ตอนที่ 195 ซื้อพัดลม
ฟางจั๋วหรานไปที่ห้างสรรพสินค้าเจียงเฉิงหลังเลิกงานเพื่อหาซื้อพัดลมสักตัวหนึ่ง
โต้วโต้วมีผดผื่นจากความร้อนขึ้นอยู่ทั่วใบหน้า บ้านของเธอไม่มีพัดลมสักตัว คงผ่านฤดูร้อนนี้ไปอย่างยากลำบากไม่น้อย
ทันทีที่เขาเดินออกจากห้างสรรพสินค้าเจียงเฉิงพร้อมกับหอบพัดลมไฟฟ้าไว้ในอ้อมแขน เขาก็เผอิญเจอกับแม่ของหวังหรงซึ่งมาที่ห้างสรรพสินค้าเพื่อซื้ออาหารเสริมให้กับหวังเฉียง
ลูกชายสุดที่รักของหล่อนนอนอยู่ในคุก คนเป็นแม่หรือจะไม่ลำบากใจ? เพราะกลัวว่าเขาจะอยู่ในกรงขังอย่างทุกข์ทรมาน ถึงได้มาหาซื้ออาหารบำรุงสุขภาพให้เขา
แม่ของหวังหรงยังคงโกรธเคืองฟางจั๋วหราน หล่อนรู้ดีว่าถ้าเขายอมยื่นมือเข้ามาแทรกแซงแล้วละก็ อย่างไรก็สามารถช่วยให้หวังเฉียงพ้นโทษได้ แต่เขากลับปฏิเสธที่จะให้ความช่วยเหลือ
ทว่าหล่อนทำได้แค่ระงับความคับข้องใจของตัวเองเอาไว้ ลึก ๆ แล้วหล่อนยังอยากได้เขามาเป็นลูกเขยอยู่เสมอ
แม่หวังหรงทักทายฟางจั๋วหรานด้วยรอยยิ้มเสแสร้ง “จั๋วหราน เธอคงซื้อพัดลมตัวนี้ไปให้คุณยายใช่ไหม ถ้าอย่างนั้นส่งต่อให้น้าก็ได้ เดี๋ยวน้าจะเอาไปมอบให้คุณยายเอง”
ฟางจั๋วหรานปฏิเสธด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ปีที่แล้วผมเพิ่งจะซื้อพัดลมให้คุณยายไปเอง อีกอย่างผมไม่ได้ซื้อพัดลมตัวนี้ให้ท่าน” จากนั้นเขาก็เดินเบี่ยงออกไปด้านข้าง ตั้งท่าจะจากไป
แม่หวังหรงลังเลเพียงชั่วครู่ แต่แล้วก็เดินตามหลังเขาไป “จั๋วหราน ช่วงนี้เธอไม่ค่อยแวะไปเยี่ยมเยียนคุณยายเลย คุณยายไม่ค่อยสบายเท่าไหร่”
ฟางจั๋วหรานตอบกลับโดยไม่หันหน้าไปมอง “ถ้าท่านไม่สบายก็พาท่านไปโรงพยาบาลแล้วค่อยเรียกหาผม”
แม่หวังหรงกัดฟันกรอดด้วยความโกรธ สาปแช่งเขาในใจว่าไอ้หมาป่าตาขาวเลี้ยงไม่เชื่อง
หล่อนจ้องเขม็งตามแผ่นหลังของฟางจั๋วหรานอยู่พักหนึ่ง จากนั้นก็ตัดสินใจสะกดรอยตามเขาไปเงียบ ๆ
ในห้องพักของฟางจั๋วหรานมีพัดลมไฟฟ้าอยู่แล้ว บ้านของพ่อและแม่เลี้ยงของเขาก็มีพัดลมแล้วเช่นเดียวกัน หล่อนจึงนึกอยากรู้ขึ้นมาว่าเขาซื้อพัดลมไปให้ใคร
ถึงเวลาเลิกงานแล้ว แต่ฟางจั๋วหรานก็ยังไม่มาสักที
เด็กหญิงตัวน้อยยืนเขย่งปลายเท้าคอยอยู่หน้าร้านอย่างเป็นกังวลเล็กน้อย ทันทีที่หล่อนมองเห็นฟางจั๋วหรานปรากฏตัวขึ้น ก็รีบหันหน้าเข้าร้านพร้อมตะโกนบอกหลินม่าย “แม่จ๋า คุณอามาแล้วค่ะ!”
หลินม่ายทักทายเขา แต่เมื่อเห็นเขาหอบพัดลมมาด้วยก็ถามด้วยความประหลาดใจ “คุณซื้อพัดลมมาด้วยหรือคะ? ฉันว่าจะออกไปซื้อตอนบ่าย คุณกลับซื้อตัดหน้าฉันไปซะแล้ว… ว่าแต่พัดลมตั้งโต๊ะตัวนี้ราคาเท่าไหร่คะ ต้องใช้คูปองอุตสาหกรรมไหม?”
