หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา A World Worth Protecting – ตอนที่ 708

ตอนที่ 708

บทที่ 708 การมาครั้งยิ่งใหญ่!
ดวงจันทร์อาจเล็กเมื่อเทียบกับดาวศุกร์ แต่ก็ยังถือเป็นตัวตนหนึ่งในจักรวาล เมื่อดวงจันทร์เคลื่อนผ่าน คลื่นพลังก็พวยพุ่งไปรอบบริเวณส่งผลให้ผืนอวกาศดูบิดเบี้ยว

เหล่าผู้ฝึกตนทั้งในและนอกดาวศุกร์ต่างตื่นตกใจกับการมาถึงของดวงจันทร์

สิ่งที่ทำให้ภาพตรงหน้าน่าตื่นตะลึงขึ้นไปอีกคือยักษ์หน้าตาดุร้ายขนาดมหึมาที่อยู่ด้านหน้าดวงจันทร์ ยักษ์ตนนั้นสวมชุดเกราะ ผิวหนังเต็มไปด้วยผนึก รอบตัวปกคลุมไปด้วยรัศมีแห่งความตาย โซ่ตรวนขนาดใหญ่ล่ามยักษ์เอาไว้กับดวงจันทร์ เขากำลังฉุดลากดวงจันทร์ไปข้างหน้าพร้อมคำรามก้อง!

ภาพที่เห็นนั้นดูไม่น่าเชื่อและน่าหวั่นเกรงเป็นอย่างยิ่ง และยิ่งขับดันให้การมาถึงของดวงจันทร์ดูทรงพลังขึ้นไปอีก ทุกสายตาจับจ้องไปยังร่างๆ หนึ่งที่ยืนอยู่บนบ่าของราชาแห่งเผ่าพันธุ์อมตะราตรี เขาผู้นั้นก็คือหวังเป่าเล่อนั่นเอง!

ชุดคลุมและเส้นผมพัดปลิวไสว โครงหน้าหล่อเหลา หุ่นผอมเพรียว และดวงตาเย็นชาส่งให้เขาดูแปลกไม่คุ้นตา นอกจากนี้ยังเปล่งพลังทรงอำนาจ ทำให้ผู้อื่นไม่กล้าเข้ามาลองดี!

แม้ราชาเผ่าพันธุ์อมตะราตรีจะตัวใหญ่ยักษ์เพียงใดแต่ก็เป็นเพียงมดปลวกเมื่อมาอยู่ต่อหน้าดาวเคราะห์ หวังเป่าเล่อไม่สามารถใช้คาถาขยายขนาดราชาเผ่าพันธุ์อมตะราตรีได้ แต่ก็สามารถสร้างภาพมายาของราชาเผ่าพันธุ์อมตะราตรีได้!

และ…ก็ได้ผลดีทีเดียว เหล่าผู้ฝึกตนสำนักวังเต๋าไพศาลและตระกูลไม่รู้สิ้นต่างตื่นกลัวเมื่อได้เห็นร่างใหญ่ยักษ์ของราชาเผ่าพันธุ์อมตะราตรี พวกเขาเป็นเหมือนมดปลวกที่เข้าเผชิญหน้ายักษ์ใหญ่ แรงกดดันมหาศาลจากราชาเผ่าพันธุ์อมตะราตรีทำให้พวกเขากลัวจนขนหัวลุก!

ผู้ฝึกตนมีอายุบางคนจากสำนักวังเต๋าไพศาลจำชายผู้นี้ได้ พวกเขาร้องขึ้นด้วยความตื่นตกใจ “เฉินโม่เฟิง!”

