“ออกเดินทางได้!” ขันทีซุนถือแส้หางม้าไว้ในมือ พร้อมกับยืนตัวตรงอยู่แถวหน้าสุดของกองกำลังทหารรักษาพระองค์ และตะโกนด้วยเสียงอันดัง
ศิษย์ทุกคนรู้สึกมีความสุขอย่างมาก ปกติแล้ว พวกเขาไม่ได้มีโอกาสมากนักที่จะออกจากสำนักไท่ไป๋ นอกจากที่สำนักแห่งนี้จะมีคาบเรียนที่แน่นมากแล้ว การขออาจารย์เพื่อออกไปข้างนอกก็เป็นเรื่องที่ยากมากเช่นเดียวกัน
อย่างเช่นวันนี้ ผู้หญิงและผู้ชายสามารถเดินทางด้วยกันได้ก็ถือเป็นสิ่งที่พวกเขาไม่คาดคิดมาก่อน
ดังนั้น ไม่ว่าจะเป็นคุณหนูหรือคุณชายจากตระกูลชนชั้นสูงจึงต่างก็ตั้งตารอการเดินทางไปยังวัดหลิงอิ่นเป็นอย่างมาก
เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์และคุณหนูจากตระกูลเหลียงยิ้มให้กัน และให้สาวใช้ช่วยประคองพวกนางเข้าไปในรถม้า
แต่เมื่อเฮ่อเหลียนเวยเวยหมุนตัวกลับมา นางก็หยุดชะงักอยู่กับที่ ไม่ใช่เพราะเหตุผลอื่นใด แต่เป็นเพราะล้อของรถม้าที่นางกำลังจะเข้าไปนั่งนั้นมีความเสียหาย หนึ่งในเพลาของมันหัก
หากล้อแบบนี้วิ่งบนถนนภูเขา ก็จะไม่ปลอดภัยอย่างแน่นอน นอกจากนี้ ในตอนกลางคืน ถนนบนภูเขาจะเป็นหลุมเป็นบ่อ และมีหมอกหนา ทำให้เกิดอุบัติเหตุได้ง่าย
หากพูดตามหลักของเหตุและผลแล้ว รถม้าเหล่านี้ถูกจัดเตรียมโดยอดีตฮ่องเต้ ดังนั้น จึงไม่ควรเกิดเหตุการณ์เช่นนี้
แต่รถม้าที่นางต้องนั่งกลับมีเพลาที่แตกหักอันหนึ่ง คนเฉลียวฉลาดอย่างเฮ่อเหลียนเวยเวยนั้นไม่เชื่อว่าจะมีเรื่องบังเอิญเช่นนี้ ดูเหมือนว่าจะเป็นการวางแผนอย่างตั้งใจของใครบางคน เพราะหากเกิดปัญหาขึ้นมาจริงๆ ต่อให้ทางการจะเข้ามาตรวจสอบ สุดท้าย มันก็คงจะเป็นแค่อุบัติเหตุหนึ่งเท่านั้น
ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายต้องการจะทำให้นางตายทันที!
