ระหว่างเดินกลับเรือน สืออีเหนียงได้ถามสวีลิ่งอี๋ว่า “จวนสกุลจูส่งอะไรมาให้บ้างเจ้าคะ” สืออีเหนียงถามขึ้นด้วยรอยยิ้ม ราวกับว่าสนใจเป็นอย่างมาก
“หนังสือรายการของขวัญอยู่ที่ฝ่ายรายงาน” สวีลิ่งอี๋ให้สาวใช้ที่ติดตามเขาไปเรียกพ่อบ้านไป๋มา “ถามดูก็รู้แล้ว!”
เมื่อครู่นี้พ่อบ้านไป๋เป็นคนสั่งให้บ่าวรับใช้ขนของขึ้นรถด้วยตัวเอง เมื่อได้ยินว่าสวีลิ่งอี๋จะเอาหนังสือรายการของขวัญ จึงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ย้อนกลับไปเอาหนังสือรายการของขวัญกับฝ่ายรายงาน และได้ให้คนค้นหาหนังสือรายการออกมาแล้วรีบตรงไปยังเรือนหลักทันที
“…น้ำตาลทรายขาวสิบชั่ง น้ำตาลทรายแดงสิบชั่ง เม็ดบัวสิบชั่ง เห็ดหูหนูขาวสิบชั่ง เห็ดหูหนูดำสิบชั่ง พริกไทยดำสองชั่ง พริกไทยขาวสองชั่ง…” สืออีเหนียงพูดขึ้นด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้มว่า “ของที่จะใช้ในช่วงเทศกาลปีใหม่มีครบแล้ว เหลือก็แค่ยกหม้อขึ้นเตาเท่านั้น”
สวีลิ่งอี๋เองก็ยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า “ให้ข้าดูหน่อย”
สืออีเหนียงจึงยื่นหนังสือรายการของขวัญให้กับเขา
พ่อบ้านไป๋ที่โค้งตัวอย่างนอบน้อมมาโดยตลอดก็ได้นำหนังสือรายการอีกฉบับออกมาจากแขนเสื้อ “ฮูหยินลองดู นี่เป็นหนังสือรายการของขวัญที่ทางเราส่งมอบกลับไปขอรับ”
ลี่ว์อวิ๋นที่อยู่ข้างๆ รับหนังสือรายการมาแล้วยื่นให้กับสืออีเหนียง สืออีเหนียงก็ได้เปิดหนังสือฉบับนั้นออกมาดู “…ขนมหลูต๋ากุ่นสิบชั่ง ขนมถั่วลันเตาเหลืองกวนสิบชั่ง ขนมฝูหลิงสิบชั่ง ผลไห่ถังเชื่อมสิบชั่ง พุทราเชื่อมสิบชั่ง สาลี่เชื่อมสิบชั่ง…” ล้วนแล้วแต่เป็นของขึ้นชื่อเมืองเยี่ยนจิงทั้งสิ้น แต่ไม่ได้ราคาแพงมากนัก
สืออีเหนียงแอบตกใจเล็กน้อย
พ่อบ้านไป๋ที่คอยแอบสังเกตท่าทีของสืออีเหนียงอยู่ตลอดนั้นก็ได้ยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า “ฮูหยิน ข้าวของที่จวนสกุลจูมอบให้ล้วนแล้วแต่เป็นของขึ้นชื่อทั้งนั้น ในเมื่อผู้อื่นเอาใจใส่ถึงเพียงนี้ หากเรามอบของธรรมดาทั่วไป จะดูเป็นการไม่ค่อยให้ความเคารพเท่าไรนัก ดังนั้นบ่าวจึงตั้งใจจัดเตรียมของขึ้นชื่อเมืองเยี่ยนจิงที่ไม่ต่างกันมากส่งไปให้ทางนั้นโดยเฉพาะ ถือเป็นน้ำใจเล็กๆ น้อยๆ จากทางจวนของเราขอรับ”
