วงการบันเทิง นายเอกใสซื่อ พระเอกเจ้าเล่ห์ และ “คลั่ง” รักหนักมาก

ข้อเสียเพียงหนึ่งเดียวของ ‘อีอูยอน’ นักแสดงที่ได้ชื่อว่าเป็นสุภาพบุรุษผู้แสนดี และไม่เคยมีแอนตี้แฟน คือการเปลี่ยนผู้จัดการส่วนตัวบ่อย

หลังจากเปลี่ยนผู้จัดการไปแล้ว 5 คนในปีเดียว ‘ชเวอินซอบ’ แฟนคลับของอีอูยอนก็ได้เข้ามาเป็นผู้จัดการส่วนตัวคนใหม่ และสามารถปรับตัวเข้าได้กับทุกรสนิยมที่จู้จี้จุกจิกของอีอูยอนได้อย่างไร้ที่ติ

ทว่าสำหรับอีอูยอนแล้ว ผู้จัดการส่วนตัวแบบนั้นน่าสงสัยเป็นที่สุด

เขารู้สึกสนใจในการกระทำของอีกฝ่าย ในขณะเดียวกันความรู้สึกบางอย่างก็เริ่มก่อตัวขึ้นโดยไม่รู้ตัว

ทว่าในตอนที่เขารู้สึกดีกับอินซอบมากขึ้นเรื่อยๆ อีกฝ่ายก็ (ลอบ) แทงข้างหลัง (เบาๆ) และพยายามจะหนีไป

“ถ้าผมปล่อยคุณอินซอบไป แล้วผมจะอยู่ยังไงล่ะครับ”

TW : Coercion / Dubious Consent / Dirty talk / Toxic relationship / Violence / Rape

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท