“คุณอินซอบ อย่าร้อง คุณไม่ได้ทำอะไรผิดเลย นะ?”
อีอูยอนปัดมือของหัวหน้าทีมชาที่ยื่นทิชชูมาให้อย่างไม่ลังเล เขาถอดเสื้อคลุมตัวนอกที่สวมอยู่ออกและเอามาคลุมหน้าของอินซอบ
“ผมบอกว่าห้ามร้องไห้ต่อหน้าคนอื่นไง รีบหยุดซะ”
อินซอบสะอื้นก่อนจะพยักหน้าให้กับคำพูดของอีอูยอน อีอูยอนจัดเสื้อให้เข้าที่ก่อนจะบังหน้าอินซอบไว้เหมือนคนที่ซ่อนสมบัติที่สำคัญและล้ำค่าเพราะกลัวว่าใครจะมาเห็น
“…นายคงไม่ได้ทำแบบนั้นเพราะหวงที่เราเห็นอินซอบหรอกใช่ไหม”
กรรมการผู้จัดการเอ่ยถามด้วยสีหน้าไม่สู้ดี
“ผมทำเพราะหวงถูกแล้วครับ”
อีอูยอนทำให้อินซอบมาซบอยู่ในอ้อมกอดของตัวเองก่อนจะเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย
“ถ้าเป็นคนปกติก็จะน่าจะแค่ทำตาขวาง แต่ทำไมหมอนี่ถึงได้น่ากลัวขนาดนี้นะ”
หัวหน้าทีมชาลูบขนที่ตั้งชันตรงแขน
“ขอโทษนะครับคุณอูยอน”
อินซอบพึมพำในสภาพที่ถูกกอดไว้ในอ้อมกอดของอีอูยอน
“ทำเรื่องที่ผิดต่อผมมาเหรอครับ”
อีอูยอนเอ่ยถามพลางลูบหลังอินซอบไปด้วยอย่างอ่อนโยน อินซอบพยักหน้าเบาๆ มือที่ลูบหลังอยู่หยุดลง กรรมการผู้จัดการเริ่มเก็บกวาดขวดเปล่าที่วางอยู่บนโต๊ะอย่างระมัดระวัง
“ทำอะไรล่ะครับ”
อีอูยอนถาม อินซอบเพียงแค่สะอื้น และไม่ตอบอะไรเลย อีอูยอนจับไหล่ของอินซอบไว้และดันออก จากนั้นสีหน้าของอีอูยอนที่พยายามจะซักถามว่าทำอะไรไปกันแน่ก็ชะงักอยู่อย่างนั้น
อินซอบกำลังเงยหน้ามองอีอูยอนอย่างเหม่อลอย พอดวงตากลมโตที่เปรอะเปื้อนไปด้วยน้ำตากะพริบครั้งหนึ่ง อินซอบก็ยิ้มร่า
“ภาพยนตร์รอบนี้ดีมากเลยครับ”
“…”
“สีหน้าตอนคุณเขียนจดหมายให้ดูครั้งแรกก็ดี และฉากที่อ่านจดหมายนั้นตอนสุดท้ายก็ดีเหมือนกัน…ดีไปหมดเลยครับ”
กรรมการผู้จัดการคิมกับหัวหน้าทีมชาไม่รู้ว่าจะเอาสายตาไปวางไว้ตรงไหน เพราะการกระทำที่ขาดสติเวลาดื่มเหล้าของอินซอบ เจ้าตัวแค่ชื่นชมเกี่ยวกับภาพยนตร์เท่านั้น แต่กลับให้ความรู้สึกเหมือนแอบฟังการสารภาพรักอย่างน่าประหลาด
“ผมอยากดูอีกเพราะชอบมากๆ แต่…”
อินซอบถอนหายใจ เขากำชายเสื้อของอีอูยอนไว้ก่อนจะก้มหน้า
“ขอบคุณที่ถ่ายภาพยนตร์ที่ดีแบบนี้นะครับ และก็ขอบคุณสำหรับการทำงานหนักด้วยครับ”
จากนั้นเขาก็ร้องไห้สะอึกสะอื้นอีกครั้ง
“คราวหน้าก็ช่วยถ่ายผลงานที่ดีๆ อีกนะครับ แล้วก็รับรางวัลเยอะๆ เลย”
