“คุณชายเสียนเกอช่างสมคำร่ำลือ ไม่เพียงวิชาการแพทย์ ยาพิษ และเพลงฉินที่ยอดเยี่ยม แผนการเองก็น่าตกใจไม่น้อย” ด้านหลังมีเสียงทุ้มต่ำเอ่ยขึ้น คุณชายเสียนเกอหันกลับไป ดวงตาคมหรี่ลงเบาๆ เลิกคิ้วพลางเอ่ย “กงอวี้เฉินหรือ”
“ต้องขออภัยด้วย เจ้าสำนักไม่ได้มา เกรงว่าจะไม่มีโอกาสได้ชื่นชมต่อความสามารถของคุณชายเสียนเกอแล้ว” ชายชุดดำคนหนึ่งเดินออกมาจากป่ามืดอันเงียบสงบ ในมือถือกระบี่ยาว ใบหน้าด้านซ้ายมีรอยเลือดที่ไม่รู้ว่าเกิดจากสิ่งใด ดูน่าตกใจเล็กน้อย ด้านหลังของเขา ยังมีชายชุดดำเช่นเดียวกับเขายืนไม่พูดไม่จาอยู่สองสามคน
คุณชายเสียนเกอมองการต่อสู้ด้านล่าง ถอนหายใจ เอ่ย “อาจารย์ ท่านรีบจัดการให้เสร็จได้หรือไม่ หรือว่าท่านแก่แล้วจริงๆ”
อาจารย์อายกเท้าถีบชายชุดดำที่พุ่งเข้ามา อาศัยจังหวะปรายตามองไปยังริมหน้าผาด้านบน แสยะยิ้มพร้อมกับเอ่ย “ดูแลตัวเองไปเถิด หากสู้ไม่ได้ก็ไปตายเสีย”
“…”
ชายชุดดำเองราวกับมีประสบการณ์ในการปะทะกับคุณชายเสียนเกอก่อนหน้านี้แล้ว ไม่เข้าใกล้เขาทว่าใช้แส้ยาวหรืออาวุธยาวๆ เพื่อโจมตี เพียงแต่การโจมตีเช่นนี้เห็นชัดว่าผลลัพธ์ที่ได้ก็ลดลงไปด้วย ต่อให้คุณชายเสียนเกอไม่ได้มีวรยุทธ์สูงส่ง เพียงแต่เรื่องการใช้พิษ คนอื่นยังต้องชื่นชมเขา
ชายชุดดำทำอันใดเสียนเกอไม่ได้ คุณชายเสียนเกอร้องซวยอยู่ในใจ แน่นอนว่านั่งดื่มเหล้ากลางดึก เขาไม่ได้มีพิษติดตัวมามากมาย อีกทั้งอาจารย์เองก็ตั้งมั่นว่าจะเล่นอยู่ด้านล่าง ต้องการสั่งสอนลูกศิษย์สักครั้ง คุณชายเสียนเกอจึงจำต้องรับมือด้วยตนเอง จนปัญญาที่เขาไม่สนใจการฝึกวรยุทธ์ ต่อให้อยู่กับอาจารย์ยอดฝีมือไร้ผู้เทียมทานมาตลอดยี่สิบสองปีเขาก็ยังปลายแถวของชั้นสองห่างไกลจากชั้นหนึ่ง หากไม่อาศัยพิษ ไหนเลยจะมีศัตรูที่เป็นยอดฝีมือชั้นหนึ่งมากมายเพียงนี้
เพียงมือสังหารเหล่านี้ไม่สนชีวิตคิดจะสู้เป็นสู้ตายกับเขาสักครั้ง คุณชายเสียนเกอใช้พิษในมือหมดแล้วเห็นชัดว่าเริ่มจับต้นชนปลายไม่ถูกขึ้นมา
ยามนี้ตีนเขาชุ่ยเวยเองก็ไม่สงบ ตอนที่หนานกงมั่วควบม้าเร็วมาถึงตีนเขาก็มีคนรอพวกเขาอยู่ก่อนแล้ว หนานกงมั่วดึงบังเหียนเพื่อหยุดม้า เลิกคิ้วมองคนที่ดักอยู่ตรงหน้า ชายชุดดำที่เป็นหัวหน้านั้นรูปร่างสูง คลุมผ้าคลุมปักลายดอกไม้สีทอง สวมหน้ากากทองน่าสะพรึง เผยให้เห็นเพียงดวงตามาดร้ายคู่นั้น
“กงอวี้เฉิน” หนานกงมั่วเอ่ยเสียงเรียบ
“เสี่ยวมั่วเอ๋อร์ ไม่เจอกันนานข้าคิดถึงเจ้ามาก” กงอวี้เฉินเอ่ยด้วยรอยยิ้มร่ามองไปยังหนานกงมั่ว ถอนหายใจ “เจ้ามักเป็นปรปักษ์กับข้า น่าเสียดายที่ข้าสังหารเจ้าไม่ลง”
หลิ่วหันที่อยู่ด้านข้างหนานกงมั่วเอ่ยเสียงหยัน “คิดสังหารจวิ้นจู่ เจ้าสำนักกงมีความสามารถนั้นหรือ”
สายตาของกงอวี้เฉินทอดมองไปยังหลิ่วหัน เอ่ยเสียงเรียบ “แม้แต่คนติดตามเสี่ยวมั่วเอ๋อร์ยังปากร้ายเพียงนี้เลยหรือ เพียงแต่…เมื่อเทียบกับเจ้านายของเจ้าแล้วช่างไม่น่ารักเอาเสียเลย เดิมทีข้าก็ไม่ได้ชอบบ้านรักนก[1]ไปด้วยอยู่แล้ว”
“หลิ่วหัน ระวัง”
วาจาของกงอวี้เฉินยังไม่ทันจบ อาวุธลับแหลมคมพลันผ่าอากาศพุ่งตรงเข้าหาหลิ่วหัน หลิ่วหันรีบเบี่ยงตัวหลบ ร่างทั้งร่างเบี่ยงตัวหลบไปด้านข้างของม้าจึงหลบการโจมตีนั้นได้ เสียงเสาของเพิงหญ้าด้านหลังห่างออกไปไม่ไกลขาดลงดังขึ้น ใบหน้าของหลิ่วเยือกเย็นขึ้นมา
สายตาของหนานกงมั่วมองไปยังชายชุดดำข้างกายกงอวี้เฉิน ยิ้มเย็น เอ่ย “ที่แท้ข้างกายของเจ้าสำนักกงก็เป็นยอดฝีมือร้ายกาจ มิน่าถึงได้กล้ามาปรากฏตัวต่อหน้าจวิ้นจู่อย่างข้า”ผู้คนที่อยู่ด้านหลังกงอวี้เฉินเองก็คลุมผ้าคลุมสีดำ สวมหน้ากาก เพียงการลงมือเมื่อครู่ก็รู้แล้วว่าฝีมือสูงส่ง แม้ว่าพวกนางจะได้เปรียบเรื่องจำนวนคน แต่หากจะกำจัดคนเหล่านี้คงมิใช่เรื่องง่าย เพียงแต่ อาจารย์อาอยู่บนเขา ก่อนหน้านี้นางก็วางคนไว้บนเขา คิดว่าศิษย์พี่และอาจารย์คงไม่มีอันตรายใด
กงอวี้เฉินราวกับไม่ได้ยินวาจาเย้ยหยันของหนานกงมั่ว เอ่ยเสียงกระซิบ “มั่วเอ๋อร์ หากเจ้ารู้…บางครั้งวรยุทธ์สูงส่งก็ไม่มีประโยชน์อันใด อย่างเช่นตอนนี้ เจ้าผ่านไปได้หรือ”
หนานกงมั่วเลิกคิ้ว “งั้นหรือ หากเจ้าสำนักกงยังมีวรยุทธ์ติดตัว รอบข้างยังจำเป็นต้องมียอดฝีมือห้อมล้อมเช่นนี้หรือไม่ หากท่านส่งคนเหล่านี้ขึ้นเขาไปจนหมด ไม่ว่าอยากสังหารใครคงสังหารไปแล้ว”
กงอวี้เฉินถอนหายใจ “มั่วเอ๋อร์กำลังบอกว่าข้าขี้ขลาดหรือ”
หนานกงมั่วหัวเราะไม่เอ่ยวาจา กงอวี้เฉินไม่ใส่ใจ เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ข้ายังเสียดายชีวิต อย่างไรเสีย หากตายไปแล้ว ก็ไม่เหลืออันใดแล้ว ดังนั้น วิธีการยั่วยุของเจ้าคงไม่ได้ผล”
หนานกงมั่วไม่ได้คาดหวังต่อการยั่วยุกงอวี้เฉิน เพียงเอ่ยไปไม่กี่ประโยคเท่านั้น นางไม่เชื่อว่าคนที่มีวรยุทธ์สูงส่งอย่างกงอวี้เฉินอยู่ดีๆ กลายเป็นไก่อ่อนในพริบตาจะไม่รู้สึกอันใดเลย