เฮ่อเหลียนเวยเวยยืนตัวตรง ดวงตาทั้งคู่ของนางหรี่ลง และกำลังจะถามคนอื่นว่ายังมีรถม้าคันอื่นอีกหรือไม่
แต่ขันทีตัวน้อยที่ยืนอยู่ข้างๆ นางก็สะบัดแส้ม้าในมือของเขา และพูดขึ้นอย่างกระสับกระส่าย “เร็วเข้าเถิดขอรับ หากชักช้าจนเลยเวลาที่อดีตฮ่องเต้จุดธูป ก็จะถือว่าเป็นความผิดอันใหญ่หลวงนะขอรับ”
เฮ่อเหลียนเวยเวยเหลือบมองเขาด้วยสายตาอันเย็นชา ทันใดนั้น ขันทีตัวน้อยก็รู้สึกได้ว่าอีกฝ่ายอ่านท่าทีของเขาออก จึงสะดุ้งตกใจ ก่อนจะก้าวถอยหลังออกไป
เฮ่อเหลียนเวยเวยเลิกคิ้วเรียวยาวของตนเอง “รถม้าสภาพแบบนี้ หากเกิดอะไรขึ้นกับคนที่นั่งด้านใน ใครจะเป็นคนรับผิดชอบหรือ”
“คุณหนูเฮ่อเหลียนชอบพูดเล่นเสียจริง มีองครักษ์ขององค์ชายสามอยู่ที่นี่ด้วย แล้วจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นได้อย่างไรกันขอรับ” ขันทีตัวน้อยมองไปรอบๆ พร้อมกับหัวเราะ ‘เหอะๆ’ ก่อนจะพูดต่อ “คุณหนูเฮ่อเหลียนควรจะรีบขึ้นรถม้าได้แล้วขอรับ”
เฮ่อเหลียนเวยเวยยกริมฝีปากบางขึ้น “ข้าเข้าไปในรถม้าคันนี้ก็ได้ แต่เจ้าจะต้องเข้าไปกับข้าด้วย”
“คือ…” ขันทีตัวน้อยหน้าซีดเผือดพร้อมกับก้าวถอยหลังไปหนึ่งก้าว เดิมที ความเสียหายที่เกิดขึ้นกับรถม้าคันนี้เป็นฝีมือของเขา ที่จริงแล้ว การรับเงินเพื่อช่วยให้พวกเขารอดพ้นจากความลำบากได้นั้นก็เป็นเรื่องที่พบเห็นกันอยู่บ่อยๆ ในวังหลวง และมักจะเกิดขึ้นบ่อยครั้ง
แผนการของเหล่านางสนมในวังประเภทข้าวางกับดักใส่เจ้า เจ้าใส่ร้ายข้านั้นมีมากมายจนนับไม่ถ้วน
ตอนที่เขารับเงิน เขาก็รู้สึกว่าวิธีการนี้ช่างอำมหิตยิ่งนัก เพราะเมื่อรถม้ามุ่งหน้าเข้าสู่ถนนบนภูเขา ก็จะพบกับหมอกยามค่ำคืน และเมื่อล้อลื่นไถลไป มันก็พุ่งชนหน้าผาและตกลงไปในเหว
ด้วยวิธีการนี้จึงสามารถใช้กำจัดศัตรูได้ ไม่ว่าจะเป็นเทพเซียนหรือภูตผีก็ไม่อาจช่วยอะไรได้ ในเวลาที่รถม้าคันนี้ตกเหวจนพังพินาศเป็นเสี่ยงๆ ไม่ว่าอดีตฮ่องเต้จะโกรธเคืองเพียงใด หรือจะส่งคนออกไปสืบสวนเรื่องนี้ ก็ไม่สามารถหาเบาะแสใดๆ ได้เลย
ขันทีน้อยจึงกล้ารับเงินจากคนๆ นั้น ยิ่งไปกว่านั้น ลูกสาวคนโตของตระกูลเฮ่อเหลียนที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขา นางดูไม่มีอำนาจและอิทธิพลอะไร และนางยังโดนขับไล่ออกจากตระกูลเฮ่อเหลียนอีกด้วย แม้ว่านางจะยังใช้ชื่อสกุลว่าเฮ่อเหลียนอยู่ แต่ก็เป็นแค่ในนามเท่านั้น สุดท้ายแล้ว นางก็เป็นแค่สามัญชนคนหนึ่งเท่านั้น