ขณะที่เหล่าผู้ฝึกตนสำนักวังเต๋าไพศาลกำลังตื่นตกใจกันอยู่ คลื่นพลังวิญญาณจากดวงจันทร์ที่พุ่งเข้ามาก็พัดกระจายไปทั่ว วังวนนับสิบพลันปรากฏขึ้นพร้อมกองทัพสำนักวังเต๋าไพศาลชุดใหม่ พวกเขาพุ่งตรงไปหาดวงจันทร์ หมายจะหยุดยั้งมันเอาไว้

เรือบินรบเหล่านี้ซ่อนตัวจากสนามรบเป็นเวลานาน เป้าหมายของกองเรือบินรบนี้คือคอยซุ่มโจมตีกองกำลังเสริมของสหพันธรัฐและซ่อนพลังที่แท้จริงของสำนักวังเต๋าไพศาลไว้ไม่ให้ศัตรูรู้ เมื่อถึงเวลา กองเรือบินรบก็จะเผยตัวตนและเข้าร่วมกับกองทัพเพื่อกำจัดดาวศุกร์ด้วยชุดการโจมตีอันแข็งแกร่ง

กองกำลังที่ซ่อนตัวจากสนามรบอยู่นานมีจำนวนไม่น้อยทีเดียว คลื่นพลังวิญญาณพัดกระจายไปทั่วจักรวาล พริบตาเดียว วังวนนับสิบก็ปรากฏขึ้นอีก ทำให้ในตอนนี้มีวังวนเกินร้อยหมุนวนอยู่ทั่วห้วงอวกาศ กองเรือบินรบสำนักวังเต๋าไพศาลพุ่งออกมาจากวังวน พวกมันเข้าไปล้อมดวงจันทร์ แสงคาถามากมายระเบิดขึ้นเปลี่ยนทั่วบริเวณให้กลายเป็นทะเลแสง ดวงจันทร์และราชาเผ่าพันธุ์อมตะราตรีถูกแสงถาโถมใส่ในทันใด

หากเป็นดาวเคราะห์อื่นของสหพันธรัฐที่เข้ามาเสริมทัพ มันก็อาจทนการดักซุ่มโจมตีนี้ได้ แต่คงเลี่ยงความเสียหายที่เกิดจากการปะทะไม่ได้ ทำได้ดีที่สุดแค่ช่วยแบ่งกำลังพลของสำนักวังเต๋าไพศาลออกมาและลดแรงกดดันที่ดาวศุกร์กำลังแบกรับ แต่ไม่สามารถช่วยดาวศุกร์ได้อย่างเต็มที่

ทว่าที่มาเสริมทัพคือปราการดวงจันทร์ที่มีราชาเผ่าพันธุ์อมตะราตรีอยู่ใต้บัญชา การโจมตีเหล่านี้ไม่สามารถทำอะไรปราการนี้ได้ หวังเป่าเล่อหรี่ตามองทะเลแสงที่ปกคลุมทั่วพื้นที่ จากนั้นก็ยกมือขวาขึ้นชี้นิ้ว

เสียงคำรามดังขึ้นจากราชาเผ่าพันธุ์อมตะราตรี ฟังดูคล้ายเสียงกรีดร้องของพายุ ร่างมหึมาของเขาพุ่งผ่านทะเลแสง ลากดวงจันทร์ผ่านตรงไปหาทัพศัตรู ไม่สนใจเรือบินรบที่เข้าขวางทาง!

กองเรือบินรบคืออาวุธสุดแข็งแกร่งที่ไม่ควรเข้าไปลองดี แต่คู่ต่อสู้ที่ต้องเผชิญหน้าคือราชาเผ่าพันธุ์อมตะราตรีและดวงจันทร์ พวกเขาจึงดูอ่อนแอเมื่อต้องประมือกับคู่ต่อสู้ดังกล่าว ทะเลแสงอาจจะแข็งแกร่ง แต่ก็ไม่เพียงพอที่จะต้านดวงจันทร์ไว้ได้!

กองเรือบินรบไม่สามารถหลบได้ทันจึงปะทะเข้ากับคลื่นพลังงานจากดวงจันทร์และกระเด็นออกไป จากนั้นก็ถูกดวงจันทร์ที่เคลื่อนผ่านบดขยี้!