ฟางจั๋วหรานเดินขึ้นไปยังชั้นบนพร้อมกับพัดลมในอ้อมแขน “ตอนนี้พัดลมไม่จำเป็นต้องใช้คูปองอุตสาหกรรมในการซื้อแล้ว ขอแค่มีเงินก็สามารถซื้อได้”
หลินม่ายคิดในใจ เพราะไม่ต้องใช้คูปองอุตสาหกรรม เขาถึงได้แวะซื้อพัดลมเข้ามาให้ เพื่อที่ตอนบ่ายพวกเธอจะได้ไม่ต้องทนร้อน
ฟางจั๋วหรานเห็นเธอนิ่งเงียบเหมือนกำลังใช้ความคิด ก็คาดเดาไปเองว่าเธอคงกำลังวางแผนจะจ่ายเงินคืนให้เขาอยู่ ดังนั้นจึงรีบพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ผมซื้อพัดลมตัวนี้ให้โต้วโต้วกับแฟนของผม ถ้าคุณยังคิดจะจ่ายเงินคืนผม ผมจะโกรธคุณจริง ๆ ด้วย!”
หลินม่ายยิ้ม “ก็ได้ค่ะ ฉันไม่จ่ายเงินให้คุณก็ได้”
แม่หวังหรงที่สะกดรอยตามมาทีหลังเห็นภาพบาดตาบาดใจนี้เข้าก็โกรธแทบตาย นังผู้หญิงสารเลวคนนี้ล่อลวงฟางจั๋วหรานได้สำเร็จ แต่หรงหรงกลับทำแบบเดียวกันไม่ได้!
ทั้งสามเดินไปที่ห้องนั่งเล่นขนาดย่อมชั้นบน ก่อนจะจัดการหาปลั๊กเพื่อเสียบสายไฟ
ทันใดนั้นพัดลมก็เริ่มทำงาน เมื่อลมเย็นพัดโชยมาปะทะใบหน้า โต้วโต้วพลันปรบมือด้วยความตื่นเต้น
เพื่อเป็นการขอบคุณที่เขาอุตส่าห์ซื้อพัดลมตั้งพื้นให้ ทั้งสามจึงร่วมรับประทานอาหารกันท่ามกลางบรรยากาศชื่นมื่น
ส่วนแม่หวังหรงถืออาหารเสริมของลูกชายตัวเองกลับไปที่บ้านด้วยสีหน้าดำคล้ำ
พอเห็นว่าหวังหรงกำลังนั่งเอกเขนกพักผ่อนอยู่บนโซฟาในบ้านและเปิดโทรทัศน์ดูละครไปพลาง ๆ ไม่รู้จักเข้าครัวเตรียมอาหาร หล่อนก็ระเบิดอารมณ์ออกมาทันที
“วัน ๆ แกเคยรู้จักทำตัวให้เป็นประโยชน์บ้างไหม! เก่งก็เก่งสู้ใครเขาไม่ได้ โตจนป่านนี้แล้วยังทำอาหารไม่เป็นอีก! ถึงจะทำอาหารไม่เป็นก็เถอะ อย่างน้อยก็ต้องรู้จักให้ท่าลูกพี่ลูกน้องของแกบ้าง ไม่ใช่เอาแต่นอนอยู่ที่บ้านแบบนี้ แกรู้ไหมว่าตอนนี้ลูกพี่ลูกน้องของแกถึงขั้นซื้อพัดลมไฟฟ้าให้นังแพศยาแซ่หลินนั่นแล้ว ถ้าแกยังไม่คิดจะทำอะไร คราวนี้ลูกพี่ลูกน้องของแกได้เสร็จยัยนั่นแน่!”
หวังหรงตอบกลับอย่างไม่สบอารมณ์ “พวกเขาคบกันแล้วค่ะแม่”
แม่หวังหรงตกตะลึง “ตั้งแต่เมื่อไหร่?”
หวังหรงส่ายหน้า “ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ รู้อีกทีก็ตอนที่ไปกว่างโจวเพื่อเยี่ยมพี่จั๋วหรานนั่นแหละ”
“แล้วทำไมตอนที่แกกลับมาถึงไม่รีบบอกแม่?”