สองร้อยตำลึงเงิน…ซื่อเหนียง อู่เหนียง สือเหนียง นางเอง และยังมีพี่ใหญ่ พี่สาม พี่สี่ รวมแล้วก็ราวๆ หนึ่งพันสี่ร้อยตำลึงเงินเห็นจะได้…สืออีเหนียงรู้สึกเหงื่อตกขึ้นมาทันที แต่ทว่าฟังจากน้ำเสียงของพ่อบ้านไป๋ จวนสกุลสวีได้มอบของขวัญตอบกลับอย่างเหมาะสมแล้ว
แต่ต่อหน้าสวีลิ่งอี๋ แน่นอนว่าสืออีเหนียงจะต้องให้หน้าพ่อบ้านไป๋อยู่แล้ว
“พ่อบ้านไป๋จัดการธุระได้อย่างเหมาะสมมาโดยตลอด” สืออีเหนียงยิ้มขึ้นพลางยื่นหนังสือรายการของขวัญคืนให้กับลี่ว์อวิ๋น ลี่ว์อวิ๋นจึงได้นำไปมอบคืนให้กับพ่อบ้านไป๋ด้วยความนอบน้อม “พวกเราพี่น้องอยู่กันคนละที่ มอบของขึ้นชื่อของเมืองดีที่สุด ทั้งสองตระกูลจะได้ลิ้มลองของอร่อยที่สดใหม่”
พ่อบ้านไป๋หันไปมองสวีลิ่งอี๋ด้วยสีหน้าเรียบเฉย ก็เห็นว่าสวีลิ่งอี๋ได้พยักหน้าเบาๆ ในใจก็รู้สึกมีไฟสว่างไสวขึ้นมาทันที
“ฮูหยินชมเกินไปแล้ว ล้วนแล้วแต่เป็นส่วนที่บ่าวสมควรต้องทำทั้งนั้น ทำมานับหลายสิบปีแล้ว จะทำได้ไม่ดีได้อย่างไรขอรับ” เขาตอบกลับคำพูดของสืออีเหนียงด้วยความนอบน้อม
“เจ้าก็อย่าถ่อมตัวจนเกินไป” สวีลิ่งอี๋ยื่นหนังสือรายการของขวัญของจวนสกุลจูให้กับพ่อบ้านไป๋ “เจ้าคู่ควรกับคำกล่าวชมของฮูหยิน”
ใบหน้าของพ่อบ้านไป๋ท่วมท้นไปด้วยรอยยิ้มที่ไม่อาจกลั้นได้ “นี่ล้วนแล้วแต่ทำตามคำชี้แนะของท่านโหวทั้งสิ้น บ่าวถึงได้มีจิตใจที่ละเอียดอ่อนระมัดระวังรอบคอบและมีความรับผิดชอบในหน้าที่ ไม่ทำอะไรผิดพลาดใหญ่หลวงขอรับ”
ดูจากสีหน้าท่าทีแล้ว คำพูดประโยคนี้ เป็นคนที่มีความสามารถไม่น้อยทีเดียว!
สืออีเหนียงแอบชื่นชมในใจเบาๆ
“เจ้ามีจิตใจละเอียดอ่อน ระมัดระวังรอบคอบและมีความรับผิดชอบในหน้าที่ เกี่ยวข้องกับข้าด้วยหรือ” นานๆ ทีที่สวีลิ่งอี๋จะหยอกล้อพ่อบ้านไป๋เล่นเช่นนี้ จากนั้นก็ได้เรียกหลินปัวมา “เจ้ากับพ่อบ้านไป๋ไปที่เรือนปั้นเย่ว์พั่นสักประเดี๋ยว จัดการทางโน้นให้เรียบร้อย”
หลินปัวบอกเรื่องเด็กกับพ่อบ้านไป๋แล้วกระมัง!
