สืออีเหนียงส่ายหน้าเบาๆ รีบปฏิเสธการคาดการณ์ของตัวเองทันควัน
สามปีก่อน สวีลิ่งอี๋กำลังอยู่ที่แคว้นเหมียวเจียง…เวลาไม่ตรงกัน!
อีกอย่าง เด็กคนนี้ถูกเลี้ยงดูอยู่ข้างนอก จะต้องมีคนดูแลอยู่ด้วยอย่างแน่นอน ขอเพียงแค่เขาให้เงินตามความต้องการ ใครจะไปกล้าทุบตีเด็กกัน ยิ่งไปกว่านั้น เขาไม่ใช่คนที่ตระหนี่ถี่เหนียวใจแคบกับเรื่องเงินเรื่องทองเสียหน่อย
หรือว่า เกิดอะไรขึ้นกับมารดาของเด็ก?
เมื่อมีความคิดเช่นนี้ สืออีเหนียงรีบส่ายหน้าอีกครั้ง
นั่นก็ยิ่งเป็นไปไม่ได้ หากมารดาของเด็กเกิดเรื่อง เป็นไปไม่ได้ว่าคนที่ดูแลเด็กจะไม่บอกเรื่องนี้กับสวีลิ่งอี๋ ดูจากเสื้อผ้าที่เด็กสวมใส่นั้นค่อนข้างเล็กมาก เห็นได้ชัดว่าไม่มีคนดูแลเขามานานแล้ว
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ช่วงเวลานั้นหยวนเหนียงพยายามอย่างมากที่จะจับจุดอ่อนของสวีลิ่งอี๋ เพื่อที่จะสามารถทำให้สวีลิ่งอี๋ยอมจำนน…เป็นไปไม่ได้ว่าการกระทำของสวีลิ่งอี๋จะไม่หลงเหลือร่องรอยใดๆ เลย หยวนเหนียงเองก็ไม่ใช่คนที่จะถูกคนอื่นตบตาได้ง่ายๆ
นางคิดไปคิดมา ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่าเด็กคนนี้ไม่ใช่บุตรชายของสวีลิ่งอี๋
“จ้าวอิ่งมีปฏิกิริยากับเด็กคนนี้อย่างไรบ้าง” สืออีเหนียงพูดขึ้นอย่างครุ่นคิด
“ตกใจไปยกใหญ่” หู่พั่วตอบกลับ “ผ่านไปพักหนึ่งก็ยังไม่สามารถตั้งสติได้ คุณชายน้อยเฟิ่งชิงมีนิสัยโมโหร้าย ล้วนแล้วแต่ต้องอาศัยความช่วยเหลือของจ้าวอิ่งทั้งนั้น ระหว่างนั้นจ้าวอิ่งเองก็แอบจ้องคุณชายน้อยเฟิ่งชิงตั้งหลายหนเจ้าค่ะ”
เช่นนั้นก็แสดงว่าเขาเองก็ไม่รู้ว่ามีเด็กคนนี้อยู่ด้วย!
“บนตัวของเด็กมีสัญลักษณ์อะไรหรือไม่”
หู่พั่วดูเหมือนจะไม่ค่อยเข้าใจ
สืออีเหนียงจึงย้ำนางอีกครั้ง “หยกประจำตัวที่ใช้ห้อย หรือกำไลจำพวกนี้”
หู่พั่วจึงค่อยเข้าใจขึ้นมา “ไม่มีเจ้าค่ะ ไม่มีอะไรเลย” นางครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็เหมือนจะนึกอะไรขึ้นมาได้ “เสื้อทำจากผ้าแพรต่วนสีแดงธรรมดา ราคาพับละสองตำลึง ส่วนด้านในทำจากผ้าฝ้ายราคาพับละหนึ่งตำลึง สีสันลวดลายแบบนี้มีขายตามท้องตลาดทั่วไป แต่รองเท้าค่อนข้างประณีต หากไม่ใช่เพราะคนทำรองเท้าฝีมือดี ก็คงจะซื้อมาจากร้านรองเท้าโดยเฉพาะเจ้าค่ะ”
นี่ก็แสดงว่าสิ่งของทุกอย่างที่อยู่บนตัวของเด็กคนนี้ล้วนแล้วแต่สามารถซื้อได้ด้วยเงินทั้งสิ้น
ขณะที่สืออีเหนียงครุ่นคิดและกำลังจะเอ่ยปากถามอยู่นั้น ก็มีสาวใช้เรียนผ่านม่านว่า “ฮูหยิน ท่านโหวกลับมาแล้วเจ้าค่ะ!”