เสียงปะทะดังก้องเมื่อเหล่าเรือบินรบถูกบดขยี้ ตามมาด้วยเสียงกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดทรมาน ผู้ฝึกตนหลายคนพยายามหลบหนีออกจากเรือบินรบ แต่ก็ทำได้แค่มองคลื่นพลังพุ่งเข้ามาหาตนเองอย่างสิ้นหวัง ดวงจันทร์ขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ในสายตา ก่อนจะบดขยี้พวกเขาและช่วงชิงลมหายใจไป!

ผู้ฝึกตนสำนักวังเต๋าไพศาลถูกสังหารหมู่ เสียงคำรามของราชาเผ่าพันธุ์อมตะราตรีดังก้องห้วงอวกาศขณะกำลังฉุดลากดวงจันทร์ ตัวตนมหึมาทั้งสองพุ่งผ่านทัพศัตรูเข้าไปใจกลางสนามรบ!

เรือบินรบสำนักวังเต๋าไพศาลมากมายระเบิดเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยเมื่อราชาเผ่าพันธุ์อมตะราตรีพุ่งผ่าน ดวงตาของหวังเป่าเล่อฉายแสงเย็นเยียบขึ้นขณะที่เอ่ยออกคำสั่งให้ผู้ฝึกตนทุกคนบนปราการดวงจันทร์เปิดใช้งานวัตถุเวทที่มี ดวงจันทร์ฉายไปด้วยแสงสีแดงในทันที วัตถุเวททุกชิ้นบนดวงจันทร์ถูกเปิดใช้งาน ลำแสงจ้านับไม่ถ้วนยิงพุ่งแหวกอากาศจากทุกองศาของปราการดวงจันทร์

ลำแสงสีแดงแต่ละเส้นอาจไม่แข็งแกร่งนัก แต่…เมื่อมารวมกันก็มีจำนวนเกินแสนๆ เส้น คลื่นพลังวิญญาณพัดกระจายไปทั่วจักรวาล ลำแสงนับสิบยิงพุ่งผ่านอากาศชุดแล้วชุดเล่าไม่มีหยุดพัก!

ลำแสงสีแดงนับล้านเส้นสาดซัดทั่วสนามรบ เรือบินรบสำนักวังเต๋าไพศาลทุกลำในระยะโดนลำแสงสีแดงนับร้อยถล่ม ผู้ฝึกตนสำนักวังเต๋าไพศาลที่พุ่งออกจากเรือบินรบก็ไม่สามารถหลบได้พ้น เสียงเรือบินรบระเบิดและเสียงกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดของเหล่าผู้ฝึกตนดังก้องไปทั่วพื้นที่ เหมือนดังบทเพลงแห่งความทรมานที่ไม่มีวันจบสิ้น!

หวังเป่าเล่อบีบทำลายเมล็ดดอกบัวเรื่อยๆ เพื่อควบคุมราชาเผ่าพันธุ์อมตะราตรีที่กำลังอ้าแขนกวัดแกว่งไปทั่วจักรวาล พายุพุ่งแหวกอากาศทำลายทุกสิ่งที่ขวางทางทุกครั้งที่แขนพาดผ่าน หวังเป่าเล่อพุ่งเข้าไปหาผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณจากตระกูลไม่รู้สิ้นทั้งห้าที่ร่างมายาของเฟิ่งชิวหรันกำลังต่อกรด้วยอยู่ เขาไม่ได้โลภมาก จึงเลือกจัดการแค่สามคนที่อยู่ใกล้สุดเท่านั้น

ร่างอวตารเดินแยกออกจากร่างชายหนุ่ม มันไม่ได้พุ่งเข้าไปโจมตี แต่ยังคงเกาะอยู่บนไหล่ของราชาเผ่าพันธุ์อมตะราตรี!