หนานกงมั่วพาม้าเดินขึ้นไปด้านหน้าอีกสองก้าว เอ่ยเสียงเรียบ “หากเจ้าสำนักกงคิดว่าการถ่วงเวลาอยู่ที่นี่จะสำเร็จ เกรงว่าคงต้องผิดหวังแล้ว”
กงอวี้เฉินหัวเราะ เอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “มั่วเอ๋อร์คิดมากไปแล้ว ข้าเพียงไม่เจอมั่วเอ๋อร์นาน เพียงคิดถึงก็เท่านั้น”
หนานกงมั่วเอ่ย “อย่างนั้นหรือ ในเมื่อเจ้าสำนักกงสนใจที่จะพูดคุย เช่นนั้นเรามาคุยกันสักหน่อยคงไม่เป็นไร”
ได้ยินนางเอ่ยเช่นนี้ กงอวี้เฉินที่เดิมทีรู้สึกสนุกสนานกลับเริ่มลังเลขึ้นมา มองสำรวจหนานกงมั่วอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะถอนหายใจพลางเอ่ย “ทุกครั้งที่เจอมั่วเอ๋อร์ ข้าก็ยิ่งเกลียดเว่ยจวินมั่ว”
หนานกงมั่วกระตุกมุมปาก พยักหน้าอย่างเข้าใจ “ข้าเข้าใจ บนโลกใบนี้มีคนบ้าที่เอาแต่อิจฉาผู้อื่นนั้นมีไม่น้อย” กงอวี้เฉินหรี่ตาลง เอ่ย “มั่วเอ๋อร์เอ่ยไม่ผิด เว่ยจวินมั่วมีภรรยาเช่นเจ้า ควรถูกคนทั้งโลกอิจฉาจริงๆ” หนานกงมั่วไม่สนใจ “เกรงว่าจะมิใช่เพียงเท่านี้หรือไม่ อย่างเช่นตัวตนของเขา อำนาจเบื้องหลังเขา สติปัญญาของเขา รวมไปถึง…หน้าตาของเขา เจ้าสำนักกงอยากได้…รู้สึกริษยาใช่หรือไม่ ทุกครั้งที่เจอเขา รู้สึกทรมานราวกับมีมดนับร้อยนับพันกดหัวใจท่านใช่หรือไม่ แทบอยากฆ่าเขาให้ตาย แต่กลับฆ่าไม่ตาย จากนั้นท่านก็ยิ่งโกรธแค้นเขาอย่างนั้นหรือ”
ดวงตาของกงอวี้เฉินเยือกเย็น วาจาที่เอ่ยเหน็บหนาวดั่งป่าทึบ “เสี่ยวมั่วเอ๋อร์ เจ้ากำลังทำให้ข้าโกรธ”
หนานกงมั่วยักไหล่ “ความจริงมักทำให้คนฟังยากที่จะรับได้”
เนิ่นนาน ในขณะที่ทุกคนแอบระแวงว่ากงอวี้เฉินจะลงมือได้ทุกเมื่อ ทว่ากลับเห็นกงอวี้เฉินเชิดปลายคางขึ้นหัวเราะเสียงดังออกมา “ข้าริษยาตัวตนของเว่ยจวินมั่วอย่างนั้นหรือ เว่ยจวินมั่วมีสิทธิ์อันใดให้ข้าต้องริษยา เป็นเพียงคนที่แม้แต่บิดาผู้ให้กำเนิดยังไม่…เจ้ากำลังหลอกให้ข้าเอ่ยหรือ” เอ่ยมาได้เพียงครึ่ง กงอวี้เฉินพลันหยุดชะงัก จ้องหนานกงมั่วเขม็ง เอ่ย “ข้าดูถูกเจ้าเกินไปแล้ว”
คิ้วสวยของหนานกงมั่วเลิกขึ้น มองกงอวี้เฉินอย่างเสียดาย
ไกลออกไป แสงคบเพลิงเคลื่อนไหวมาทางนี้อย่างรวดเร็ว กงอวี้เฉินส่งเสียงหยัน เอ่ย “เจ้าเรียกกองกำลังส่วนพระองค์ของเยี่ยนอ๋องมา”
[1] ชอบบ้านรักนก หมายถึง ชอบบ้านหลังนี้ก็ต้องรักนกของบ้านไปด้วย