อีอูยอนเพิ่มแรงไปที่มือที่จับไหล่ของอินซอบไว้ เขาดึงอินซอบเข้ามากอดและกักตัวอีกฝ่ายไว้ในอ้อมกอดของตัวเอง อีอูยอนพ่นลมหายใจออกมาช้าๆ พยายามทำให้ความรู้สึกที่ตีตื้นขึ้นมาผ่อนคลายลงและลูบหลังของอินซอบช้าๆ เขาทำแบบนั้นอยู่สักพักหนึ่ง พอเสียงร้องไห้สะอึกสะอื้นเบาลง อินซอบก็หลับไปทันที
พออีอูยอนอุ้มอินซอบขึ้นมา กรรมการผู้จัดการคิมก็รีบคว้าแขนของอีอูยอนไว้
“จะไปไหน”
“บ้านครับ”
“…คงไม่ได้จะฆ่าเขาหรอกใช่ไหม”
“ผมเนี่ยนะครับจะทำเขา”
อีอูยอนถามซ้ำราวกับจะบอกว่ามันไม่น่าจะเป็นไปได้ กรรมการผู้จัดการคิมไม่กล้าที่จะพูดว่าหน้าของอีกฝ่ายตอนที่กอดอินซอบไว้เมื่อครู่ได้ฆ่าคนไปประมาณสามถึงสี่คนแล้ว
“ตายเตยอะไรกันล่ะครับ…แม่งเอ๊ย ผมต่างหากที่จะตายเพราะเขา”
คำพูดต่อท้ายที่มีทั้งเสียงถอนหายใจและคำด่าหดหู่จนไม่น่าเชื่อ กรรมการผู้จัดการคิมและหัวหน้าทีมชาอดสงสัยในหูของตัวเองไม่ได้
“ช่วยเลื่อนตารางงานวันพรุ่งนี้ออกไปด้วยนะครับ”
“ว่าไงนะ? เลื่อนอะไรล่ะ นายจะทำเรื่องแบบนั้นเหรอ”
ทันทีที่กรรมการผู้จัดการคิมตะคอก อีอูยอนก็เดาะลิ้นเบาๆ พลางเอียงคอเล็กน้อย กรรมการผู้จัดการคิมอ่านเจตนาที่แท้จริงที่แฝงอยู่ในการกระทำสั้นๆ นั้นออกพอสมควร อีอูยอนกระซิบเสียงเบาขณะที่อุ้มอินซอบเอาไว้
“ผมบอกไปแล้วนี่ครับ ว่ากว่าผมจะกล่อมให้เขาหลับได้”
***
“ให้ผมจอดข้างหน้าเลยไหมครับ”
“ครับ”
คนขับรถแท็กซี่เหลือบมองผ่านกระจกมองหลังก่อนจะขอคำยืนยัน
“ใช่นักแสดงที่อยู่ในทีวี…”
“คงจะคล้ายมากสินะครับ ผมได้ยินคำพูดแบบนั้นประจำเลยครับ”
อีอูยอนตอบกลับหน้าตาเฉยเหมือนรออยู่แล้ว คนขับรถแท็กซี่จึงเริ่มพูดพร่ำว่าก็เป็นไปได้
“จะว่าไปถ้าเป็นนักแสดงคงไม่มีทางมาอยู่ในย่านแบบนี้หรอกครับ พวกเขาน่าจะหาเงินได้เยอะ ไม่เหมือนกับคนธรรมดาอย่างเราๆ”
เขารังเกียจการคุยอย่างไม่มีประโยชน์กับคนไม่รู้จัก นี่คือเหตุผลที่เขาไม่ขึ้นแท็กซี่ อีอูยอนเอาศีรษะของอินซอบที่หลับอยู่มาพิงตัวเองก่อนจะตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยว่า ‘ใช่ไหมล่ะครับ’
“ว่าแต่พ่อหนุ่มหล่อกว่าพวกนักแสดงอีกน่ะ ไม่ลองไปเป็นดาราสักครั้งล่ะ”
“ไม่ใช่ทุกคนที่จะเป็นดาราได้นี่ครับ ผมลงข้างหน้านี้แหละครับ”
อีอูยอนชี้ไปตรงด้านหน้าของวิลล่าที่อินซอบอาศัยอยู่ก่อนจะหยิบเงินออกมาจากกระเป๋าสตางค์
“ฮ่า ดูอีกทีก็เหมือนกับนักแสดงคนนั้นจริงๆ นะ ไม่สิ เหมือนจะหล่อกว่าด้วย!”