ขณะที่สืออีเหนียงครุ่นคิดอยู่นั้น ก็ได้ยินสวีลิ่งอี๋สั่งกับหลินปัวว่า “เจ้าขนย้ายข้าวของเครื่องใช้ประจำวันของข้าไปที่เรือนฮูหยินทีเดียวเลยก็แล้วกัน”
ขนย้ายข้าวของเครื่องใช้มาที่เรือนของตน…
สีหน้าท่าทางของนางชะงักไป นี่ถือเป็นการยกหินขึ้นมาแต่หล่นใส่ขาตัวเองหรือไม่
หลินปัวได้ยินแล้วก็ขานรับ จากนั้นก็เดินนำพ่อบ้านไป๋ออกไป
พ่อบ้านไป๋กลับหันไปมองสืออีเหนียงอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงค่อยถอยออกไป
สวีลิ่งอี๋ก็หันไปยิ้มให้กับสืออีเหนียงด้วยความรู้สึกผิด “เด็กคนนั้นพักอยู่ที่เรือนปั้นเย่ว์พั่น อาหารการกินและข้าวของเครื่องใช้ยังต้องรบกวนพ่อบ้านไป๋ อีกอย่างบนตัวของเขายังมีบาดแผลอีกด้วย”
เขากำลังอธิบายว่าเหตุใดหลินปัวถึงได้พาพ่อบ้านไป๋ไปยังเรือนปั้นเย่ว์พั่นกระมัง
คนรู้ยิ่งมาก ความเสี่ยงที่ความลับจะรั่วไหลก็มียิ่งเยอะ แต่ในทางกลับกัน ความเสี่ยงของตนก็จะยิ่งลดน้อยลง!
สืออีเหนียงหันไปยิ้มให้กับสวีลิ่งอี๋ “ได้รับความช่วยเหลือจากพ่อบ้านไป๋ ข้าเองรู้สึกโล่งใจเป็นอย่างมาก มิเช่นนั้น เรื่องบางเรื่องก็จัดการได้ยากมากจริงๆ เจ้าค่ะ!”
สวีลิ่งอี๋พยักหน้าเบาๆ เขากำลังจะพูดอะไรบางอย่างออกมา แต่จู่ๆ ก็มีสาวใช้เข้ามาเรียนว่า “ท่านโหว ฮูหยิน นายหญิงสามจวนสกุลเฉียวมาเจ้าค่ะ!”
มารดาของเฉียวเหลียนฝัง!
สืออีเหนียงหันไปมองสวีลิ่งอี๋ด้วยความงุนงง
สวีลิ่งอี๋เองก็ได้หันมามองสืออีเหนียงด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความประหลาดใจเช่นกัน
แต่สืออีเหนียงหัวไว นางรีบยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า “ใกล้จะปีใหม่แล้ว นายหญิงเฉียวคงจะเป็นห่วงเฉียวอี๋เหนียง คงตั้งใจมาเยี่ยมเสียหน่อย” จากนั้นก็ได้พูดต่อไปว่า “แต่ทว่า ของกินของใช้รวมไปถึงเงินและเสื้อผ้าก็ได้แจกจ่ายไปเรียบร้อย นายหญิงเฉียวคงกังวลใจเกินไปแล้ว”
สวีลิ่งอี๋ได้ยินแล้วก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา เพียงแต่พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เรียบเฉยว่า “ข้าเข้าเรือนก่อน” จากนั้นก็ตรงเข้าไปยังห้องชั้นในทันที