หวังหรงไม่ตอบอะไร หล่อนไม่มีอารมณ์พูดถึงเรื่องอะไรทั้งนั้น โดยเฉพาะเรื่องที่ทำให้ตัวเองหัวใจสลาย…
แม่หวังหรงแค่นเสียงลอดไรฟัน “ในเมื่อแกทำอะไรไม่ได้ ก็คงต้องขอให้คุณยายออกโรงจัดการเอง”
เพื่อที่จะได้ฟางจั๋วหรานมาเป็นลูกเขย หล่อนยอมทำทุกวิถีทางเพื่อเอาชนะ
หลังกินอาหารกลางวันเสร็จ หลินม่ายก็เตรียมเงินออกไปซื้อพัดลมเพดาน
ทันทีที่ก้าวขาออกจากร้าน เธอก็เห็นชายหนุ่มคนหนึ่งดุด่าพลางผลักหญิงสาวอีกคนหนึ่งเข้ามาในร้านของเธอ
หลินม่ายรู้สึกคุ้นหน้าฝ่ายหญิงเล็กน้อย แต่ลองคิดอยู่สักพักก็จำไม่ได้ว่าเคยเจออีกฝ่ายที่ไหนกันแน่
พอหญิงสาวเห็นหลินม่าย ก็หันไปพูดกับชายหนุ่มข้างหลังด้วยน้ำเสียงกล้า ๆ กลัว ๆ “ฉันซื้อเสื้อผ้าจากเธอคนนี้แหละ”
ใบหน้าของชายหนุ่มดำมืดลงทันที เขาเดินอาด ๆ ไปหยุดอยู่ห่างจากหลินม่ายแค่ไม่กี่ก้าว โยนเสื้อเกาะอกสายเดี่ยวกับกระโปรงชั้นเดียวลงกับพื้น “คุณนี่มันไร้ยางอายจริง ๆ กล้าดียังไงถึงสนับสนุนให้ภรรยาของผมออกนอกลู่นอกทางแบบนี้! ดูเสื้อผ้าที่คุณขายให้ภรรยาของผมสิ นี่มันขัดต่อศีลธรรมชัด ๆ จะให้เธอสวมใส่มันออกไปนอกบ้านได้ยังไง?”
หลินม่ายจำได้ตอนนั้นเองว่าที่แท้หญิงสาวคนนี้ก็เคยมาซื้อเสื้อผ้าจากร้านของเธอ
เธอหยิบเสื้อผ้าสองตัวที่ถูกโยนลงพื้นขึ้นมา “คุณกล่าวหาว่าใครไร้ยางอายกันแน่? เสื้อผ้าพวกนี้มันขัดต่อศีลธรรมตรงไหนกัน? ตราบใดที่จิตใจคุณสกปรก คุณก็มองทุกอย่างเป็นสิ่งโสมมทั้งนั้นแหละ! อีกอย่าง ฉันไม่ได้คะยั้นคะยอขายมันให้ภรรยาคุณซะหน่อย หล่อนเป็นคนเลือกเองกับมือ!”
หญิงสาวรีบพูดขึ้นมาด้วยความรู้สึกผิด “ฉันขอโทษค่ะ สามีฉันเห็นพวกมันเข้าก็เอาแต่ดุด่าทุบตีฉัน ฉันถึงได้พาเขามาที่นี่เพราะทนไม่ได้”
ว่าแล้วหล่อนก็แสดงให้หลินม่ายเห็นบาดแผลตามร่างกายของตัวเอง “แผลพวกนี้เป็นฝีมือของสามีฉันทั้งนั้น”
หลินม่ายมองไปที่หญิงสาวตรงหน้าด้วยความรู้สึกหลากหลาย ทั้งเห็นอกเห็นใจ ทั้งโกรธเคือง
ทำไมคุณถึงทนอยู่กับผู้ชายคนนี้ได้โดยที่ไม่ยอมหย่ากันนะ!
เธอไม่อยากสอดมือเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับสถานการณ์ทางครอบครัวของคนอื่นมากนัก จึงหันไปถามผู้ชายคนนั้นอย่างเย็นชา “แล้วคุณตามหาฉันทำไม?”
“เอาของของคุณคืนไป!”
หลินม่ายรับเสื้อผ้าพวกนี้คืนมาโดยไม่พูดอะไรสักคำ
ท้ายที่สุดอารมณ์ของชายคนนั้นก็สงบลงบ้าง แต่ยังไม่วายดุด่าและลงไม้ลงมือกับภรรยาไปตลอดทางจนลับสายตา
ตอนแรกป้าหูนึกว่าตัวเองจะได้รับชมอะไรดี ๆ อยู่แล้วเชียว แต่พอเรื่องจบลงง่ายดายแบบนี้ หล่อนจึงผิดหวังมาก
ถึงตอนนี้ที่บ้านจะมีพัดลมตั้งพื้นตัวหนึ่งแล้ว แต่หลินม่ายก็ยังอยากได้พัดลมเพดานสามตัวอย่างที่ตั้งใจไว้ เธอจ้างวานให้ ‘ลูกหาบ’ (พนักงานยกสัมภาระ) ที่ประจำการอยู่หน้าทางเข้าห้างสรรพสินค้าช่วยขนของทั้งหมดกลับมาที่ร้าน
พอเห็นว่าเธอซื้อพัดลมเพดานถึงสามตัวในคราวเดียว โจวฉายอวิ๋นก็โน้มตัวไปกระซิบข้างหูของเธออีกครั้ง “ยังไม่ทันเก็บเงินซื้อบ้านจนครบ เธอก็ใช้เงินมือเติบซะแล้ว”
หลินม่ายยิ้มพลางตอบกลับเสียงเบา “ถ้าเสื้อผ้าล็อตใหญ่มาถึงเมื่อไหร่ เราก็มีเงินซื้อบ้านกันแล้ว อีกอย่าง พัดลมเพดานพวกนี้ราคาสามตัวรวมกันยังไม่ถึงหนึ่งร้อยหยวนด้วยซ้ำ”
พอโจวฉายอวิ๋นเห็นว่าเธอยังเห็นดีเห็นงามกับการใช้จ่ายเงิน จึงโคลงศีรษะอย่างช่วยไม่ได้
หลังจากซื้อพัดลมเพดานมาแล้ว หลินม่ายก็ออกไปจ้างวานนายช่างจางให้มาติดตั้งพัดลม
เนื่องจากเธอมีพัดลมตั้งพื้นตัวหนึ่งแล้ว จึงไม่จำเป็นต้องติดตั้งพัดลมเพดานในห้องนอนของตัวเองอีก พัดลมตัวหนึ่งติดตั้งไว้ในห้องของโจวฉายอวิ๋น ส่วนอีกสองตัว เธอขอให้นายช่างจางติดตั้งไว้เหนือเพดานร้านทั้งหมด
บ่ายคล้อย เมื่อฟางจั๋วหรานแวะมากินอาหารมื้อเย็น เขาก็รู้สึกถึงลมเย็น ๆ จากเหนือศีรษะทันทีที่เดินเข้าไปในร้าน
พอแหงนหน้าขึ้นก็เห็นว่าลมเย็นนั้นมาจากพัดลมเพดานสองตัวด้านบน มิน่าเล่าภายในร้านถึงได้เย็นสบายผิดปกติ
ไม่น่าแปลกใจเลยที่วันนี้ร้านมีลูกค้าเข้ามาอุดหนุนเยอะเป็นพิเศษ!
เขาถามว่า “คุณซื้อพัดลมมาเพิ่มเหรอ?”
หลินม่ายพยักหน้า “อากาศในร้านร้อนเกินไป ฉันเลยตัดสินใจซื้อมา คุณไม่เห็นหรือคะว่ากิจการตอนที่ร้านเรามีพัดลมคล่องตัวกว่าเดิมเป็นไหน ๆ?”
ฟางจั๋วหรานตอบกลับ “ทันทีที่ผมเดินเข้ามาในร้าน ก็รู้สึกถึงความแตกต่างระหว่างตอนที่ไม่มีพัดลมกับมีพัดลมอย่างชัดเจนเลยล่ะ”
โต้วโต้วรีบวิ่งไปดึงถุงที่เขาถืออยู่ในมือ “คุณอา คุณอาคะ ถุงนี้มีอะไรอยู่ในนั้นเหรอคะ?”
ฟางจั๋วหรานพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “นี่ไม่ใช่ของกิน แต่เป็นแอลกอฮอล์กับน้ำยาฆ่าเชื้อโรค หนูสัมผัสมันไม่ได้นะ”
“งั้นหนูไม่ดูแล้วก็ได้ค่ะ”
หลังจากได้รับคำยืนยันว่าสิ่งที่อยู่ในถุงไม่ใช่ของกิน เด็กหญิงตัวน้อยก็ไม่ให้ความสนใจกับมันอีก
………………………………………………………………………………………………………………………..
สารจากผู้แปล
ยังจะหวังให้พี่หมอมาเป็นเขยอีกเหรอคะ ขนาดคุณยายก็ไม่น่าจะเอาพี่แกลงนะคะ
ผู้ชายคนนั้นจะไม่อกแตกตายเลยเหรอถ้าได้เห็นเสื้อผ้าในยุคอนาคต ดูแล้วเป็นผู้ชายที่ไม่น่าฝากชีวิตไว้เลย เห็นภรรยาเป็นสิ่งสนองอารมณ์ตัวเองสุด พอแต่งตัวไม่ถูกจริตก็ทุบตีทำร้ายร่างกายเขา
ไหหม่า(海馬)