การมาของหวังเป่าเล่อเป็นดังฝันร้ายสำหรับเหล่าผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณจากตระกูลไม่รู้สิ้น พวกเขาทราบเรื่องเหตุการณ์การต่อสู้ครั้งก่อน รวมถึงกระบวนเวทประหลาดที่ชายหนุ่มปลดปล่อยจากดวงตาปีศาจที่ลอยอยู่ด้านหลัง ซึ่งเป็นสาเหตุการตายของผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณนับสิบ

ทันทีที่หวังเป่าเล่อปรากฏตัว เหล่าผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณก็ถอยห่างออกไป

“ผู้อาวุโสชิวหรัน!” ชายหนุ่มร้องขึ้นเมื่อเห็นศัตรูกำลังจะหลบหนี ดวงตาปีศาจปรากฏขึ้นด้านหลังพร้อมลืมตาตื่นทันที!

เฟิ่งชิวหรันและหวังเป่าเล่อเคยร่วมศึกด้วยกันหลายหน เฟิ่งชิวหรันคุมร่างมายาให้เข้าไปขวางทางเหล่าผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณที่กำลังจะหนี นางพร้อมเสี่ยงทุกอย่างไม่ให้พวกเขาหนีไปได้ สิ่งที่รอคอยพวกเขาอยู่…คือฝันร้ายที่ไม่เคยพบพานมาก่อน!

เสียงกัมปนาทดังก้องจักรวาล พลังประหลาดพวยพุ่งออกมาจากดวงตาปีศาจสีดำที่ลืมตาตื่น หวังเป่าเล่อเข้าจู่โจมอย่างไม่ลังเลใจและสังหารผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณคนหนึ่งได้ทันที เฟิ่งชิวหรันใช้โอกาสนี้ร่วมมือกับหวังเป่าเล่อฆ่าผู้ฝึกตนอีกคนและฝากบาดแผลไว้กับคนที่สาม!

โชคดีของผู้ฝึกตนคนที่สามที่สามารถเอาชีวิตรอดไปได้ เขาคือผู้ฝึกตนเพียงคนเดียวที่รอดชีวิตจากการต่อสู้กับหวังเป่าเล่อครั้งก่อน ความกลัวที่ฝังรากลึกสั่งให้เขารีบหนีไปทันทีที่เห็นชายหนุ่มเข้าสู่สนามรบ ชายผู้นี้จึงสามารถรักษาชีวิตของตนเองเอาไว้ได้

พริบตาเดียวที่หวังเป่าเล่อมาถึง สนามรบดาวศุกร์ก็ตกอยู่ในความโกลาหลจากแสงสีแดงนับล้านที่พวยพุ่งออกมาจากปราการดวงจันทร์ และเสียงร้องคำรามอันน่าสะพรึงกลัวของราชาเผ่าพันธุ์อมตะราตรี!

ผู้ฝึกตนของสหพันธรัฐทุกคนตื่นตะลึงไปเมื่อได้เห็นเหตุการณ์ตรงหน้า บางคนไม่สามารถเก็บงำความตื่นเต้นเอาไว้ได้จึงร้องออกมาเสียงดัง “หวังเป่าเล่อนี่! ราชาเผ่าพันธุ์อมตะราตรีก็มาด้วย!”

สหพันธรัฐนั้นคุ้นเคยกับชื่อราชาเผ่าพันธุ์อมตะราตรีมากกว่า ‘เฉินโม่เฟิง’ คนทั่วไปในสหพันธรัฐอาจไม่ค่อยรู้เรื่องราชาเผ่าพันธุ์อมตะราตรี แต่ผู้ฝึกตนทุกคนในสหพันธรัฐล้วนต้องเคยได้ยินตำนานของราชาเผ่าพันธุ์อมตะราตรีมาก่อน!