สืออีเหนียงจึงรีบหันไปส่งสายตาให้กับหู่พั่ว จากนั้นก็รีบลงจากเตียงเตาพลางสวมรองเท้า พร้อมกับกำชับหู่พั่วเสียงต่ำว่า “พูดจาจะต้องระวังคำพูดด้วย”
หู่พั่วหันไปจ้องมองสืออีเหนียง พยักหน้าพร้อมกับพูดขึ้นว่า “ฮูหยินวางใจได้ บ่าวทราบดี จะไม่ทำให้ท่านโหวโมโหอย่างแน่นอนเจ้าค่ะ”
ที่ผ่านมานางทำธุระเชื่อถือได้มาโดยตลอด สืออีเหนียงจึงค่อยรู้สึกวางใจขึ้นมา เพิ่งจะสวมรองเท้าเสร็จ สวีลิ่งอี๋ก็สาวเท้าเดินเข้ามาด้วยความรวดเร็ว
สีหน้าของเขาเคร่งขรึม หัวคิ้วขมวดขึ้นเบาๆ
“ท่านโหวกลับมาแล้วหรือเจ้าคะ!” สืออีเหนียงเดินเข้าไปย่อตัวทำความเคารพ จากนั้นก็ช่วยเขาปลดเสื้อคลุมตัวนอกด้วยตัวเอง พลางเชิญเขาไปนั่งที่เตียงเตาริมหน้าต่าง
หู่พั่วรับเสื้อคลุมแล้วยื่นให้กับสาวใช้น้อย จากนั้นก็ไปรินชาร้อนเข้ามา ก็ได้ยินสืออีเหนียงพูดกับสวีลิ่งอี๋เสียงเบาว่า “…ตอนนี้คนอยู่ที่เรือนปั้นเย่ว์พั่น ตงชิงและปินจวี๋อยู่ดูแลที่โน่น หู่พั่วเพิ่งมาเรียนเรื่องนี้พอดี ท่านโหวจะไปดูเสียหน่อยหรือไม่ หรือจะเรียกหู่พั่วมาซักถามดีเจ้าคะ”
“เรือนปั้นเย่ว์พั่น?” สีหน้าของสวีลิ่งอี๋เต็มไปด้วยความประหลาดใจ “เหตุใดจู่ๆ ถึงพาเด็กไปไว้ที่นั่นได้”
หู่พั่วใจสั่นขึ้นมาทันที
สืออีเหนียงแสดงสีหน้าที่ค่อนข้างลำบากใจ “คนเป็นทั้งคน ไม่ใช่วัตถุหรือสิ่งของเสียหน่อย คิดอยากจะปกปิดจากผู้คน ไม่ว่าจะเป็นที่ที่คนอยู่ได้หรือที่ที่คนไม่สามารถอยู่ได้ ข้าก็ล้วนคิดพิจารณาจนหมด นอกจากเรือนปั้นเย่ว์พั่น ก็ไม่มีที่ใดที่จะเหมาะสมไปกว่า อีกอย่าง นี่ก็เพราะยืมชื่อเสียงบารมีของท่านโหว อย่างน้อยๆ ที่ตรงนั้นก็ไม่มีใครกล้าบุกรุกตามอำเภอใจได้” น้ำเสียงค่อนข้างเง้างอด
หู่พั่วอดไม่ได้ที่จะเงยหน้าขึ้นมามองสืออีเหนียง
น้อยมากที่นางจะได้ยินฮูหยินใช้น้ำเสียงเช่นนี้พูดคุยกับท่านโหว
ถึงแม้ท่าทีของสืออีเหนียงจะค่อนข้างสุขุม แต่ดวงตาเป็นประกายแวววาว ดูแล้วก็พลอยทำให้รู้สึกเหมือนกำลังมีความสุขบนความทุกข์ของผู้อื่นอย่างไรอย่างนั้น
หู่พั่วก็รู้สึกใจเต้นขึ้นมา รีบหันไปมองสวีลิ่งอี๋ทันที