คนขับแท็กซี่นับเงินทอนพลางทำหน้าประทับใจ
“เอาเงินทอนไปได้เลยครับ”
เขาไม่อยากพูดอะไรด้วยอีกแล้ว อีอูยอนแบกอินซอบที่หลับอยู่ขึ้นหลังก่อนจะลงจากแท็กซี่ ทันทีที่ตัวขยับ อินซอบก็มองไปรอบๆ ด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความง่วงงุน
“ถึงบ้านแล้วครับ”
อินซอบซบหน้าลงกับหลังของอีอูยอนก่อนจะหลับไปตามเดิมเพราะอุ่นใจกับน้ำเสียงที่อ่อนโยน อีอูยอนยกตัวอินซอบขึ้นอีกครั้งก่อนจะเริ่มเดิน
ผู้ชายที่กำลังสูบบุหรี่อยู่ตรงทางเข้าวิลล่าหรี่ตาลงทันทีที่เห็นอีอูยอน
“อ้าว ดารานี่นา”
อีอูยอนไม่ตอบ เขาก้มหัวให้ก่อนจะเดินผ่านไป
“ขอฉันถ่ายรูปหน่อยได้ไหม จะไปอวดกับเพื่อนๆ หน่อยน่ะว่าเจอดารา”
ผู้ชายคนนั้นยืนขวางหน้าอีอูยอนเอาไว้ก่อนจะค้นกระเป๋า
“ไว้ก่อนนะครับ”
อีอูยอนตอบสั้นๆ
“เฮ้ย ไว้ก่อนน่ะเมื่อไรกันล่ะ โอกาสที่จะได้เจอดาราไม่ได้มีบ่อยๆ นะ”
อีอูยอนหัวเราะเสียงต่ำ ความหงุดหงิดก่อตัวขึ้นจนเขาอยากจะหักคอของอีกฝ่าย ถ้าอินซอบไม่ได้อยู่บนหลัง
“อ้าว เด็กห้อง 501 ไม่ใช่เหรอ รู้จักกับเด็กนี่เหรอ”
“…”
เหตุผลที่เขาสะกดกลั้นความโกรธเอาไว้นั้นง่ายมาก เพราะเขาเริ่มที่จะรู้สึกรำคาญขึ้นมาแล้ว
“รู้จักกับเด็กห้อง 501 ได้ยังไงล่ะ สนิทกันเหรอ”
ผู้ชายที่แต่งตัวด้วยเสื้อผ้าย้วยๆ มองอินซอบที่ขี่หลังอีอูยอนอยู่และเริ่มแสดงความสนใจ อีอูยอนมองคนที่อยู่ตรงหน้าอย่างไม่สนใจ
“ดูเหมือนจะสลบไปเลยนะ เด็กนี่กินเที่ยวได้เก่งผิดกับที่เห็นเลยนะ แถมยังคบค้าสมาคมกับพวกดาราด้วย แต่ปกติพวกเด็กที่ดูเรียบร้อยก็หน้าอย่างหลังอย่างอยู่แล้วนี่นะ”
ชายคนนั้นถามว่า ‘ใช่ไหมล่ะ’ เพราะหวังว่าอีอูยอนจะคิดแบบเดียวกันและพ่นควันบุหรี่ออกมา
อีอูยอนเอียงคอ
แต่เหตุผลต่างๆ ที่ทำให้เขารำคาญมักจะเกิดในเวลาที่ดี วันที่เกิดเรื่องระหว่างการแข่งขันก็เป็นแบบนี้