และตอนนี้…พวกเขาก็ได้พบร่างที่แท้จริงของราชาเผ่าพันธุ์อมตะราตรีซึ่งตื่นจากการหลับใหล อีกทั้งยังได้เห็นพลังที่แท้จริงของหวังเป่าเล่อ ทั้งสองทำให้ผู้ฝึกตนจากสหพันธรัฐตื่นตกใจเป็นอย่างมาก แม้แต่หลี่ซิงเหวินและต้วนมู่ฉีก็ยังตกตะลึงไปด้วย เมี่ยเลี่ยจื่อก็ถึงกับตัวสั่นเทิ้มไปครู่หนึ่ง การปรากฏกายของราชาเผ่าพันธุ์อมตะราตรีได้ปลุกบางอย่างภายในให้ตื่นขึ้นมา ความทรงจำมากมายโหมเข้าใส่หัว ดวงตาของเขาเปล่งแสงสลัว ราวกับว่ากำลังต่อสู้กับตนเองอยู่

เขามุ่งหน้าไปยังแนวป้องกันที่สามได้ช้าลง การปรากฏตัวของราชาเผ่าพันธุ์อมตะราตรีทำให้เมี่ยเลี่ยจื่อสูญเสียความเร็วก่อนหน้านี้ไป หลี่ซิงเหวินและกลุ่มของเขาจึงเข้าไปขวางไว้ก่อนที่เมี่ยเลี่ยจื่อจะถึงแนวป้องกันที่สาม

แน่นอนว่าตอนนี้…ทุกคนต่างจับจ้องไปที่ราชาเผ่าพันธุ์อมตะราตรีกับดวงจันทร์ รวมถึงการโจมตีของหวังเป่าเล่อ ไม่มีใครสังเกตเห็นหลี่อู๋เฉินที่อยู่ในกลุ่มช่วยเหลือว่าเขาดูสับสนเมื่อได้เห็นราชาเผ่าพันธุ์อมตะราตรี

นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่หลี่อู๋เฉินได้เห็นราชาเผ่าพันธุ์อมตะราตรี แต่เป็นครั้งแรกที่ภาพแปลกประหลาดฉายขึ้นในหัวเมื่อได้พบราชาเผ่าพันธุ์อมตะราตรี เขาไม่รู้ว่ามันเกิดจากอะไร สัมผัสได้เพียงความรู้สึกที่แสนคุ้นเคยอย่างแปลกประหลาดขณะมองราชาเผ่าพันธุ์อมตะราตรี

ยังไม่ทันที่หลี่อู๋เฉินจะได้ตรวจสอบภาพที่ปรากฏขึ้นในหัวและสัมผัสอันแสนคุ้นเคยที่รู้สึก เสียงแค่นจมูกไร้อารมณ์ก็ดังก้องไปในอวกาศ ราวกับเสียงของทวยเทพลงมายังสนามรบก็ไม่ปาน แสงสีดำปรากฏขึ้นก่อนจะพุ่งแหวกอากาศผ่านสนามรบตรงไปหาหวังเป่าเล่อ!

แสงนั้นรวดเร็วมาก เหมือนดังลูกธนูพุ่งแหวกอากาศสร้างคลื่นพลังวิญญาณพัดกระจายไปทั่วบริเวณ คลื่นพลังวิญญาณพัดกระจายไปไกล สูบเอาพลังของผู้ฝึกตนที่โชคร้ายถูกพุ่งเข้าปะทะ ก่อนที่ร่างและวิญญาณจะดับสิ้นไป!

หวังเป่าเล่อหรี่ตามอง เขาสลับที่กับร่างอวตารโดยไม่ลังเลใจทันใดที่สัมผัสได้ถึงสัญญาณอันตราย ชายหนุ่มปรากฏตัวอีกครั้งบนดวงจันทร์ นั่งขัดสมาธิอยู่บนไหล่ของราชาเผ่าพันธุ์อมตะราตรี ดอกบัวสีเขียวภายในเมล็ดดูดกลืนกวัดแกว่งรุนแรง เขาบีบทำลายเมล็ดดอกบัวอีกห้าเมล็ดเพื่อเสริมแรงคำสั่งที่ส่งผ่านไปยังราชาเผ่าพันธุ์อมตะราตรี!