จึงเห็นว่าท่านโหวขมวดคิ้วด้วยสีหน้าที่จนใจ “ช่างเถิด ในเมื่อจัดแจงไปไว้ที่ตรงนั้นแล้ว ก็เลี้ยงดูอยู่ที่นั่นชั่วคราวก็แล้วกัน เพราะอย่างไรเสียอีกสองวันก็จะส่งออกไปแล้ว”
จากนั้นหู่พั่วก็เห็นฮูหยินอึ้งไปชั่วขณะ “อีกสองวันก็จะส่งออกไปแล้ว? ส่งไปที่ใดหรือเจ้าคะ”
ท่านโหวไม่ได้ตอบคำถาม เพียงแต่สั่งกับฮูหยินว่า “วิ่งวุ่นมาทั้งเที่ยง ให้หู่พั่วไปตักน้ำมาล้างหน้าล้างตาเสียหน่อย!”
เมื่อได้ยินสวีลิ่งอี๋เรียกชื่อของตน หู่พั่วก็รีบตั้งสติ ย่อตัวทำความเคารพ พลางขานรับว่า “เจ้าค่ะ” จากนั้นก็รีบไปทำตามคำสั่งทันที
สืออีเหนียงก็รีบถามไถ่อย่างกระตือรือร้นว่า “ท่านโหวทานข้าวแล้วหรือไม่ จะสั่งโรงครัวเล็กให้ทำอะไรมาทานสักหน่อยหรือไม่เจ้าคะ”
สวีลิ่งอี๋ส่ายหน้าเบาๆ “ไม่ต้องแล้ว ข้าทานมาแล้ว” จากนั้นก็ถามเรื่องเกี่ยวกับเด็กขึ้นมา “เอะอะโวยวายอะไรหรือไม่”
ถึงเวลาพูดก็ควรพูดให้กระจ่าง
สืออีเหนียงจึงเล่าเหตุการณ์ทั้งหมดให้เขาฟัง
ตอนที่สวีลิ่งอี๋ได้ยินว่าเด็กคนนั้นกัดตงชิง เขาก็สบถ “หึ!” ออกมา ราวกับว่าไม่พอใจอย่างไรอย่างนั้น แต่พอได้ยินว่าบนตัวของเด็กนั้นเต็มไปด้วยรอยแผล ถึงแม้ว่าสีหน้าของเขาจะนิ่งสงบ แต่ก็ไม่อาจปิดบังแววตาที่เต็มไปด้วยความงงงันได้ เห็นได้ชัดว่าเขาไม่รู้เรื่องที่เด็กถูกเฆี่ยนตี และเขาก็ขมวดคิ้วแน่นขึ้นมาอีกครั้ง
“ประเดี๋ยวเจ้าตกรางวัลให้ตงชิงสักยี่สิบตำลึง ที่ไปโดนเด็กคนนั้นกัดเข้า ข้าจะให้พ่อบ้านไป๋จัดการเอง เจ้าก็ไม่ต้องยุ่งเรื่องนี้แล้ว”
สืออีเหนียงขานรับเสียงเบา “เจ้าค่ะ”
หู่พั่วยกน้ำมาถึงพอดี สวีลิ่งอี๋ก็ไปล้างหน้าล้างตาที่ห้องชำระ จากนั้นก็เปลี่ยนเป็นชุดจื๋อตัวผ้าทอธรรมดาสีน้ำเงิน
“ทางท่านแม่ว่าอย่างไรบ้าง” เขาถามพลางถอดรองเท้าขึ้นไปบนเตียงเตา
สืออีเหนียงโน้มตัวลงไปช่วยเขาถอดรองเท้าพลางพูดขึ้นว่า “ท่านแม่พูดแค่ว่าหากท่านกลับมาแล้ว ก็ให้ไปหาท่านสักประเดี๋ยว”
สวีลิ่งอี๋พยักหน้ารับรู้ จากนั้นก็เอนตัวลงนอนบนหมอนที่สืออีเหนียงเพิ่งหนุนเมื่อครู่นี้
สืออีเหนียงรู้สึกค่อนข้างแปลกใจ
เรื่องใหญ่ขนาดนี้ เขาตั้งใจจะไม่ปรึกษาหารือกับไท่ฮูหยินหรืออย่างไรกัน
