เซี่ยอวิ๋นจิ่นเห็นนางยิ้มก็ยิ้มตาม ยกมือตบลงข้างเตียง กล่าวว่า “เจียวเจียวรีบมานอน”
ลู่เจียวเอ่ยเตือนเขา “ข้ารับปากแค่ให้โอกาสเราสองคนอยู่ร่วมกัน ดูว่าพวกเราสองคนเหมาะสมกันไหม ดังนั้นวันหน้าอย่าเกินขอบเขต ไม่งั้นอย่าหาว่าข้าคืนคำที่กล่าวไว้ก่อนหน้านี้”
เซี่ยอวิ๋นจิ่นรีบทำสีหน้าจริงจัง กล่าวว่า “ข้ารู้แล้ว วันหน้าไม่ทำแบบนี้แล้ว ที่คืนนี้ให้เจ้าอยู่ด้วยก็เพราะข้าบาดเจ็บ อยากให้เจ้าอยู่เป็นเพื่อนข้า”
กล่าวจบก็เงียบไป
ชายหนุ่มรูปงามกระจ่างมีสีหน้าเงียบสลดลง แลดูเศร้าสร้อยอย่างมาก เขานอนเงียบๆ บนเตียง ใครเห็นก็ย่อมรู้สึกทนไม่ได้ ลู่เจียวไม่ทันรู้ตัวเลยว่าใจตนเองอ่อนยวบแล้ว
“เอาละ ครั้งหน้าอย่าทำอีก”
แววตาดำขลับเซี่ยอวิ๋นจิ่นวูบไหวมีรอยยิ้ม พร้อมกับเงยหน้ามองลู่เจียวรับรองแข็งขันว่า “เจียวเจียว เจ้าวางใจ วันหน้าข้าจะไม่ทำอะไรเกินขอบเขต ไม่เอ่ยขอเรื่องที่ไม่ควร”
“อืม”
ลู่เจียวไม่พูดอีก เอนลงนอนข้างกายเขา
เซี่ยอวิ๋นจิ่นค่อยๆ ยื่นมือไปคว้ามือลู่เจียวไว้เหมือนเดิม ลู่เจียวหันหน้าไปทำหน้าสีหน้าเคร่งเครียดใส่เขา “เพิ่งพูดเมื่อครู่ว่าวันหน้าอย่าทำผิดอีก”
เซี่ยอวิ๋นจิ่นกล่าวอย่างสบายๆ ว่า “ที่ข้าพูดเริ่มต้นพรุ่งนี้”
สีหน้าลู่เจียวไร้วาจาจะกล่าว มองเขาแล้วสุดท้ายก็ไม่ได้ว่าอะไร ปล่อยให้เขากุมมือไป
นางค่อยๆ หลับตาลง แต่กลับนอนไม่หลับ ในสมองมีแต่ภาพในภพก่อนลอยขึ้นมาในห้วงความคิดเป็นฉากๆ นางพลันรู้สึกอยากจะระบายความรู้สึกนี้ออกมา ดังนั้นจึงเอ่ยเล่าขึ้น
“ความจริงข้ากับเจ้าไม่ต่างกันมาก ในภพก่อนท่านพ่อท่านแม่ข้าไม่รักกัน พวกเขาเป็นคู่แต่งงานด้วยสายสัมพันธ์ของสองวงศ์ตระกูล พอมีข้าไม่นาน ทั้งสองคนก็หาคนที่ชอบได้ จากนั้นก็พวกเขาสองคนก็แยกทางกัน”
เซี่ยอวิ๋นจิ่นคิดไม่ถึงว่าลู่เจียวอยู่ๆ เล่าเรื่องภพก่อนให้เขาฟัง เขาหันหน้าไปมองลู่เจียวเงียบๆ ไม่พูดอะไร ตั้งใจฟัง
ตอนได้ยินคำว่าแยกทาง ก็อดถามอย่างแปลกใจไม่ได้ว่า “แยกทาง?”
