เวลาที่ฟ้าสว่างจ้า หลิวเวยตื่นขึ้นจากบนเตียง เสียงฝีเท้าดังขึ้นจากภายนอกม่าน
จากนั้นมันถูกเปิดออก “เวยเวย เจ้าตื่นแล้ว”
การกระทำหยาบคายนี้ไม่ใช่สาวรับใช้ของนาง หากแต่เป็นพี่อาอวิ้น
แน่นอน การกระทำพี่อาอวิ้นก็ใช่ว่าไร้มารยาท ตอนที่นางอยู่จวนของท่านยาย นางพักด้วยกันกับ
อาอวิ้น เพียงแค่อาอวิ้นตื่นแล้ว ไม่ว่าเช้าเพียงใดก็จะปลุกนางให้ตื่นด้วย ไม่ใช่รอนางตื่นเหมือนเวลานี้
“พี่อาอวิ้น” หลิวเวยขยี้ตาเบาๆ “เวลาใดแล้ว”
อาอวิ้นหัวเราะอารมณ์ดี นางแขวนม่านขึ้นด้านบน แสงอาทิตย์ในช่วงปลายของฤดูใบไม้ร่วงสาดเข้ามาที่เตียง “เจ้านอนเก่งเสียจริง” ก่อนจะนั่งลงข้างเตียงถามด้วยความเป็นห่วง “เมื่อวานเล่นกับคุณหนูตันจูเหน็ดเหนื่อยเกินไปหรือไม่ นางคงไม่ได้ให้เจ้าเล่นชนมุมด้วยใช่หรือไม่”
พูดพลางเลิกแขนเสื้อบางของนางขึ้นอย่างระวังเพื่อตรวจดู
หลิวเวยยิ้มพร้อมสะบัดนางออก นางลุกขึ้นนั่งพร้อมผ้าห่ม “ที่ใดกัน คุณหนูตันจูไม่เล่นสิ่งนี้ พวกข้าแค่นั่งกินดื่ม เล่นไพ่ ทาเล็บอยู่ริมบ่อน้ำ” นางยื่นมือทั้งสองข้างออกมา “สีนี้พบเห็นได้น้อยใช่หรือไม่”
อาอวิ้นจับนิ้วของนางขึ้นมาดู “เมื่อวานตอนที่เจ้ากลับมา ข้ายังไม่ทันสังเกต”
“เมื่อวานสีอ่อนมาก” หลิวเวยยิ้ม พร้อมพินิจขึ้นมา “คุณหนูตันจูบอกว่าน้ำมันนี้มีเพิ่มสมุนไพรชนิดหนึ่ง สามารถทำให้สีเข้มขึ้นก่อนจะจางลง เป็นอย่างที่ว่าไว้จริงด้วย”
อาอวิ้นมองเล็บที่เพิ่งย้อมใหม่ พึมพำ “คุณหนูตันจูทาเล็บเป็นด้วย”
หลิวเวยผลักนางพลันหัวเราะ “คุณหนูตันจูยังเป็นเด็กสาวอยู่” อีกทั้งยังเด็กกว่าพวกนางสองปี เป็นเวลาที่รักการแต่งตัวที่สุด เฮ้อ…
“เอาเถิด รีบลุกขึ้นมากินข้าวเถิด” อาอวิ้นดึงนางขึ้นมา “ท่านแม่ข้ากับท่านป้ากำลังรอเจ้าอยู่”
เมื่อได้ยินว่ามารดากำลังรออยู่ หลิวเวยรีบลุกขึ้น นางเรียกสาวรับใช้มาสางผมเปลี่ยนชุดอย่างรีบร้อน “พี่อาอวิ้นท่านควรจะปลุกข้า”
อาอวิ้นยิ้มอยู่ด้านข้าง ก่อนหน้านี้ตนเองมักปลุกนางให้ตื่น ถึงแม้นางจะไม่พอใจก็ไม่เคยบ่น แต่เวลานี้ไม่ปลุกนางกลับต้องถูกบ่นเสียแล้ว