*****
สวีลิ่งอี๋นั่งลงบนเตียงเตาที่ยังหลงเหลือความอุ่นอยู่นั้น ความรู้สึกตึงเครียดก็ค่อยๆ ผ่อนคลายลง ชาที่หอมกรุ่นไปถึงก้นบึ้งของหัวใจ ใบหน้าของเขาเผยให้เห็นสีหน้าท่าทางที่พึงพอใจ แต่เมื่อมองไปยังแววตาที่ฉงนสงสัยของสืออีเหนียง และนึกไปถึงเด็กคนนั้นที่อยู่ในเรือนปั้นเย่ว์พั่น เขาก็อดไม่ได้ที่จะเผยสีหน้าอึดอัดใจออกมา
“สืออีเหนียง” เขาจ้องมองนางด้วยแววตาที่จริงจัง น้ำเสียงดูครุ่นคิดและไตร่ตรอง “ตอนนั้นข้าโมโหจนเลอะเลือน เรื่องเกี่ยวกับเด็ก ไม่ได้พิจารณาดีๆ ข้าคิดเพียงแต่ว่า ในเมื่อเป็นเด็กของจวนสกุลสวี ก็ไม่ควรจะให้เขาเติบโตในที่ที่สกปรกเช่นนั้น วันข้างหน้าจะกลายเป็นหนึ่งในผู้ขายร่างกายได้…”
สืออีเหนียงอึ้งไปชั่วขณะ
มารดาของเด็กคนนี้มีปัญหาจริงๆ ด้วย!
ส่วนสวีลิ่งอี๋เมื่อเห็นสีหน้าของภรรยาเปลี่ยนไป ก็รู้สึกไม่สบายใจขึ้นมา จึงรีบพูดขึ้นว่า “เรื่องนี้ข้าควรจะปรึกษาหารือกับเจ้าตั้งแต่แรก แต่ตอนนั้นสถานการณ์ค่อนข้างฉุกละหุก มารดาของเด็กจากไปเร็ว ทางฝั่งโน้นปิดบังพวกเราไว้ เพียงเพราะเพื่อเงินเท่านั้น ปีนี้ก็เล่นพนันจนต้องกู้หนี้ยืมสินแบบผิดกฎหมาย จึงตัดสินใจจะขายเด็กและเตรียมตัวหลบหนี หากไม่ใช่เพราะข้าไปทันท่วงที…” ใบหน้าของเขาปรากฏสีหน้าที่เจ็บปวดและขมขื่น “พอเจอข้าแล้วยังกล้าเอะอะโวยวาย กลัวก็แต่คนที่รับซื้อเด็กจะมีเจตนาอย่างอื่น และกลัวว่าเรื่องราวจะถูกเผยแพร่ออกไปยากที่จะควบคุมได้ จึงทำได้เพียงอุ้มกลับมาที่นี่ชั่วคราวเท่านั้น…”
สวีลิ่งอี๋อุ้มเด็กคนหนึ่งกลับมาทั้งๆ อย่างนี้ ไม่มีคำอธิบายใดๆ แม้แต่คำเดียว สืออีเหนียงเองจึงรู้สึกไม่ค่อยสบายใจเท่าไรนัก แต่ตอนนี้เมื่อเห็นเขายอมก้มหัว และเรื่องก็มาจนถึงตอนนี้แล้ว ก็ไม่ควรจะทำให้เขาลำบากใจ จะเป็นคนดีก็ต้องเป็นตั้งแต่ต้นจนจบ จึงยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า “อารมณ์จิตใจของท่านโหวข้าพอจะจินตนาการได้ ไม่ว่าอย่างไร ก็ยังเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของตระกูลตัวเอง หากรับมาเลี้ยงดูดีๆ แม้ว่าจะไม่ได้พาเข้าวงศ์สกุล อย่างน้อยๆ ก็ขอให้มีข้าวกิน แต่หากไปตกระกำลำบากเพราะเรื่องนี้ ก็คงจะรู้สึกปวดใจอย่างมิอาจเลี่ยงได้”