ลู่เจียวหันหน้าไปมองเขาอธิบายกล่าวว่า “ก็คือหย่ากัน”
เซี่ยอวิ๋นจิ่นมองลู่เจียวแล้วก็อดสงสารนางไม่ได้ ที่แท้นางที่มองโลกแง่ดีถึงกับมีสภาพครอบครัวเหมือนกับเขา แต่นางกลับโตมาได้ดีเช่นนี้
เซี่ยอวิ๋นจิ่นอยากยื่นมือไปคว้าลู่เจียวมาปลอบใจ แต่คิดถึงคำเตือนนางขึ้นมาก็ได้แต่อดใจได้
ลู่เจียวเล่าต่อว่า “ตอนนั้นข้าอายุแค่เท่าไรเอง เห็นพวกเขาแยกทางกัน เห็นพวกเขาทะเลาะกัน เห็นพวกเขาแต่ละคนไม่ต้องการข้า สุดท้ายทั้งสองคนหารือกันแล้วก็ส่งข้าไปโรงเรียนประจำ”
ลู่เจียวกล่าวถึงตรงนี้ก็อธิบายว่า “โรงเรียนประจำก็คือโรงที่มีที่อยู่และที่กินให้ เดือนหนึ่งกลับบ้านได้ครั้งหนึ่ง”
“ผู้อื่นกลับเดือนละครั้ง แต่ข้าครึ่งปีกลับหนึ่งครั้งเพราะไม่มีที่ไป ตอนปิดเทอมหน้าหนาว พวกเขาก็ผลักไสกันไปมา ไม่ต้องการข้าสักคน”
“โรงเรียนพวกเราหน้าร้อนหน้าหนาวก็จะปิดเทอม หน้าร้อนปิดเทอมห้าสิบกว่าวัน หน้าหนาวปิดยี่สิบกว่าวัน”
ลู่เจียวอธิบายจบก็เล่าต่อว่า “ปิดเทอมหน้าหนาวหน้าร้อนข้าต้องไปอยู่บ้านญาติ แม้ว่าพวกเขาไม่กล้าบอกข้าตรงๆ แต่แอบคุยกันลับหลังว่าข้าก็คือเด็กที่พ่อแม่ไม่ต้องการ เป็นหนอนที่น่าสงสาร”
ตอนนี้ลู่เจียวมาเล่าเรื่องนี้ได้ด้วยจิตใจที่สงบนิ่งอย่างมาก ไม่เหมือนเมื่อก่อนที่พอเล่าถึงเรื่องนี้ ในใจก็จะเจ็บปวดเสียใจอย่างมาก
“ตั้งแต่ประถมจนมัธยม เรียนต่อมัธยมปลาย ไปจนมหาวิทยาลัย ข้าก็ตัวคนเดียวมาตลอด ต่อมาตอนเรียนมหาวิทยาลัยได้เรียนวิชาการแพทย์ พอจบก็ได้เข้าเป็นหมอทหารในกองทัพ”
ลู่เจียวเล่าเรื่องราบเรียบ เซี่ยอวิ๋นจิ่นมองนางอย่างตกใจ “ที่แท้เจียวเจียวเป็นหมอทหาร”
มิน่าแต่ไรมานิสัยนางจึงได้เด็ดขาดและจิตใจดี ชอบช่วยคนอ่อนแอ ที่แท้เพราะเป็นหมอทหาร
หมอทหาร!
เซี่ยอวิ๋นจิ่นคิดถึงสถานะลู่เจียวภพก่อนก็อดเลื่อมใสไม่ได้ แต่พอคิดถึงนางที่ดีงามเช่นนี้ กลับมีบิดามารดาไร้คุณธรรมเช่นนั้น ก็อดเจ็บปวดใจไปกับนางไม่ได้
แม้ว่าเขาไม่มีบิดามารดาให้ความรัก แต่พี่รองก็ดูแลเขามาตลอด เขามีพี่รองเป็นเพื่อนมาตลอด ส่วนนางเติบโตมาด้วยตัวคนเดียวมาตลอด นางอายุน้อยขนาดนั้นต้องโดดเดี่ยวเงียบเหงาขนาดไหนกัน
เซี่ยอวิ๋นจิ่นพลันยื่นมือออกไปกอดลู่เจียว ลู่เจียวอึ้งไปครู่หนึ่งแล้วก็เริ่มดิ้นรน
เซี่ยอวิ๋นจิ่นปลอบนางอย่างแผ่วเบาอ่อนโยน “อย่าขยับ ให้ข้ากอดเจ้า หากเป็นไปได้ อยากกลับไปตอนเจ้าเป็นเด็ก ไปเป็นเพื่อนเจ้าแทนบิดามารดาเจ้าเสียจริง”
วาจานี้กระทบใจลู่เจียวทันที นางยอมนิ่งอยู่ในอ้อมกอดเซี่ยอวิ๋นจิ่น รับรู้ความอบอุ่นในห้วงเวลานี้