หลิวเวยเดินตามอาอวิ้นมาหามารดา จวนของตระกูลเฉาไม่เล็กนัก เพียงแต่ยากที่จะปกปิดความเก่าและผุพัง คนในตระกูลเฉามีน้อย ท่านทวดจากไปเร็ว ท่านปู่หลงใหลในอบายมุข ไม่เพียงแต่สูญเสียตำแหน่งหมอหลวง ยังสูญเสียสมบัติตระกูล หากไม่ใช่ท่านยายที่คอยสนับสนุนน้องชายคนนี้ จวนหลังนี้และร้านยาคงจะขายไปนานแล้ว ท่านแม่และท่านพ่อเปิดร้านยาขึ้นมาใหม่ แต่พวกท่านก็ไม่มีแรงใจเหลือในการซ่อมแซมจวนหลังนี้ให้กลับไปเป็นเหมือนเคย
ท่านยายบอกว่าต่อจากนี้ต้องพึ่งนางและสามีของนางแล้ว
ดังนั้น ไม่อาจหาบุตรหลานตระกูลเล็กเหมือนดั่งท่านพ่อได้อีก
“เวยเวยมาแล้ว” ฮูหยินรองตระกูลฉางพูดด้วยรอยยิ้มจากภายในห้อง
หลิวเวยและอาอวิ้นเดินเข้าไปคำนับ มารดาของหลิวเวยอายุสามสิบกว่า นิสัยเหมือนหลิวเวย อ่อนโยนอย่างมาก เวลานี้พูดตำหนิเล็กน้อย “เหตุใดจึงตื่นสายเช่นนี้”
ฮูหยินรองตระกูลฉางพูดด้วยรอยยิ้ม “เที่ยวเล่นด้านนอกคงจะเหน็ดเหนื่อย” พลางกวักมือเรียกให้หลิวเวยนั่งลงข้างกาย ลูบหัวไหล่ของนาง “โดยเฉพาะกับคุณหนูตันจู”
มารดาของหลิวเวยไม่พูด เพียงแค่สั่งให้จัดวางอาหาร แม่ลูกทั้งสองคู่กินข้าว ระหว่างนี้สนทนากันอย่างสนุกสนานกลมเกลียว
ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ท่านแม่กลมเกลียวกับฮูหยินตระกูลฉางนานเพียงนี้ ภายในใจของหลิวเวยย่อมรู้สาเหตุเป็นอย่างดี
“เวยเวย เวลานี้คุณหนูตันจูสิ้นสุดการกักบริเวณแล้ว” ฮูหยินรองตระกูลฉางถาม “เรื่องนี้ถือว่าผ่านไปแล้วหรือไม่ ฮองเฮาไม่ติดใจเอาความแล้วหรือไม่”
มารดาของหลิวเวยพูด “นางจะรู้ได้…”
พูดยังไม่ทันจบ หลิวเวยพยักหน้า “คงไม่เป็นอันใดแล้ว เมื่อวานตอนที่ข้าอยู่กับคุณหนูตันจู องค์หญิงให้นางในมาส่งขนมให้คุณหนูตันจูด้วย”
องค์หญิงยังไปหามาสู่กับคุณหนูตันจูอยู่ เห็นได้ชัดว่าเรื่องนี้ผ่านไปแล้ว ฮูหยินรองตระกูลฉางโล่งอกในที่สุด ก่อนจะเชื้อเชิญอีกครั้ง “ท่านแม่ยังคงกังวลอยู่ในจวน ท่านพี่ ท่านกลับจวนไปกับข้าเถิด”
มารดาของหลิวเวยพยักหน้า รู้ว่าท่านป้าคิดถึง ครานี้หลิวเวยไม่ได้ปฏิเสธอีก
ฮูหยินรองตระกูลฉางพูดอย่างดีใจ “พวกเราเตรียมตัวแล้วออกเดินทางกัน” ก่อนจะหยุดลง “ข้าไปบอกกับพี่เขยก่อน ตอนที่มาท่านแม่กำชับไว้ ต้องเชิญพี่เขยกลับไปด้วย”
หลิวเวยคิด เวลานี้ไปตระกูลฉาง ท่านพ่อย่อมไม่ถูกเมินเหมือนก่อนหน้านี้อย่างแน่นอน