แต่สิ่งที่ขันทีตัวน้อยไม่คาดคิดก็คือพอถึงเวลาออกเดินทาง เฮ่อเหลียนเวยเวยจะต้องการให้เขาตามนางขึ้นรถม้าคันเดียวกัน
เมื่อคิดถึงผลที่จะตามมา ขันทีตัวน้อยก็มีสีหน้าที่ไม่น่าดูยิ่งขึ้น “คงไม่เหมาะสมนักขอรับ ข้ารับใช้คนนี้ต่ำต้อยนัก ไม่ควรรบกวนความสงบของคุณหนูเฮ่อเหลียนขอรับ”
“ถ้าอย่างนั้นก็เปลี่ยนรถม้าให้ข้า” เฮ่อเหลียนเวยเวยมองเขาด้วยรอยยิ้มที่ไม่ใช่รอยยิ้ม
ขันทีตัวน้อยรู้สึกวิตกกังวลอย่างมาก หน้าผากของเขาแทบจะมีเหงื่อผุดออกมา ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงที่เริ่มหมดความอดทน “ไม่มีรถม้าคันอื่นแล้วขอรับ คุณหนูเฮ่อเหลียนไม่กลัวว่าจะทำลายแผนการเดินทางของอดีตฮ่องเต้หรืออย่างไรกันขอรับ อีกเดี๋ยว จะต้องมีคนมาตำหนิพวกเราอย่างแน่นอน”
“ถ้าเช่นนั้น ก็ให้พวกเขามาที่นี่” เฮ่อเหลียนเวยเวยยิ้มอย่างสุขุมและดูไร้กังวล ราวกับสายลมที่พัดโชยและก้อนเมฆที่ลอยละล่อง ก่อนจะมองล้อของรถม้าอย่างมีนัย “มันสมควรแล้วที่จะให้พวกเขามาตรวจสอบดูเสียหน่อยว่าทำไมรถม้าถึงมีสภาพเช่นนี้ได้”
เมื่อได้ยินดังนั้น ขันทีตัวน้อยก็ตื่นตระหนก เดิมที เขาตั้งใจเอ่ยถึงอดีตฮ่องเต้เพื่อกดดันเฮ่อเหลียนเวยเวย แม้ว่านางจะไม่อยากขึ้นรถม้าคันนี้ แต่นางก็คงไม่อาจเพิกเฉยต่อสถานการณ์โดยรวมได้
ไม่คิดว่านางจะใช้มันเป็นข้ออ้างในการข่มขู่เขากลับแทน
ตอนแรก เขาคิดว่าเด็กสาวอายุเพียงสิบสี่ปีที่ยังไม่เคยเข้าไปในวังหลวงคนนี้ จะไม่มีอะไรให้ต้องกังวล เขาเพียงแค่พูดสองสามประโยคง่ายๆ ก็เพียงพอแล้วที่จะสามารถจัดการกับนางได้
แต่ตอนนี้!
จู่ๆ เขาก็ตกอยู่สถานการณ์ที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก
หากพวกเขาออกเดินทางกันไปแล้ว แต่เฮ่อเหลียนเวยเวยยังคงยืนกรานว่าถ้าเขาไม่เข้าไปในรถม้าคันนี้ นางก็จะไม่ไป ก่อนหน้านี้ เขาเคยเห็นคุณหนูจากตระกูลชนชั้นสูงจำนวนมาก แต่เขาไม่เคยเจอคนที่กล้าหาญเช่นนี้มาก่อน
แม้ว่าเขาจะเป็นเพียงแค่ขันทีตัวเล็กๆ แต่ก็มีหญิงสาวจากตระกูลผู้มีอิทธิพลชอบมาประจบประแจงเขาจำนวนไม่น้อยเลยทีเดียว แม้ว่าภูมิหลังของตระกูลของพวกนางจะยิ่งใหญ่เพียงใด แต่พวกนางก็ยังต้องไว้หน้าเขาบ้างเช่นกัน
แต่สำหรับหญิงสาวคนนี้ ยังไม่ต้องพูดถึงการไว้หน้าเขาเลยด้วยซ้ำ นางราวกับอันธพาลที่อาละวาด และไม่สนใจชื่อเสียงของตนเองเลย