วันนั้นเขาอารมณ์ไม่ดีเป็นพิเศษตั้งแต่เช้า อากาศร้อนอบอ้าวเป็นพิเศษ และการแข่งขันก็ไม่เป็นไปได้ด้วยดีอย่างที่เขาคิด แล้วใบหน้าของไอ้คนที่มองเขาก่อนจะหัวเราะเยาะก็ดูทุเรศลูกตาอย่างมากขึ้นมาเป็นพิเศษ เขาใช้ผ้าเย็นซับเหงื่อและดื่มน้ำเย็นๆ แต่ในระหว่างนั้นเขาก็ไม่สามารถนึกถึงเหตุผลที่ต้องระงับความหงุดหงิดที่พุ่งขึ้นมาได้อีกต่อไปแล้ว
ทุกอย่างดีไปหมด แม้แต่ตอนที่เขาไปที่ห้องล็อกเกอร์ของทีมคู่แข่งและเอาหมวกกันน็อกฟาดหัวไอ้คนที่หัวเราะเยาะเขา เขาก็ไม่ได้คิดอะไรเลย เขาก็แค่อยากทำแบบนั้นเท่านั้น
บางครั้งเขาก็เป็นแบบนั้น ในช่วงเวลาที่ความรู้สึกที่พลุ่งพล่านขึ้นมากะทันหันสำคัญกว่าเรื่องที่จะตามมาทีหลัง หลังจากที่เขารู้สึกรำคาญแล้ว ช่วงเวลาที่ความคิดไร้สาระต่างๆ หายไป และภายในหัวของเขาก็ถูกจัดการอย่างสะอาดเรียบก็จะมาถึง
“ต่อไปต้องสนิทกับห้อง 501 แล้วล่ะ ฉันเองก็อยากจะลองมีเพื่อนเป็นคนดังเหมือนกัน”
ชายคนนั้นยิ้มกว้างโชว์ฟันที่เปลี่ยนเป็นสีเหลืองเข้มจากบุหรี่
“อย่าเป็นอย่างนั้นเลย ถ่ายรูปด้วยกันสักรูปเถอะน่า อ้าว นายก็ตื่นแล้วเหมือนกันนี่”
ชายคนนั้นตีแขนของอินซอบอย่างไม่มีมารยาทก่อนจะยื่นหน้าของตัวเองมาข้างๆ อีอูยอน อีอูยอนหัวเราะขึ้นจมูกราวกับถอนหายใจยาวๆ ดูเหมือนทุกอย่างจะดีไปหมดจริงๆ ถ้าเขาจะสามารถขจัดไอ้เฮงซวยนี้ไปได้น่ะนะ
เขาเพิ่มแรงไปที่มือที่กำลังกอดอินซอบอยู่ ตอนนั้นเองอินซอบที่ขี่หลังอยู่ก็ถูไถหน้าเข้ากับแผ่นหลังพลางกำชายเสื้อของเขาไว้ การกระทำเล็กๆ ที่เหมือนจะออดอ้อนนั้นทำให้ความเกร็งทั่วทั้งร่างของเขาคลายลงในพริบตา
อีอูยอนพึมพำว่า ‘เอาจริงดิ’ พลางหลุบตามองต่ำ
“มองกล้องแล้วยิ้มหน่อย”
ชายคนนั้นตบไหล่ของอีอูยอนก่อนจะเอ่ย
“ไว้ผมจะมาถ่ายด้วยนะครับ ตอนนี้ผมค่อนข้างไม่สะดวกนิดหน่อย เพราะเพื่อนคนนี้น่ะครับ”
อีอูยอนพูดต่อหลังจากที่ใช้สายตาชี้ไปที่อินซอบที่ขี่หลังเขาอยู่
“ไม่อย่างนั้นหาโอกาสเจอกันในที่ที่ดีกว่านี้น่าจะดีกว่านะครับ”