สวีลิ่งอี๋ได้ยินน้ำเสียงของนางผ่อนคลายลง เขาจึงถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก “ฮูหยินพูดได้ถูกต้องที่สุด”
สืออีเหนียงกลับกำลังครุ่นคิดเรื่องอื่น
เขาตัดสินใจทำไปก่อนแล้วค่อยมาอธิบายภายหลัง ก็คงจะหนีไม่พ้นเหตุผลที่ว่าความเชื่อใจที่เขามีต่อนางนั้นมีขีดจำกัด มิเช่นนั้น ก็คงจะอธิบายให้กระจ่างตั้งแต่ครั้งแรกที่พาเด็กมาให้ตนแล้ว จากสถานการณ์ตอนนี้ ต้นฤดูใบไม้ผลิปีหน้านางก็จะรับตำแหน่งเป็นผู้ดูแลหลักแล้ว เมื่อถึงเวลา งานการก็จะเยอะกว่านี้เป็นหลายเท่า อาจจะมีความเกี่ยวข้องหรือไปทำลายผลประโยชน์ผู้หลักผู้ใหญ่ในเรือนก็เป็นได้ ตนเป็นภรรยาที่มาแทนคนก่อน อีกทั้งยังเป็นบุตรีอนุ เหนือศีรษะยังมีไท่ฮูหยิน เป็นไปได้ยากมากที่นางจะสามารถควบคุมเหล่าบรรดาป้ารับใช้ที่เป็นผู้ดูแล ทำได้เพียงเอาชนะด้วยความสามารถล้วนๆ แต่เมื่อมาจนถึงตำแหน่งนี้ ใช้ความสามารถได้เพียงแค่สามส่วนเท่านั้น สำคัญก็ตรงที่ว่าไท่ฮูหยินและสวีลิ่งอี๋จะสนับสนุนตนหรือไม่ ช่วงเวลาที่ผ่านมานี้ตนได้สังเกตอย่างละเอียดถี่ถ้วน หากอยากที่จะได้รับการสนับสนุนจากไท่ฮูหยิน ก็จะต้องได้รับการสนับสนุนจากสวีลิ่งอี๋เสียก่อน และหากอยากได้รับการสนับสนุนจากสวีลิ่งอี๋ ก็จะต้องทำให้เขานั้นพึ่งพาตนอย่างสนิทใจ โดยที่ไม่มีข้อยกเว้นใดๆ ทั้งสิ้น มิเช่นนั้น หากมีอะไรขัดแย้งกัน ก็ต้องมานั่งอธิบายกันยกใหญ่ และถึงแม้ว่าสวีลิ่งอี๋จะไม่เหนื่อย แต่นางนั้นจะเหนื่อยเอาได้ รอดูปฏิกิริยาตอบสนองของเขา หากสำเร็จได้ก็ดี แต่หากไม่สำเร็จ วันข้างหน้านางก็รู้แล้วว่าจะต้องอยู่ร่วมกันกับสวีลิ่งอี๋อย่างไร
เมื่อตัดสินใจแน่วแน่ ก็ยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นมาทันทีว่า “ข้าก็เพียงแต่เป็นห่วงเท่านั้น เพราะอย่างไรเสียเด็กคนนี้ก็ไม่ใช่บุตรชายของท่านโหว เราไม่ถามความเห็นจากคุณชายห้าแล้วมาตัดสินใจแทนเจ้าตัวทุกอย่าง…เกรงว่า ความประสงค์ดีอาจกลายเป็นเจตนาร้ายได้”
สิ้นเสียงพูดของนาง สวีลิ่งอี๋ก็ตกตะลึงเป็นอย่างมาก
เขาอึ้งจนตาค้าง ตาชั้นเดียวจ้องมองมายังใบหน้าของนาง “เจ้า…”