หากพวกเขายังไม่ออกเดินทางอีก ขันทีซุนก็จะต้องส่งคนมาซักถามอย่างไม่ต้องสงสัย และเมื่อถึงเวลานั้น ความผิดปกติของล้อก็จะต้องถูกค้นพบ จากประสบการณ์อันยาวนานของขันทีซุนที่อยู่ในวังหลวงนั้น เรื่องที่เขาได้รับสินบนมาก็จะต้องถูกเปิดเผยอย่างแน่นอน
ปัญหาคือแม้ว่าเขาจะอยากให้เฮ่อเหลียนเวยเวยนั่งรถม้าคันอื่น ก็ไม่มีเวลามากพอ องครักษ์ส่วนใหญ่นั้นออกเดินทางไปแล้ว และตามมาด้วยรถม้าของเหล่าลูกศิษย์ หากพวกเขาไม่ออกเดินทางตามกำหนดเวลา สุดท้ายแล้ว คนที่จะถูกตำหนิก็จะกลายเป็นเขาอยู่ดี
เมื่อเทียบกับขันทีตัวน้อยที่เหงื่อออกเต็มศีรษะแล้วนั้น เฮ่อเหลียนเวยเวยกลับดูมีท่าทีที่ผ่อนคลายเป็นพิเศษ นางมองไปด้านหลังอย่างเฉื่อยชา ก่อนจะยืนกอดอกและเอนหลังพิงต้นไม้ พร้อมกับมองดูเหตุการณ์นี้ด้วยรอยยิ้มที่แสดงออกมาอย่างชัดเจน
ในที่สุด ขันทีตัวน้อยก็ตระหนักได้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น
การที่นางบอกว่าต้องการให้เขาเข้าไปในรถม้าคันนี้ด้วยนั้นเป็นเรื่องเหลวไหลสิ้นดี
นางเพียงรอให้ถึงเวลาที่ขันทีซุน อดทนไม่ไหว จนต้องเดินมาที่นี่เพื่อสอบสวนนางนั่นเอง
ไม่สิ ไม่ใช่สอบสวนนาง…แต่เป็นสอบสวนเขาต่างหาก!
แผ่นหลังของขันทีตัวน้อยสั่นสะท้าน และรูม่านตาของเขาก็ขยายออกพร้อมกับรับรู้ได้ถึงความหนาวเย็นที่แผ่ซ่านไปทั่วร่างกายของตนเองอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ผู้หญิงคนนี้รู้มาตั้งแต่แรกแล้วว่าล้อนี้เป็นฝีมือของเขา
“ขันที” เฮ่อเหลียนเวยเวยเป่านิ้วของตนเองและยิ้มบางๆ “ตระกูลเฮ่อเหลียนมอบเงินให้เจ้าจำนวนมากเลยเช่นนั้นหรือ”
ริมฝีปากของขันทีตัวน้อยสั่นไหว ราวกับถูกอะไรบางอย่างกระแทก นิ้วของเขาก็เริ่มสั่นเทา “ข้าไม่เข้าใจในสิ่งที่คุณหนูเฮ่อเหลียนพูดเลยขอรับ”
“จริงหรือ” เฮ่อเหลียนเวยเวยหลับตาลงด้วยความผ่อนคลายอย่างเห็นได้ชัด “ถ้าเช่นนั้นก็รอจนกว่าขันทีซุนจะมาถามก็แล้วกัน เจ้าจะต้องเข้าใจคำถามของเขาอย่างแน่นอน”
ในชั่วอึดใจ รอยยิ้มที่อยู่ตรงมุมปากของขันทีตัวน้อยก็แข็งทื่อ ขณะที่เขาเงยศีรษะขึ้นมา เฮ่อเหลียนเวยเวยก็เผยรอยยิ้มที่ดูเหมือนกับปีศาจจากขุมนรกก็ไม่ปาน
เขาไม่กล้ามองว่านางเป็นแค่เด็กอายุสิบสี่สิบห้าปีที่ไม่รู้เดียงสาอะไรเลยอีกต่อไป
เขารู้สึกเสียใจที่รับเงินก้อนนั้นมา
เขาไม่อาจรอจนขันทีซุนมาสอบสวนได้ หากขันทีซุนมาสอบสวน เขาก็จะต้องลากฮูหยินคนนั้นที่อยู่เบื้องหลังออกมาอย่างไม่ต้องสงสัย…