สืออีเหนียงยิ้มขึ้นบางๆ พลางหันไปสั่งกับสาวรับใช้ว่า “เชิญนายหญิงเฉียวเข้ามา”
มารดาและบุตรใจประสาน สืออีเหนียงไม่ได้มีความรู้สึกต่อต้านที่นายหญิงเฉียวมาเยี่ยมเฉียวเหลียนฝังแต่อย่างใด ข้อแรกคือไม่ควรไปวุ่นวายกับเรื่องภายในของจวนสกุลสวี อย่ายกเอาเรื่องของจวนสกุลสวีมาเป็นเรื่องของบ้านตัวเอง ที่อยากเข้าก็เข้าอยากออกก็ออกตามอำเภอใจ
เพียงครู่เดียว ก็มีสาวใช้นำทางนายหญิงเฉียวเข้ามา
นางสวมเสื้ออ่าวลายดอกไม้ธรรมดาสีม่วง สีหน้าท่าทางยังคงงดงามสง่าผ่าเผยเหมือนดังเช่นเคย
ทั้งสองย่อตัวทำความเคารพซึ่งกันและกัน สืออีเหนียงไม่รอให้นายหญิงเฉียวได้ทันเอ่ยปาก ก็รีบยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า “นายหญิงเฉียวคงจะมาเยี่ยมเฉียวอี๋เหนียงกระมัง” จากนั้นก็มองไปยังนาฬิกาไขลานที่ตั้งอยู่ในห้องปีกทิศตะวันออก “ข้าและท่านโหวจะต้องไปหาไท่ฮูหยินแล้ว คงจะไม่ได้อยู่ส่งนายหญิงเฉียว” น้ำเสียงเกรงอกเกรงใจเป็นอย่างมาก
ในเมื่อตัดสินใจปล่อยให้นางเข้ามาแล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องสร้างความลำบากใจให้แก่นาง มิฉะนั้นจะดูเป็นคนจิตใจคับแคบจนเกินไป สู้ให้นางไปเจอเฉียวเหลียนฝังอย่างเปิดเผยเสียยังดีกว่า
นายหญิงเฉียวค่อนข้างแปลกใจในความตรงไปตรงมาของสืออีเหนียงเป็นอย่างมาก นางหันไปมองม่านของห้องชั้นในอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็พูดขึ้นว่า “ขอบคุณฮูหยิน! ร่างกายของนางอ่อนแอ ปีที่ผ่านๆ มาจิตใจจึงไม่ค่อยสงบ ข้าจึงค่อนข้างเป็นห่วง ก็เลยตั้งใจมาเยี่ยมโดยเฉพาะ”
“อ๋อ!” สืออีเหนียงยิ้มขึ้นบางเบา “อาจเป็นเพราะปีนี้ทานยาบำรุงร่างกายไปค่อนข้างเยอะ ก็เลยไม่ได้ยินว่าป่วยหรือไม่สบายตรงไหน สู้นายหญิงเฉียวให้บ่าวรับใช้นำตำรับยาที่เฉียวอี๋เหนียงเคยทานเมื่อปีที่ผ่านๆ มา ข้าจะได้เชิญหมอหลวงมาตรวจดูดีๆ ทำยาขี้ผึ้งสักจำนวนหนึ่งมาทานตามโรคเก่าของเมื่อปีที่ผ่านๆ มา ปรับสภาพบำรุงรักษาร่างกาย จะปล่อยให้สามวันดีสี่วันไข้เช่นนี้ก็ไม่ใช่เรื่อง”
นายหญิงเฉียวได้ยินแล้วก็หัวเราะเยาะในใจเบาๆ
ดีเสียจริงแม่หลัวสืออีเหนียง แม่เสือซ่อนเล็บ!