แต่ว่า หลิวจั่งกุ้ยปฏิเสธฮูหยินรองตระกูลฉางไป
“เวลานี้ร้านยาขายดี ข้าไม่กล้าจากไปไกล” เขาพูด “อีกทั้ง อาจมีบุตรของสหายกำลังจะมา”
บอกว่าบุตรของสหาย ดวงตาของหลิวจั่งกุ้ยปรากฏรอยยิ้มและความคาดหวัง แต่อีกสี่คนที่เหลือล้วนมีสีหน้าไม่ดีนัก หลิวเวยก้มหน้าต่ำลง เผยให้เห็นลำคอขาว ราวกับดอกไม้ที่คล้อยตัวลงท่ามกลางลมและสายฝน
หากเป็นเวลาอื่น ฮูหยินรองตระกูลฉางคงต้องพูดอะไรบางอย่าง แต่ว่าเวลานี้ นางทำได้เพียงแค่นยิ้มออกมา “ได้ เช่นนั้น เช่นนั้นข้าพาท่านพี่และเวยเวยกลับไปแล้ว”
มารดาของหลิวเวยเหลือบมองสามี ถึงแม้จะมีความไม่พอใจเล็กน้อย แต่นางก็รู้ถึงความสัมพันธ์ระหว่างสามีกับสหายท่านนั้น ทำได้เพียงถอนหายใจ “สามหลาง เจ้าอย่าลืมสัญญาที่เจ้าให้ไว้ต่อข้า หากเขามาแล้วเจ้าต้องบอกกับเขาให้กระจ่าง”
หลิวจั่งกุ้ยมองภรรยาด้วยสายตาไม่พอใจ รีบพยักหน้า “ข้ารู้ พวกเจ้าวางใจ” เขามองไปยังหลิวเวย
หลิวเวยก้มหน้าไม่กล้ามองบิดา
บรรยากาศที่รื่นเริงในเดิมทีอึดอัดขึ้นมาชั่วขณะ
อาอวิ้นจับมือของหลิวเวยเอาไว้ “พวกเราไปกันเถิด” ทำลายบรรยากาศอึดอัดนี้
หลิวจั่งกุ้ยส่งพวกนางออกจากจวนไป ทั้งคนทั้งสัมภาระบนรถม้าสี่คันเคลื่อนตัวไปอย่างช้าๆ
หลิวเวยและอาอวิ้นนั่งอยู่บนรถคันเดียวกัน เมื่อขึ้นรถนางเห็นหลิวเวยยังคงก้มหน้าต่ำ จึงยื่นมือผลักนางเบาๆ “เจ้าอย่าเสียใจเลย ท่านพ่อของเจ้าบอกแล้วว่าจะถอนหมั้นให้เจ้า”
หลิวเวยเงยหน้าขึ้น มีน้ำตาในดวงตา “ตอนที่ยังไม่มีข่าวของเขา ท่านพ่อยินยอมให้ข้าหาคู่หมั้นหมายใหม่ แต่เมื่อได้ยินข่าวของเขา ท่านก็รีบถอนการหมั้นหมายของข้าทันที เวลานี้บอกว่าจะถอนการหมั้นหมายกับเขา เมื่อรอพบเขา หากเขาทั้งร้องไห้ทั้งร้องขอ ท่านพ่อต้องกลับคำอีกเป็นแน่”
อาอวิ้นถอนหายใจ ทันใดนั้นดวงตาเป็นประกาย “เวยเวย เวลานี้เจ้าไม่เหมือนแต่ก่อนแล้ว เจ้าไปมาหาสู่กับคุณหนูตันจูและองค์หญิง อีกทั้งพวกนางยังปฏิบัติต่อเจ้าอย่างดีมาก เมื่อถึงเวลาให้พวกนางออกหน้า การถอนหมั้นก็เป็นเพียงเรื่องง่าย”
หลิวเวยหยุดร้องไห้ สีหน้าลังเล “พวกนางก็เป็นสตรี เรื่องเช่นนี้…”