ยังไม่ทันจะได้เอ่ยปากพูดอะไร
สืออีเหนียงก็หันไปยิ้มให้กับสวีลิ่งอี๋พร้อมพูดขึ้นว่า “อย่างอื่นข้าไม่กล้าพูด แต่หากขึ้นชื่อว่าเป็นบุตรของท่านโหว แม้ว่าจะไม่ดีอย่างไร ท่านโหวก็จะดูแลอย่างทั่วถึงโดยไม่ให้ขาดตกบกพร่อง แน่นอนว่าคงจะไม่มีใครกล้าเฆี่ยนตีเขาเช่นนี้เป็นอันขาด…”
สวีลิ่งอี๋ยิ้มเจื่อน สายตาที่จ้องมองไปยังสืออีเหนียงก็ค่อยๆ กลายเป็นชื่นใจขึ้นมา “ข้าหมดคำพูด…”
เขาทอดถอนใจด้วยความโล่งอก
สืออีเหนียงยิ้มขึ้นบางๆ
นางก็พอจะมีโชคอยู่บ้างสินะ
สืออีเหนียงยังคงแสดงบทบาทคนจริงใจคิดแทนผู้อื่นต่อ “ยังมีน้องสะใภ้ห้า จะช้าหรือเร็วเรื่องนี้ก็คงจะไปถึงหูนางอย่างแน่นอน ตอนนี้นางไม่ใช่ตัวคนเดียว ไหนจะลูกในท้องอีก หากเกิดเรื่องขึ้นมา แล้วเราจะไปบอกกล่าวกับทางนายท่านติ้งหนานโหวอย่างไรเล่า…”
“เรื่องนี้เจ้าไม่ต้องเป็นห่วง” สวีลิ่งอี๋พูดขึ้น “วันนี้ข้าไปที่จวนติ้นหนานโหวตั้งแต่เช้าตรู่ อย่างไรเสียเรื่องนี้ก็เป็นเรื่องรักๆ ใคร่ๆ ที่เกิดขึ้นก่อนจะแต่งงาน ถึงแม้ว่าท่านโหวผู้เฒ่ารู้เรื่องนี้แล้วจะไม่ชอบใจ แต่ต่อมาพอได้ยินว่าหลังจากที่น้องห้าแต่งงานกับตานหยางก็ตัดขาดกันอย่างสิ้นเชิง ทางนั้นไม่พอใจก็เพราะเรื่องนี้ ท่านโหวผู้เฒ่าจึงค่อยคลายความโกรธลง ยังออกตัวเรียกข้าไปปรึกษาหารือด้วยตัวเอง ว่าควรปิดบังเรื่องนี้กับตานหยางไว้ก่อนชั่วคราว รอนางคลอดบุตรเสร็จแล้วก็ค่อยว่ากัน”
บุตรเขยไปมีลูกนอกสมรส ท่านผู้เฒ่าไม่เพียงแต่จะไม่ตำหนิกล่าวโทษ กลับรู้สึกดีอกดีใจที่บุตรเขยทำผิดแล้วรู้จักกลับตัวกลับใจ เป็นฝ่ายยื่นมือเข้ามาช่วยบุตรเขยปิดบังบุตรสาวของตนแทน…
ถึงแม้จะรู้ว่าเรื่องนี้เกิดขึ้นจากกระแสสังคมแวดล้อม แต่ลึกๆ ในใจสืออีเหนียงกลับรู้สึกไม่สบอารมณ์เท่าไรนัก
“แต่ทว่า เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าเด็กคนนี้เป็นบุตรชายของน้องห้า” สวีลิ่งอี๋หันไปจ้องมองนางด้วยความรู้สึกสนอกสนใจ สีหน้าท่าทางของเขาผ่อนคลาย ราวกับว่ากำลังคุยกับสหายเก่าอย่างไรอย่างนั้น ในเมื่อภรรยาของตนฉลาดจนถึงขั้นสามารถคาดเดาข้อเท็จจริงได้ ตนจะมาปั้นหน้าปั้นตาวางมาดขรึมเหมือนพี่น้องต่อหน้านางก็ดูจะไม่สมเหตุสมผลและไม่เป็นประโยชน์อีกต่อไป “ข้ายังได้กำชับน้องห้าโดยเฉพาะ เรื่องนี้ข้าช่วยเขาจัดการไปแล้ว เขาควรจะทำสิ่งใดก็ไปทำเสีย ข้ายังเป็นห่วงว่าในใจของเขาจะรู้สึกกลัว ก็เลยพยายามเก็บอารมณ์ไม่ไปโมโหใส่เขา…” ถึงแม้ว่าจะพูดเช่นนี้ แต่พอพูดถึงเรื่องนี้ขึ้นมาสีหน้าของเขาก็ยังคงหม่นหมองไป
“เด็กมีหน้าตาเหมือนคนจวนสกุลสวีไม่มีผิด” สืออีเหนียงพูดขึ้น “คุณชายสามเป็นคนมีคุณธรรมไม่นอกลู่นอกทาง แน่นอนว่าคงจะทำเรื่องพวกนี้ออกมาไม่ได้ ส่วนคุณชายสี่ของเรานั้นก็เป็นคนจิตใจสูงส่งสง่าผ่าเผย หากไปถูกใจคุณหนูจวนใดเข้าก็ยังพอจะเป็นไปได้หน่อย…” สืออีเหนียงพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเย้าหยอกเพื่อเอาใจเขา “ถ้าอย่างนั้น ก็คงจะเป็นคุณชายห้าแล้ว”
เขามองใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มที่ยั่วเย้าของนาง จู่ๆ สวีลิ่งอี๋ก็นึกถึงเฉียวเหลียนฝังขึ้นมา
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเหตุใด จู่ๆ ใบหน้าของเขาก็แดงก่ำ พลางอธิบายขึ้นมาอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย
“…ตอนนั้นข้าดื่มสุราไปค่อนข้างมาก อีกทั้งยังอยู่ในจวนของตัวเอง ก็เลยไม่ได้ระวังอะไรมากมาย…ต่อมาก็ได้ยินเสียงสตรีคุยกันอยู่นอกห้องโถง ได้ยินเหมือนว่ากระโปรงถูกเกี่ยวจนขาดวิ่น…สาวใช้ก็เลยพาคนผู้นั้นมาเปลี่ยนกระโปรงตรงที่ที่ข้าอยู่…ตอนนั้นข้าคิดเพียงว่าคนที่สามารถมาที่เรือนเล็กได้คงจะต้องเป็นคนในจวนอย่างแน่นอน คนผู้นั้นได้เข้ามาในเรือน และสาวใช้ก็ได้ออกไปแล้ว หากข้าส่งเสียงออกไป ก็กลัวว่าคนผู้นั้นคงจะอับอายและทำตัวไม่ถูก ก็เลยรีบไปหลบอยู่หลังฉากบานพับ ในใจคิดแค่ว่ารอให้คนผู้นั้นเปลี่ยนชุดเสร็จแล้วออกไปก่อน ก็จะไม่มีเรื่องอันใดเกิดขึ้น แต่ใครจะไปรู้ว่าจู่ๆ เฉียวอี๋เหนียงจะร้องอุทานตกใจขึ้นมา…ข้าที่หลบอยู่หลังฉากบานพับจึงจำใจต้องออกมาแสดงตัว จู่ๆ ด้านนอกก็มีเสียงฝีเท้าดังขึ้น ข้าก็เลยไม่ทันยั้งคิด กระแอมเสียงดังออกไป เพื่อจะให้คนที่อยู่ข้างนอกตกใจแล้วไม่กล้าเข้ามา เหตุการณ์ต่อจากนั้น เจ้าเองก็รู้แล้ว…”