เจ้าก็แค่อยากที่จะข่มขู่ข้าก็เท่านั้น
หากข้านำตำรับยาของปีที่ผ่านๆ มาออกมาล่ะก็ เกรงว่าคงจะเอาไปใช้เป็นข้ออ้างว่าสุขภาพร่างกายของเฉียวเหลียนฝังไม่ดี ไม่เหมาะกับการตั้งครรภ์มีบุตร แต่หากว่าข้าไม่นำตำรับยาของปีก่อนๆ ออกมา ก็จะเป็นการชี้ให้ผู้อื่นเห็นเป็นนัยว่าเฉียวเหลียนฝังนั้นกำลังแกล้งป่วย
เจ้ามีกลอุบายของเจ้า ส่วนข้าเองก็มีแผนที่จะใช้รับมือ
หลายวันก่อนเฉียวฮูหยินเองก็เคยถามถึงเรื่องของเหลียนฝังขึ้นมา พอรู้ว่านางไม่ได้เคลื่อนไหวอะไร ก็ได้ให้หมอหลวงจัดยาขี้ผึ้งบำรุงและปรับสมดุลร่างกายให้เหลียนฝังหนึ่งชุด ถึงเวลาก็นำตำรับยานั่นมาให้เจ้าดู ข้าจะดูว่าเจ้ายังจะพูดอะไรได้อีก
เมื่อความคิดนี้แล่นผ่านในหัว นางก็ยิ้มขึ้นพลางกล่าวขอบคุณสืออีเหนียง “ขอบคุณฮูหยิน ข้ากำลังเป็นกังวลใจเรื่องนี้อยู่พอดี ได้ยินฮูหยินพูดมาแบบนี้ข้าก็วางใจแล้ว กลับไปแล้วจะรีบไปนำตำรับยาที่เหลียนฝังเคยใช้เมื่อปีกลายมาให้ฮูหยินดูโดยเร็ว ท่านเองจะได้จัดการได้ง่ายขึ้น”
ปฏิกิริยาตอบสนองของนางรวดเร็วไม่ใช่ย่อย!
สืออีเหนียงตอบกลับไปว่า “เช่นนั้นก็รบกวนนายหญิงเฉียวให้คนหาวันส่งมาให้ที” จากนั้นก็ยกชาขึ้นมาจิบ
นายหญิงเฉียวรู้ตัวว่าต้องออกไปแล้ว จึงย่อตัวทำความเคารพ จากนั้นก็เดินตามสาวใช้ไปยังเรือนของเฉียวเหลียนฝัง
เฉียวเหลียนฝังรู้เรื่องตั้งแต่แรกแล้ว จึงได้ให้ซิ่วหยวนไปยืนรอรับอยู่ที่หน้าประตู ส่วนนางก็ไปชงชาเถี่ยกวนอินด้วยตัวเอง นำฟักเขียวเชื่อมน้ำผึ้ง ลูกท้อเชื่อม เมล็ดทานตะวันอบเครื่องเทศและของทานเล่นอีกหลายๆ อย่างจัดเรียงลงบนถาดหลุมไม้สีแดงเงาลายดอกเหมยรออยู่ในห้อง
นายหญิงเฉียวหันไปถามซิ่วหยวนก่อนว่า “ท่านโหวดีต่อคุณหนูของพวกเจ้าหรือไม่”
ซิ่วหยวนยกแขนเสื้อขึ้นมาบังพร้อมกับหัวเราะเบาๆ “นายหญิงวางใจเถิด ท่านโหวดีต่อคุณหนูของเราไม่น้อยหน้าใครในเรือนนี้เลยเจ้าค่ะ”
นายหญิงเฉียวจึงค่อยรู้สึกวางใจขึ้นมา จากนั้นก็เดินเข้าไปในเรือนพร้อมซิ่วหยวน
เฉียวเหลียนฝังรีบเดินออกมาย่อตัวทำความเคารพ พลางเชิญนายหญิงเฉียวไปนั่งที่เตียงเตาริมหน้าต่าง จากนั้นก็รินชามาให้มารดาด้วยตนเอง