“เพราะว่าเป็นสตรี จึงกระจ่างความยากลำบากและไม่เป็นธรรมของเจ้ามากกว่า” อาอวิ้นเขย่าแขนของนาง “ถึงแม้จะไม่อาจพูดกับองค์หญิงได้ แต่ให้คุณหนูตันจู…คุณหนูตันจูไม่ต้องบอกกับท่านพ่อเจ้า แต่ให้นางไล่ชายผู้นั้นไปก็พอแล้ว”
คุณหนูตันจูตีคน ข่มขู่คนไม่ใช่เรื่องประหลาดอันใด อีกทั้งยังก่อเรื่องเป็นประจำ ยิ่งไม่ต้องพูดเรื่องการช่วยเหลือสหาย…
คุณหนูตันจูเป็นคนที่มีคุณธรรมอย่างมาก หลิวเวยไม่พูด แต่หวั่นไหวเล็กน้อย เรื่องนี้สามารถขอความช่วยเหลือจากคุณหนูตันจูได้จริง…
อาอวิ้นมองออกถึงความคิดของนาง เขย่าตัวนางด้วยรอยยิ้ม “ใช่หรือไม่ ดังนั้น เจ้าไม่ต้องกังวล สิ่งที่เจ้าต้องทำคือคบกับคุณหนูตันจูให้ดี เมื่อถึงเวลาให้คุณหนูตันจูไล่ชายผู้นั้นไป จากนั้นให้องค์หญิงหาคู่หมั้นหมายให้เจ้าอีกคน”
หลิวเวยผลักนางออกด้วยใบหน้าแดงระเรื่อ “อย่าพูดเหลวไหล”
อาอวิ้นปิดปากหัวเราะ
เสียงหัวเราะจากไปตามทิศทางของรถม้าที่เคลื่อนตัวไปยังตงเจียว ในเวลาเดียวกัน รถม้าของเฉินตันจูก็เคลื่อนตัวเข้ามาในเมือง ครานี้นางไม่ได้ไปร้านยาหรือหุยชุนถัง หากแต่เดินทางมายังโรงเหล้าแห่งหนึ่ง
ประตูถูกเด็กในร้านเปิดออกอย่างกล้าๆ กลัวๆ คนที่อยู่ในห้องต่างตกใจไม่น้อย พวกเขามองดูหญิงงามที่ยืนอยู่ด้านนอก
“ตัน ตัน คุณหนูตันจู!”
“พวกข้า พวกข้าไม่ได้ทำเรื่องชั่วร้าย”
“จวนที่ข้าขายล้วนเป็นจวนที่อีกฝ่ายยอมขาย”
“คุณหนูตันจูให้ความเป็นธรรม หากข้ามีการบังคับขู่เข็ญ ขอให้สวรรค์ลงโทษ”
“คุณหนูตันจู ท่านวางใจ หลังจากข้ากลับไป ข้าจะไม่ทำกิจการนี้อีกแล้ว”
ภายในห้องอบอวลไปด้วยเสียงร้องขอและเสียงร้องไห้
คนทั้งหลายเหล่านี้ถูกองครักษ์หน้าตาโหดเหี้ยมหลายคนลักพาตัวจากจวนมา เดิมทีคิดว่าเป็นเพราะคู่แข่งต้องการทำร้ายตน แต่ดูจากเวลานี้ที่แท้ก็เป็นคุณหนูตันจู…สู้ถูกคู่แข่งทำร้ายเสียยังดีกว่า
เฉินตันจูดูอาหารทั้งหมด ก่อนจะเคาะโต๊ะ “ไม่ต้องกลัว ข้ามาหาพวกเจ้า เพราะพวกเจ้าทำการค้านี้ ข้ารู้ว่าพวกเจ้าเป็นมือดีด้านนี้”
เมื่อได้ยินนางพูดเช่นนี้ คนทั้งหลายยิ่งกลัว
“คุณหนูตันจู ท่าน ท่านต้องการสิ่งใด” มีคนถามอย่างใจกล้า
เฉินตันจูมองพวกเขา “ข้าอยากขายจวน พวกเจ้าช่วยคำนวณราคาที่เหมาะสมให้คนหาปัญหาไม่ได้”