“นั่นสินะ ถ้าไปดื่มเหล้ากับพวกดาราที่สนิทก็เรียกด้วยแล้วกัน ระดับนายคงมีเพื่อนดาราที่รู้จักเยอะไม่ใช่เหรอ พวกผู้ประกาศข่าว นักแสดง หรือไม่ก็ไอดอลอะไรพวกนั้นน่ะ”
อีอูยอนพยักหน้าก่อนจะยกตัวอินซอบที่ไหลลงไปขึ้นมาอีกครั้ง เขาหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาจากกระเป๋าและยื่นให้ ชายคนนั้นพิมพ์เบอร์โทรศัพท์ของตัวเองลงไปอย่างยินดีก่อนจะคืนโทรศัพท์ให้พร้อมกับรบเร้า
“ต้องโทรมานะ เข้าใจไหม”
อีอูยอนค้อมศีรษะพลางยิ้มอย่างไม่มีพิษมีภัยและเดินผ่านชายคนนั้นไป ตอนที่ขึ้นมาถึงชั้นสาม อีอูยอนใช้แขนข้างหนึ่งประคองอินซอบไว้พร้อมกับลบเบอร์โทรศัพท์ของผู้ชายคนนั้นออกจากโทรศัพท์ เขาขึ้นมาถึงชั้นห้าโดยไม่หยุดพัก อีอูยอนเปิดประตูหน้าและเดินเข้าไปวางอินซอบลงบนเตียงก่อนจะถอนหายใจเบาๆ
อีอูยอนโน้มตัวอยู่เหนือเตียงมองอินซอบที่หลับไป สีหน้าของอีกฝ่ายใสซื่อบริสุทธิ์เหมือนเด็ก แม้เขาจะแอบดูอยู่สักพัก แต่ก็ไม่เห็นว่าเจ้าตัวจะตื่น
ตอนนั้นเองอีอูยอนถึงได้ถอดเสื้อคลุมตัวนอกที่ใส่อยู่ออก และเอาไปพาดไว้ที่เก้าอี้ เขามองไปรอบๆ บ้าน สภาพแวดล้อมในบ้านไม่ได้ต่างไปจากครั้งก่อนที่เขามาเลย เขาเดินไปที่โต๊ะเขียนหนังสือและไล่สายตามองชั้นวางหนังสือผ่านๆ จากนั้นก็เปิดคอมพิวเตอร์ มันถูกตั้งรหัสผ่านเอาไว้
อีอูยอนไม่ลังเลที่จะเคาะวันเกิดของตัวเองลงไป หน้าจอหลักถูกเปิดขึ้นมาทันที ถ้าอินซอบตั้งรหัสผ่านไว้ เก้าในสิบคือวันเกิดของอีอูยอน ทั้งรหัสผ่านของสมุดบัญชีเงินฝากธนาคาร และรหัสผ่านตรงประตูหน้าบ้านก็ด้วย
ถ้าเขาถามว่าจะทำยังไงถ้ามีใครรู้ อินซอบก็คงจะแค่ยิ้มร่าโดยไม่ตอบอะไร ไม่มีใครในโลกที่จะใสซื่อและน่ารักได้เท่าอีกฝ่ายแล้ว