ชายหนุ่มรู้ว่าตนต้องตื่นตัวและทำให้ดวงวิญญาณของราชาเผ่าพันธุ์อมตะราตรีตื่นอยู่ตลอด มิเช่นนั้นพลังที่แท้จริงของร่างนี้จะถูกดวงวิญญาณที่เกิดใหม่กดให้หลับใหลไป หวังเป่าเล่อรู้ว่าพลังที่แท้จริงของราชาเผ่าพันธุ์อมตะราตรีนั้นไม่ได้อยู่ในขั้นขั้นเชื่อมวิญญาณแต่เป็นพลังกายที่แข็งแกร่งไร้เทียมทาน!

ราชาเผ่าพันธุ์อมตะราตรีตัวสั่นเทิ้มเมื่อเมล็ดดอกบัวถูกขยี้เป็นผุยผง แสงสีแดงในตาเปล่งประกายราวกับดวงดารา เขาเงยหน้าขึ้นร้องคำราม จากนั้นก็ยกมือขวากำหมัดชกเข้าใส่แสงสีดำที่กำลังพุ่งเข้ามาหา!

หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา A World Worth Protecting

หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา A World Worth Protecting

Status: Ongoing

เรื่อง : หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา (三寸人间)ผู้เขียน : เอ่อร์เกิน (耳根) ผู้แปล : Thunderbird Translators ค.ศ. 3029 วิทยาการบนโลกมนุษย์พัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว จนแต่ละประเทศไม่มีเขตพรมแดนกั้นอีกต่อไป โลกได้ผสานรวมกลายเป็นหนึ่งเดียว เริ่มต้นยุคสมัยแห่งสหพันธรัฐ ตอนนั้นเอง กระบี่ยักษ์เล่มหนึ่งตกลงมาจากห้วงอวกาศ ปักเข้าใจกลาง ดวงอาทิตย์ ฝักกระบี่แตกออกเป็นเศษชิ้นส่วนจำนวนมาก กระจัดกระจายไปทั่ว ทั้งจักรวาลรวมถึงบนโลก และก่อให้เกิดแหล่งพลังงานรูปแบบใหม่อันไร้ขีดจำกัด พลังงานนี้มีชื่อเรียกกันว่า ปราณวิญญาณ ‘หวังเป่าเล่อ’ หนุ่มร่างท้วมผู้ทะเยอทะยาน ใฝ่ฝันจะได้เป็นผู้นำสหพันธรัฐ ด้วยหวังว่าจะไม่มีใครมารังแกเขาได้อีกต่อไป และเมื่อเดินทางเข้ามาศึกษาใน สำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ เขาก็ใช้ความรู้เหล่านั้นบวกกับความหน้าหนาหน้าทน ของตัวเอง วางกลยุทธ์อันฉลาดล้ำกำราบศัตรูคนแล้วคนเล่า ใครหน้าไหนก็ไม่อาจมาขัดขวางเส้นทางสู่การเป็นหนึ่งในใต้หล้าของชายอ้วนผู้นี้ได้ เว้นเสียแต่คำสาปประจำตระกูล ที่บอกไว้ว่าหวังเป่าเล่อจะต้องตาย หากเขาไม่ผอมลงก่อนอายุสามสิบปี ในเมื่อบรรพบุรุษร่างจ้ำม่ำมายืนรอให้เขาไปอยู่ด้วยขนาดนี้ ชายหนุ่มจึงต้องทั้งฝึกตนและลดน้ำหนักไปพร้อมๆ กัน!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท