หลังจากที่สืออีเหนียงยุ่งกับงานเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็ถึงเวลามื้อเที่ยงพอดี นางและฮูหยินสามจึงพากันรีบไปยังเรือนของไท่ฮูหยิน ไท่ฮูหยินเองได้ทานมื้อเที่ยงเสร็จเรียบร้อยและได้พักผ่อนไปแล้ว แต่ได้เก็บอาหารเหลือไว้ให้ทั้งสองด้วย ทั้งสองจึงพากันรีบกินให้พออิ่ม จากนั้นฮูหยินสามก็พานางไปวางแผนจัดแจงเรื่องทำความสะอาด ตอนกลับถึงเรือนก็ปาเข้าไปยามเซินสามเค่อ[1]แล้ว หลินปัวกำลังยืนอยู่หน้าเตียงเตาเฝ้าสวีลิ่งอี๋ที่กำลังเขียนอะไรบางอย่างอยู่
เมื่อเห็นสืออีเหนียงเดินเข้ามา สวีลิ่งอี๋ก็พยักหน้าเล็กน้อยพร้อมกับพูดขึ้นว่า “กลับมาแล้วหรือ” จากนั้นก็ก้มหน้าก้มตาเขียนหนังสือต่อ หลินปัวไม่กล้าประมาทเลินเล่อ รีบเดินเข้าไปคารวะนาง
จากนั้นสืออีเหนียงก็ไปยังห้องชำระทิศตะวันออกเพื่อล้างหน้าล้างตาและเปลี่ยนเสื้อผ้า ตอนที่ออกมานั้นก็ไม่เห็นหลินปัวแล้ว โต๊ะที่ตั้งบนเตียงเตาถูกเก็บกวาดอย่างเป็นระเบียบและสะอาดสะอ้าน พู่กัน หมึก กระดาษและจานฝนหมึกถูกวางอยู่ด้านข้างของเตียงเตา ที่หัวเตียงเตาก็มีหนังสือตำราเพิ่มมาหลายเล่ม
“ท่านโหวกำลังยุ่งอะไรอยู่หรือเจ้าคะ” นางกล่าวทักทายสวีลิ่งอี๋ด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้ม “ข้ามัวแต่ยุ่งอยู่กับงานตั้งแต่เที่ยงวันยันบ่าย ตกบ่ายมาก็มัวแต่ยุ่งอยู่กับการจัดแจงเรื่องทำความสะอาดกับฮูหยินสาม จึงไม่สามารถมาเตรียมอาหารเที่ยงให้ท่านโหวได้…”
สวีลิ่งอี๋เอนตัวอิงหมอนใหญ่ที่อยู่บนเตียงเตา เขาสีหน้าค่อนข้างเหม่อลอย เมื่อเห็นว่านางมาอธิบายกับตน จึงพยักหน้าแบบขอไปที พลางพูดขึ้นว่า “ตอนเที่ยงข้าไปทานข้าวที่เรือนท่านแม่ เจ้ามีงานยุ่งก็ไปทำให้เต็มที่เถิด ไม่ต้องสนใจข้า”
ขณะที่กำลังแบ่งงานกันอยู่นั้น ฮูหยินสามก็ได้นัดนางให้มาเจอกันที่เดิมในวันพรุ่งนี้ตอนเช้าตรู่ จัดแจงแบ่งหน้าที่ของงานในวันปีใหม่ให้กับเหล่าบรรดาป้ารับใช้ เกรงว่าคงจะต้องใช้เวลาทั้งวัน เจตนาเดิมที่นางพูดเรื่องพวกนี้ออกมาก็เพื่อที่จะหยั่งเชิงอารมณ์จิตใจของเขา แต่ตอนนี้เห็นว่าเขาไม่ได้ใส่ใจอะไร จึงแอบถอนหายใจด้วยความโล่งอกเบาๆ
แต่จู่ๆ สวีลิ่งอี๋ก็ถามนางขึ้นมาว่า “ตอนเด็กเจ้าเคยอาศัยอยู่ที่ฝูเจี้ยน ยังจำเรื่องในตอนนั้นได้หรือไม่”
สืออีเหนียงอึ้งไปชั่วขณะ
เหตุใดจู่ๆ ถึงถามเรื่องนี้ขึ้นมาได้
“ตอนนั้นข้ายังเด็กมาก เลยจำไม่ได้แล้ว” สีหน้าของนางค่อนข้างเป็นกังวลใจ แต่รอยยิ้มบนใบหน้ากลับไม่ได้ลดลงแต่อย่างใด “ท่านโหวไปได้ยินเรื่องอะไรมาหรือเจ้าคะ ให้ข้าเขียนจดหมายเชิญท่านพ่อมาที่เรือนดีหรือไม่”
สวีลิ่งอี๋ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ตอบกลับมาว่า “ช่างเถิด!” สีหน้าค่อนข้างผิดหวัง
ดูท่าแล้วคงจะไปได้ยินอะไรมาอย่างแน่นอน แต่กลับไม่กล้าพูดเรื่องนี้กับนายท่านใหญ่ เพียงแต่ไม่รู้ว่ามันคือเรื่องอะไรกันแน่
จู่ๆ นางก็นึกถึงอี๋เหนียงห้าขึ้นมา…
“หรือให้ข้ากลับจวนสกุลเดิมไปลองถามอี๋เหนียงดู?”
“ไม่ต้องแล้ว” สวีลิ่งอี๋ตอบกลับ “สตรีเช่นพวกเจ้า ไม่ออกนอกประตูใหญ่ ไม่ล่วงข้ามประตูสอง ถึงแม้ว่าจะเคยอาศัยอยู่ที่ฝูเจี้ยนนานนับสิบปี เกรงว่าถามไปก็คงจะไม่รู้เรื่องอันใดเลย ข้าจะลองคิดหาวิธีอื่นดู!”
สืออีเหนียงยิ้มเจื่อน แต่กลับไม่สามารถปฏิเสธได้ว่าสิ่งที่เขาพูดนั้นมีเหตุผล
ขณะที่กำลังพูดคุยกันอยู่นั้น หลินปัวก็ได้ย้อนกลับมา ในมือกำลังถือม้วนภาพวาดไว้ สีหน้าดูดีอกดีใจเป็นอย่างมาก “ท่านโหว หาเจอแล้วขอรับ!”
สวีลิ่งอี๋ได้ยินแล้วแววตาก็ลุกโชนขึ้นมา เขารีบยืดตัวขึ้นนั่ง “เอามาดูหน่อย”
หลินปัวรีบคารวะสืออีเหนียง จากนั้นก็กางม้วนภาพวาดออกบนเตียงเตา มันคือภาพวาดแผนที่
สวีลิ่งอี๋โน้มตัวลงมาดูอย่างละเอียดถี่ถ้วน
หลินปัวยืนกลั้นหายใจเงียบๆ อยู่ด้านข้าง
ในห้องเงียบสนิท ไร้ซึ่งสุ้มเสียงใดๆ
สืออีเหนียงยืนสังเกตอยู่ข้างๆ
ฝูโจว กว่างตง กุ้ยหลิน หังโจว…นางยังเห็นอวี๋หังอีกด้วย มันคือเจ้อเจียง ฝูเจี้ยน กว่างโจวและกว่างซี แผนที่ของทั้งสี่มณฑล
สวีลิ่งอี๋มาถามตนว่าจำเรื่องราวตอนที่อยู่ฝูเจี้ยนได้หรือไม่ อีกทั้งยังกางแผนที่ออกมาดู…เขากำลังทำสิ่งใดกันแน่
ผ่านไปพักหนึ่ง เขาจึงค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมา
ก็เห็นดวงตาประกายแวววาวของสืออีเหนียงกำลังมองเขาด้วยสายตาที่อยากรู้อยากเห็น เขาจึงใจอ่อนลง อดไม่ได้ที่จะอธิบายให้นางฟัง “เช้าตรู่ของวันนี้ หวังจิ่วเป่าได้ฝากจดหมายผ่านหวงอวี้มาให้ข้า”
ที่แท้แล้ววันนี้เขาออกนอกเรือนตั้งแต่เช้าตรู่ก็เพื่อไปเจอกับคนของหวงอวี้นี่เอง…หวงอวี้เป็นผู้ตรวจการณ์มณฑลเจ้อเจียง เป็นญาติของเหลียงเก๋อเหล่า นางพอจะรู้จัก แต่หวังจิ่วเป่าผู้นี้คือใครกัน
สืออีเหนียงใช้ความคิดอยู่ครู่หนึ่งจึงพึ่งจะเข้าใจ
หวังจิ่วเป่าคือโจรสลัดที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของทางตอนใต้ บรรพบุรุษของเขาได้คุมเชิงกับตระกูลจิ้งไห่โหวสกุลโอวมาหลายชั่วอายุคน ล่าสุดนี้เพิ่งจะได้รับการอภัยโทษไป
หวงอวี้และหวังจิ่วเป่าล้วนอยู่ทางตอนใต้เหมือนกัน ทั้งสองมาร่วมมือกันผ่านความสัมพันธ์ที่เกี่ยวข้องก็พอจะเข้าใจได้ แต่ความสัมพันธ์ของหวงอวี้กับสวีลิ่งอี๋สนิทสนมขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อใดกัน ถึงขั้นช่วยหวังจิ่วเป่าไกล่เกลี่ยต่อหน้าเขา? หวังจิ่วเป่าเป็นถึงหัวหน้าของโจรสลัด แต่กลับเขียนจดหมายให้สวีลิ่งอี๋ แล้วเจตนาที่เขาร้องขอมันคือสิ่งใดกัน
สีหน้าของนางเต็มไปด้วยความงุนงงฉงนใจ “หวงอวี้ไม่ช่วยหวังจิ่วเป่าผ่านเหลียงเก๋อเหล่า แต่กลับมาหาท่านทำไมกัน”
เหมือนเช่นเคย นางสามารถจับประเด็นหลักได้อย่างรวดเร็ว ทุ่นแรงทุ่นเวลาในการอธิบายอย่างมาก!
สวีลิ่งอี๋อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจยาวๆ
เมื่อวานตั้งแต่ได้ยินไท่ฮูหยินพูดว่า ‘นี่ยังไม่ทันพ้นเดือนที่สาม เดือนที่สี่ ก็สนิทสนมกับสืออีเหนียงขนาดนี้แล้ว’ ในใจเขาก็พลันรู้สึกหงุดหงิดไม่สบอารมณ์เท่าไรนัก ยิ่งตอนที่เห็นม่านเตียงหลังนั้นถูกเปลี่ยนใหม่ ก็ยิ่งรู้สึกไม่เป็นตัวเองเข้าไปใหญ่ จึงได้ตัดสินใจไปหาเฉียวอี๋เหนียง ใครจะไปรู้ว่านอกจากจะไม่รู้สึกดีขึ้นแล้ว ยังจะทำให้รู้สึกแย่กว่าเดิมเข้าไปใหญ่ เมื่อเช้าหลังจากที่กลับจากเรือนของไท่ฮูหยิน เขาก็ลังเลอยู่ครึ่งค่อนวัน สุดท้ายก็ตัดสินใจไปพักผ่อนยามเที่ยงที่เรือนหลัก ยังไม่ทันจะพ้นยามเที่ยงก็สะดุ้งตื่นขึ้นมาก่อน เขายังคงงัวเงียไม่อยากจะลืมตา สุดท้ายก็ผล็อยหลับไป เมื่อเขาลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง ก็ยามเซินเข้าไปแล้ว
ผ้าห่มยังคงมีกลิ่นหอมของดอกกุหลาบที่สืออีเหนียงใช้เป็นประจำ คลุ้มคลั่งแต่เก็บซ่อนไม่เปิดเผย อดไม่ได้ที่จะสูดดมเข้าเต็มปอด นึกถึงผิวที่อ่อนนุ่มของนาง ผิวที่เนียนละเอียดราวกับเครื่องเคลือบก็ไม่ปาน…ร่างกายของเขาก็ค่อยๆ ตื่นขึ้นเพราะกลิ่นหอมอ่อนๆ ของดอกไม้นั่น…หลินปัวก็เข้ามาเรียนพอดี ‘บ่าวรับใช้คนสนิทของใต้เท้าฟั่นกำลังรออยู่นอกห้องหนังสือ รอกลับไปแจ้งข่าวภายในคืนนี้ หรือจะให้เขากลับไปก่อนขอรับ’
เขาไม่อยากที่จะให้หลินปัวเห็นตัวเองในตอนนี้ จึงจำใจสั่งหลินปัวให้ย้ายข้าวของไปที่เรือนหลัก
สีหน้าที่ประหลาดใจของหลินปัวยังคงชัดเจนในหัวของเขา
เขาจึงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกสับสนกระวนกระวายใจขึ้นมา
หลินปัวเป็นบ่าวรับใช้ที่ติดตามตนตั้งแต่อายุเก้าขวบ ตอนนี้ก็ผ่านไปราวเจ็ดแปดปีแล้ว ตนไม่เคยเลยสักครั้งที่จะละเลยหน้าที่ไม่แบ่งแยกเรื่องส่วนตัวและส่วนรวมเช่นนี้มาก่อน...
“ไม่มีอะไร!” น้ำเสียงของสวีลิ่งอี๋คลุมเครือไปด้วยความเยือกเย็น “หวังจิ่วเป่าประสงค์จะทูลข้อคิดเห็นกับฝ่าบาทโดยผ่านข้า ให้ราชสำนักจัดตั้งขบวนเรือออกทะเล…ตอนนี้ข้าว่างานอยู่จวน ก็เลยปฏิเสธไปแล้ว”
ดูเหมือนเขาตั้งใจจะไม่เล่าตอนหลังให้สืออีเหนียงฟัง
ในเมื่อปฏิเสธไปแล้ว เหตุใดถึงยังต้องกลับไปดูรูปวาดแผนที่ของท้องที่ฝูเจี้ยนอีกครั้ง
สืออีเหนียงยิ้มขึ้นบางๆ แต่กลับไม่ได้เปิดโปงออกมา แสร้งไม่รู้ว่าเขากำลังพูดเรื่องนี้ นางยิ้มพลางลุกขึ้นยืน “ข้าปรนนิบัติท่านโหวเปลี่ยนชุดดีหรือไม่เจ้าคะ ใกล้จะถึงเวลาไปหาท่านแม่แล้ว”
สวีลิ่งอี๋ปฏิเสธออกไปตรงๆ “เรียกชุนมั่วหรือซย่าอีเข้ามาก็พอ!”
สืออีเหนียงพลันรู้สึกเหมือนว่าเขากำลังผลักไสไล่ส่งตนอย่างไรอย่างนั้น ในใจก็รู้สึกมึนงงขึ้นมา
เหตุใดถึงเป็นเช่นนี้
เมื่อครู่นี้ยังดีๆ อยู่เลย
แต่ทว่า อารมณ์เช่นนี้ปรากฏขึ้นเมื่อวานไปรอบหนึ่งแล้ว เกิดขึ้นในขณะที่เขากำลังจ้องมองม่านเตียงที่ถูกเปลี่ยนใหม่ จู่ๆ ก็ดีดตัวลุกขึ้นตรงไปที่เรือนของเฉียวอี๋เหนียงทันที สวีลิ่งอี๋กำลังปฏิบัติต่อตนเปลี่ยนไป…ตอนแรกก็นึกว่าเพราะนางนั้นโอนอ่อนผ่อนตามไปเปลี่ยนม่านเตียงหลังใหม่ เขาจึงตัดสินใจไปค้างที่เรือนเฉียวอี๋เหนียง ตนจึงไม่ค่อยสบายใจเท่าไรนัก ตอนนี้ดูแล้ว คงจะไม่ใช่…
ในใจของนางกังวลเป็นอย่างมาก
ตนพลั้งมือไปทำอะไรที่สวีลิ่งอี๋ไม่พอใจหรือไม่
ถึงแม้ว่าในใจจะท่วมท้นไปด้วยความฉงนไม่เข้าใจ แต่เวลาเช่นนี้ ไม่ใช่เวลาที่ควรจะมาปรับความเข้าใจ
นางจึงยิ้มขึ้นบางๆ พร้อมกับหันไปตะโกนเรียกชุนมั่วและซย่าอีเข้ามา ส่วนตนนั้นก็นั่งครุ่นคิดอยู่บนเตียงเตา แน่นอนว่านางไม่ทันได้สังเกตเห็นหลินปัวที่ยืนก้มหน้าอยู่ข้างๆ มาโดยตลอด
บนใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยสีหน้าแปลกใจอย่างไม่อาจปิดบังได้!
นึกไม่ถึงเลยว่าท่านโหวจะพูดเรื่องพวกนี้กับฮูหยิน แม้แต่คุณชายห้าและคุณชายสาม ท่านโหวก็ไม่เคยบอกเรื่องนี้กับพวกเขาเสียด้วยซ้ำ…
*****
ตั้งแต่กลับจากเรือนไท่ฮูหยิน สวีลิ่งอี๋ก็ตรงไปพักผ่อนที่เรือนของเฉียวเหลียนฝัง
สืออีเหนียงและหู่พั่วกำลังปรึกษาหารือเรื่องการจัดระเบียบในช่วงเทศกาลตรุษจีน จนถึงช่วงต้นของยามไฮ่ถึงได้ค่อยเข้านอน
ในหัวของนางมีเพียงสีหน้าแววตาที่เฉยชาของสวีลิ่งอี๋
สรุปแล้วผิดพลาดที่ใดกันแน่
สืออีเหนียงหวนนึกทบทวนเหตุการณ์ทั้งหมดตั้งแต่ก่อนที่ตนจะเดินเข้าประตูมา
ยิ่งคิดก็รู้สึกว่าความสัมพันธ์ยิ่งคืบหน้าเสียด้วยซ้ำ นางครุ่นคิดวกวนไปมาหลายครั้ง แต่กลับไม่เจอสิ่งใดที่ตนทำไม่เหมาะไม่ควรบ้างเลย!
เมื่อนึกถึงตรงนี้ นางก็ยิ่งนอนไม่หลับเข้าไปใหญ่
ไม่กลัวที่จะต้องรู้ แต่กลัวว่าจะไม่รู้เสียมากกว่า รู้แล้ว ยังสามารถแก้ไขได้ แต่หากไม่รู้ ก็ไม่รู้ว่าควรจะเริ่มแก้ไขจากที่ใด…
หากจะบอกว่าระหว่างคนสองคนมีเรื่องอันใดที่ไม่เข้าใจกัน เห็นทีจะมีแต่เรื่องในเรือน แต่ถึงแม้ว่าจะเป็นเรื่องนี้ ตนเองก็พยายามพัฒนาขึ้นเรื่อยๆ ตามเจตนาของเขาแล้วไม่ใช่หรือ หรือว่าเป็นเพราะความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองที่ยิ่งอยู่ก็ยิ่งคุ้นเคยกัน การปฏิบัติต่อเขาของตนจึงขาดความเคารพส่วนหนึ่งไป? แต่ตนก็ไม่ได้เสียมารยาท อีกทั้งก่อนหน้านี้ก็ไม่เห็นว่าเขาจะแสดงความไม่พอใจเลยแม้แต่นิด!
ไม่ว่าสืออีเหนียงนั้นจะครุ่นคิดอย่างไรก็ไม่อาจเข้าใจได้ จู่ๆ ก็รู้สึกว่าในเรือนมีอะไรบางอย่างเคลื่อนไหว
เวลานี้ ทุกๆ เรือนก็ลงกลอนประตูหมดแล้ว หากไม่ใช่เรื่องใหญ่ก็คงจะไม่มาเคาะประตูอย่างแน่นอน!
นางจึงลุกขึ้นมาสวมเสื้อคลุมแล้วเดินออกจากห้องชั้นในไป
นางได้ยินเสียงดังออกมาจากด้านนอก
สืออีเหนียงตะโกนเรียกลี่ว์อวิ๋นที่เป็นเวรดึก “…เจ้าได้ยินอะไรหรือไม่”
ลี่ว์อวิ๋นเงี่ยหูฟัง “เหมือนว่าด้านนอกจะมีอะไรเคลื่อนไหวเจ้าค่ะ!” จากนั้นนางก็สวมเสื้ออ่าว[2]ทับด้านนอก “ฮูหยิน บ่าวออกไปดูเจ้าค่ะ!”
สืออีเหนียงพยักหน้าเบาๆ
ลี่ว์อวิ๋นรีบเดินออกไปทันที ผ่านไปครู่หนึ่งนางก็ย้อนกลับมา “ผู้ดูแลเรือนนอกมาหาท่านโหวเจ้าค่ะ!”
สืออีเหนียงใจเต้นไม่เป็นจังหวะขึ้นมา “รู้หรือไม่ว่าเรื่องอะไร”
ลี่ว์อวิ๋นส่ายหน้าพร้อมกับตอบกลับไปว่า “ไม่รู้เจ้าค่ะ ตอนบ่าวออกไปถึงท่านโหวก็ไม่อยู่แล้ว แม่เฒ่าที่อยู่เวรดึกลงกลอนใหม่อีกครั้งแล้วเจ้าค่ะ”
สืออีเหนียงไม่หลงเหลือความง่วงเลยแม้แต่นิดเดียว
หลังจากกลับเรือนไปแล้ว ก็ให้ลี่ว์อวิ๋นไปย้ายโต๊ะปักผ้ามาปักตัวอักษรต่อ จนฟ้าเริ่มสว่างนางถึงเพิ่งจะรู้สึกง่วงขึ้นมา
แต่ก็ถึงเวลาที่จะต้องไปคารวะไท่ฮูหยินแล้ว
นางหาวไปหนึ่งครั้ง จากนั้นก็ไปล้างหน้าล้างตาที่ห้องชำระ ยังไม่ทันจะได้หวีผม ก็มีสาวใช้วิ่งเข้ามาเรียนว่า “ท่านโหวกลับมาแล้วเจ้าค่ะ!”
ออกไปกลางดึกแล้วกลับมาเวลานี้?
สืออีเหนียงรีบออกไปต้อนรับด้วยความแปลกใจ
ก็เห็นสวีลิ่งอี๋ที่สาวเท้าเดินเข้ามาด้วยสีหน้าที่คร่ำเครียด ในมือของเขากำลังหิ้วห่อผ้าปูดนูนห่อใหญ่ที่ถูกห่อด้วยผ้าดิบลายดอกไม้สีน้ำเงินด้วยความทะนุถนอม
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร เมื่อสืออีเหนียงเห็นห่อผ้าห่อนั้นครั้งแรก จู่ๆ ก็มีคำพูดที่ว่า ‘นึกไม่ถึงเลยว่าสวีลิ่งอี๋จะมีความกล้าเช่นนี้ด้วย’ ดังก้องขึ้นมาในหัว
เมื่อสวีลิ่งอี๋เห็นสืออีเหนียง ใบหน้าของเขาราวกับเคลือบไปด้วยน้ำค้างก็ไม่ปาน เขาพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เยือกเย็นว่า “กลับไปค่อยคุยกัน!”
สืออีเหนียงเห็นว่าสีหน้าของเขาไม่ค่อยดีเท่าไรนัก จึงก้มหน้าก้มตาเดินตามเขาเข้าเรือนไป
เขาสั่งกับสาวใช้ในเรือน พลางวางห่อผ้าห่อนั้นลงบนเตียงเตาริมหน้าต่างในห้องชั้นใน “เจ้าไปหาป้ารับใช้ที่สงบปากสงบคำมาช่วยดูแลชั่วคราว” เมื่อเขาพูดจบ ห่อผ้าก็ถูกเปิดออก
สืออีเหนียงอึ้งจนตาค้าง ราวกับถูกสายฟ้าฟาดก็ไม่ปาน ยืนนิ่งไม่ขยับไปครู่ใหญ่เห็นจะได้
ในห่อผ้ากลับเป็นเด็กน้อย
ดูแล้วอายุไม่น่าจะเกินสองถึงสามขวบ ขาวซีดและซูบผอม นอนขดตัวกลม แยกไม่ออกว่าเป็นเด็กหญิงหรือเด็กชาย สวมเสื้ออ่าวผ้าแพรต่วนสีแดงสดที่ค่อนข้างเล็ก เต็มไปด้วยคราบน้ำมัน คอและแขนเสื้อถูกเสียดสีจนขึ้นเงา แขนน้อยๆ โผล่พ้นออกมา อาจเป็นเพราะอากาศที่ค่อนข้างหนาวเย็น พลอยทำให้สีผิวนั้นดำคล้ำไปหมด ผมบนหัวค่อนข้างยุ่งเหยิงไม่เป็นระเบียบ เต็มไปด้วยกลิ่นสาบฉุน เขากำลังจ้องมองนางด้วยสีหน้าแววตาที่หวาดกลัว
ในหัวของนางขาวโพลน จิตใจสับสนวุ่นวายไปหมด นางชี้ไปยังตาชั้นเดียวแต่กลับกลมโตบนใบหน้าที่สกปรกมอมแมมนั้นโดยที่ไม่อาจควบคุมตัวเองได้ “นี่มันเรื่องอันใดกัน”
———————-
[1]เค่อ หน่วยนับเวลาสมัยจีนโบราณ 1 เค่อเท่ากับ 15 นาทีโดยประมาณ
[2]เสื้ออ่าว เสื้อกันหนาวตัวนอกที่มีซับใน ตรงแขนเสื้อกว้างพอดีกับข้อมือ