เขากวาดตามองไฟล์ที่อีกฝ่ายบันทึกไว้ก่อนจะตรวจดูประวัติการเข้าอินเทอร์เน็ต ทั้งหมดมีแค่เว็บเสิร์ชเอนจิ้น แฟนคาเฟ่ และแฟนไซต์เท่านั้น อีกฝ่ายตั้งค่าล็อกอินทิ้งไว้ในเว็บเสิร์ชเอนจิ้น อีอูยอนเข้าไปในอีเมลของอินซอบโดยไม่รู้สึกผิดสักนิด และสำรวจอีเมลในนั้น ทั้งหมดมีแค่สแปมเมลที่ไม่ได้สำคัญอะไร เขาสำรวจอีเมลที่อีกฝ่ายส่งออกและถังขยะเผื่อเอาไว้
แต่ก็ไม่ได้มีอะไรที่พิเศษ
อีอูยอนปิดคอมพิวเตอร์ก่อนจะเดินไปข้างเตียง อินซอบกำลังนอนหลับสนิทโดยไม่ขยับไปจากท่าที่เขาวางอีกฝ่ายลงเลย เขาค้นกระเป๋าเสื้อคลุมตัวนอกของอีกฝ่ายก่อนจะหยิบโทรศัพท์มือถือออกมา
เขาอ่านประวัติการส่งข้อความที่อีกฝ่ายพูดคุยกับผู้หญิงคนนั้นก่อนเป็นอันดับแรก พวกเขาส่งข้อความที่มีเนื้อหาดาษดื่นโดยเริ่มจากการส่งรูปแมว และถามไถ่สารทุกข์สุกดิบของแมวกันไปมา อีอูยอนเลื่อนขึ้นไปด้านบนอย่างตั้งใจ และอ่านข้อความทั้งหมด ถึงแม้ว่าเขาจะตั้งใจหาข้อความที่ให้ความรู้สึกถึงแรงดึงดูดระหว่างชายหญิง หรือการพูดคุยเรื่องทั่วไป แต่ก็หาไม่เจอ ส่วนประวัติการโทรก็เหมือนกัน นอกจากสายที่เกี่ยวกับเรื่องงานแล้ว ก็มีแค่สายที่โทรมาจากอเมริกาสองถึงสามวันครั้งเท่านั้น
อีอูยอนตรวจสอบปฏิสัมพันธ์กับผู้คนของอินซอบที่น้อยนิดจนน่าสงสาร และฉีกยิ้มอย่างพึงพอใจ เขานั่งลงตรงข้างเตียงและลูบแก้มของอินซอบที่หลับไปด้วยความอ่อนเพลีย แม้จะถูกทำให้ตื่นจากสัมผัสที่โดนแก้ม แต่อินซอบกลับยิ้มน้อยๆ ไม่ทำหน้านิ่วคิ้วขมวดเลยสักครั้ง จากนั้นก็ถูไถใบหน้ากับมือของอีอูยอนพลางออดอ้อน
“รู้เหรอครับว่าเป็นใคร ถึงได้ทำตัวน่ารักขนาดนี้”
แม้น้ำเสียงจะอ่อนโยน แต่ภายในใจกลับโมโห
ช่วงนี้เขาไม่ลากอินซอบไปที่บ้าน และไม่มาที่บ้านของอีกฝ่ายด้วย แม้จะเป็นการขอร้องของอินซอบ แต่ก็เป็นความจริงที่เขาสร้างระยะห่าง
ในช่วงเวลาหนึ่งความวิตกกังวลอาจกลืนกินตัวตนและทำให้สติของเขาขาดหายไปก็เป็นได้ เขาไม่รู้วิธีควบคุมความวิตกกังวล ในยามที่ตกอยู่ในสภาพที่ต่อให้ดูดีในสายตาของอีกฝ่ายก็ยังไม่พอแบบนี้ เขาอยากป้องกันการถูกอินซอบทอดทิ้งด้วยการทำตัวเหมือนคนบ้า