นายหญิงเฉียวทอดสายตามองผ่านกระจกหน้าต่างไปยังใบไม้ที่ละเอียดอ่อนของต้นตงชิงข้างนอกนั่น นางสูดลมหายใจเข้าลึกแล้วจึงพูดขึ้นว่า “เรือนของเจ้าไม่ได้น้อยหน้าไปกว่าเหล่าบรรดาคุณหนูหรือฮูหยินจวนสกุลเฉียวแต่อย่างใดเลย”
เฉียวเหลียนฝังหยิบไม้จิ้ม จิ้มลูกท้อเชื่อมชิ้นหนึ่งแล้วยื่นให้มารดา “ทุกคนที่อยู่ที่นี่ก็ไม่ได้แตกต่างกันเท่าไรนัก”
เรือนของสืออีเหนียงที่นั่นกว้างขวางกว่าที่นี่มาก แต่หากพูดถึงฝีมือการตกแต่ง ก็ถือว่าไม่ได้ต่างกันเท่าไรนัก
นางไม่รู้ว่าเรือนที่อี๋เหนียงทั้งสามพักอาศัยอยู่นั้น เดิมทีเคยเป็นเรือนหอที่เพิ่งแต่งงานของฮูหยินสอง จวนสกุลสวีเคยได้ทำการซ่อมแซมและแต่งเติมใหม่ไปแล้วหนึ่งรอบ แต่ต่อมาคุณชายสองได้เสียชีวิตลงที่นี่ แต่ด้วยความที่จากไปตั้งแต่อายุยังน้อย ทุกคนจึงไม่ยินยอมที่จะย้ายเข้ามาอยู่ หยวนเหนียงจึงได้มอบให้ฉินอี๋เหนียงและเหวินอี๋เหนียงโดยเฉพาะ เมื่อเฉียวเหลียนฝังย้ายเข้ามา ก็ได้ขยับขยายแบ่งห้องของที่นี่ให้นางหนึ่งห้อง…
นายหญิงเฉียวรับลูกท้อเชื่อมมาทานหนึ่งคำ “เจ้าเรียกข้ามา มีเรื่องอันใดหรือ”
หลายวันก่อนเฉียวเหลียนฝังได้ให้ซิ่วหยวนนำเงินหนึ่งตำลึงไปจ้างแม่เฒ่าที่ทำงานใช้แรงช่วยส่งข่าวให้กับนายหญิงเฉียว
เฉียวเหลียนฝังได้ยินแล้วใบหน้าก็แดงระเรื่อขึ้นมา นางพูดขึ้นด้วยเสียงทุ้มต่ำว่า “ปีนั้นตอนท่านลุงเพิ่งกลับมาจากทางเซวียนถง เคยนำม่านเตียงผ้าไหมโปร่งบางกลับมาด้วยหลายหลัง ตอนนั้นข้าเองก็อยู่ในเหตุการณ์ด้วย หนึ่งในนั้นเป็นม่านเตียงลายหมึกวาด งดงามมาก ข้าอยากให้ท่านแม่ช่วยขอมาให้ข้าสักหน่อยเจ้าค่ะ”
นายหญิงเฉียวชะงักไปชั่วขณะ “เจ้าจะเอาม่านเตียงหลังนั้นทำไมกัน” นึกในใจว่าม่านเตียงหลังนั้นอย่างกับหมอกควันที่จับต้องไม่ได้ พับเก็บมายังใหญ่ไม่เท่าฝ่ามือเสียด้วยซ้ำ เฉียวฮูหยินทะนุถนอมราวกับว่าเป็นสมบัติล้ำค่าอย่างไรอย่างนั้น นำมาตากแดดพร้อมเสื้อผ้าในเดือนหกของทุกปี เกรงว่าคงจะไม่ได้ขอได้ง่ายๆ ขนาดนั้น