ไม่รู้ว่าเพราะอ้อมกอดนี้สบายมากหรือว่านางโหยหาความรู้สึกเช่นนี้ สุดท้ายถึงกับหลับอยู่ในอ้อมกอดเซี่ยอวิ๋นจิ่น
เซี่ยอวิ๋นจิ่นก้มหน้าลงมองนาง ค่อยๆ เม้มปากยิ้มเล็กน้อย ก่อนจะก้มลงจุมพิตหน้าผากนาง
“เจียวเจียว วันหน้าข้าจะรักเจ้า ทั้งชีวิตของเจ้านี้ ข้าจะไม่ทำให้เจ้าเสียใจ”
ในห้องทั้งสองคนนอนโอบกอดกันงดงามราวภาพวาด
วันรุ่งขึ้น ลู่เจียวตื่นมาก็เห็นผู้ชายข้างกายกำลังนอนเท้าแขนมองนาง ดวงตาดำขลับเต็มไปด้วยความอ่อนโยนรักใคร่
ลู่เจียวเห็นท่าทางเขาเช่นนี้ แก้มก็อดร้อนผ่าวไม่ได้ คิดถึงเมื่อคืนตนเองนอนอยู่ในอ้อมกอดเขา นางก็ยิ่งเขินอาย
เราสองคนพัฒนาเร็วไปหน่อยไหม
ลู่เจียวครุ่นคิดแล้วก็รีบพลิกตัวลุกลงจากเตียง
เซี่ยอวิ๋นจิ่นด้านหลังเม้มปากยิ้ม เจียวเจียวเขินอายน่ารักจริง ตอนนี้เขาเข้าใจแล้วว่าที่นางเขินอายเพราะแต่ไรมาไม่เคยมีคนรักนาง ดังนั้นนางไม่รู้ว่าจะรับมืออย่างไร
ลู่เจียวไปเรือนด้านหลังล้างหน้าล้างตาเสร็จก็สงบนิ่งขึ้นมาก
นางมาจากโลกปัจจุบัน จะกลัวคนโบราณเกี้ยวพาราสีหรือ ครั้งหน้าเขามาทำเกี้ยวพาราสีนางอีก นางก็จะเกี้ยวพาราสีเขาคืน
ในใจลู่เจียวคิดอย่างรู้สึกเคืองใจอย่างมาก
เพราะเซี่ยอวิ๋นจิ่นบาดเจ็บ ดังนั้นลู่เจียวจึงพาเจ้าหนูน้อยทั้งสี่มาเรือนด้านหน้ากินข้าวเป็นเพื่อนเซี่ยอวิ๋นจิ่น
ตอนกินข้าว เจ้าหนูน้อยทั้งสี่เห็นความสัมพันธ์ระหว่างท่านพ่อกับท่านแม่ไม่เหมือนเดิมอย่างเห็นได้ชัด แววตาท่านพ่อมองท่านแม่มีแต่รอยยิ้มเต็มเปี่ยม และท่านแม่เองก็เหมือนว่าเขินอาย
ไม่ค่อยได้เห็นท่านแม่เป็นเช่นนี้ เจ้าหนูน้อยทั้งสี่มองแล้วมองอีกอย่างรู้สึกแปลกใจมาก
ลู่เจียวเห็นเจ้าหนูน้อยทั้งสี่มองนางอยู่ตลอด ก็อดแค่นเสียงฮึไม่ได้ “มองอะไรกัน”
“ท่านแม่ ท่านแม่เหมือนกำลังเขินอายไหมนะ”
แต่ไรมาเอ้อร์เป่าก็เป็นคนคิดอะไรก็พูดออกมา ไม่ค่อยคิดอะไร
ลู่เจียวค้อนใส่เขาทันที กล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “เด็กน้อยจะไปเข้าใจเรื่องเขินอายอะไรกัน ข้าเป็นผู้ใหญ่ขนาดนี้แล้วจะเขินอายอะไรกัน”
ต้าเป่าข้างๆ เอ้อร์เป่าแต่ไรมาเป็นเด็กเฉลียวฉลาด รีบรับคำกล่าวว่า “ใช่ ท่านแม่ไม่ได้เขินอาย เจ้าอย่าพูดจาเหลวไหล”
เอ้อร์เป่าร้องอ้อเสียงยาว คิดจะพูดต่อ
ลู่กุ้ยเดินเข้าประตูมาอย่างร้อนใจ รายงานว่า “พี่เจียว พี่เขย มือปราบจ้าวมา”
เซี่ยอวิ๋นจิ่นได้ยินว่ามือปราบจ้าวมาก็รู้ว่าน่าจะมีเรื่องสำคัญอะไร ให้ลู่กุ้ยพาเจ้าหนูน้อยทั้งสี่ไปเตรียมเรียนหนังสือที่ห้องฝั่งตะวันออก
เจ้าหนูน้อยทั้งสี่ก็ตามลู่กุ้ยไปเรียนหนังสืออย่างเชื่อฟัง