ต่อหน้ามารดาของตน เฉียวเหลียนฝังยังคงรู้สึกไม่ค่อยสะดวกใจที่จะพูดเท่าไรนัก นางจึงพูดขึ้นด้วยความกระอักกระอ่วนใจว่า “ท่านโหวไม่ชอบสีของม่านเตียงที่ดูหมองหม่น…ทางสืออีเหนียงเปลี่ยนม่านเตียงเป็นผ้าเก๋อปู้เนื้อละเอียดไปแล้ว…ข้าเองได้ยินมาว่าที่เหวินอี๋เหนียงยังมีอีกหลัง…” นางพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ดูถูกและเหยียดหยาม “คนพวกนี้รู้เพียงแค่ว่าผ้าเก๋อปู้นั้นดี ส่วนผ้าไหมโปร่งบางนั้นบางและสีฉูดฉาด แขวนแล้วดูขัดตาไม่มีรสนิยม แต่กลับไม่รู้ว่าผ้าไหมโปร่งบางที่ถักทอเป็นลายน้ำหมึกนั้นเป็นศิลปะน้ำหมึกที่ทรงคุณค่า เป็นสิ่งของที่สละสลวยและสง่างาม…”
นายหญิงเฉียวได้ยินเช่นนี้ก็ถอนหายใจออกมา “เจ้าล่วงเกินสืออีเหนียงอย่างนี้…มันจะดูเตะตาจนเกินไป”
แต่เฉียวเหลียนฝังไม่ได้คิดเช่นนั้น “นางไม่มาที่เรือนของข้าอยู่แล้ว…แม้ว่าจะมีสาวใช้ไปรายงานนาง แต่นี่เป็นของของข้า อีกทั้งยังผ่านตาของท่านโหวแล้ว ข้ามอบให้นางแล้วยังไงเล่า กลัวก็แต่ว่าหากท่านโหวรู้เรื่องแล้ว พลอยแต่จะเข้าใจว่านางแย่งของของข้าไป หากข้าไม่ยอมแขวนม่านเตียงหลังนี้ นางก็จะมองข้าเป็นอย่างอื่นกระนั้นหรือ”
นายหญิงเฉียวได้ยินบุตรสาวพูดแล้วก็รู้สึกว่ามีเหตุผล แต่การทำเช่นนี้นั้นไม่เหมาะสม จึงได้ปรึกษาหารือกับนาง “เช่นนี้ดีหรือไม่ เจ้าไปบอกกล่าวกับทางท่านโหวก่อน ว่าเจ้านั้นไม่รู้ว่าท่านโหวไม่ชอบม่านเตียงสีหม่นหมอง เจ้าเองยังมีม่านเตียงผ้าไหมโปร่งบางสีน้ำหมึกที่เป็นหลังโปรดของเจ้า บอกว่าตอนที่เจ้าเข้ามานั้นเฉียวฮูหยินเป็นคนให้เจ้านำมาด้วยโดยเฉพาะ แต่เจ้าเก็บไว้ที่ก้นหีบไม่กล้าเอาออกมาแขวน…”
เฉียวเหลียนฝังได้ยินแล้วก็ยิ้มแป้นออกมา “ยังคงเป็นท่านแม่ที่คิดการรอบคอบเสมอ”
“เด็กคนนี้นี่ ไม่เคยให้คนอื่นได้หยุดเป็นห่วงบ้าง” นายหญิงเฉียวเห็นบุตรสาวยังคงเป็นดังเช่นเมื่อก่อน เผยรอยยิ้มออกมาอย่างเต็มที่ ตนก็พลอยรู้สึกดีใจไปด้วย จากนั้นก็ได้ถามนางเสียงทุ้มต่ำว่า “ยาที่ข้าเอามาให้เจ้าเมื่อครั้งก่อนได้ทานตามเวลาหรือไม่”
เฉียวเหลียนฝังใบหน้าแดงระเรื่อ “ข้าทานตามที่ท่านกำชับแล้ว!”
นายหญิงเฉียวลูบศีรษะของบุตรสาวเบาๆ “เจ้าควรต้องรีบมีบุตรชายถึงจะดี มิเช่นนั้น ทุกอย่างก็ล้วนว่างเปล่าไปจนหมด”
เฉียวเหลียนฝังไม่ได้พูดอะไรออกมา นางเอาแต่ก้มหน้าก้มตาเล่นชายเสื้อ แต่สีหน้าแววตากลับเผยความดีอกดีใจออกมาอย่างมิอาจปกปิดได้