หนานกงมั่วกลอกตาอย่างอดไม่ได้ ไยจึงเอ่ยถึงอาจารย์และอาจารย์อาแล้วเล่า
คุณชายเสียนเกอกัดฟัน “หลายวันมานี้เจ้าไม่รู้สึกว่าตนเองไม่สบายตรงไหนเลยหรืออย่างไร”
“เหนื่อยมากนับหรือไม่” ยุ่งจนมืดฟ้ามัวดิน แต่ละวันนอนเพียงสองสามชั่วโมง ผู้ใดบ้างจะไม่เหนื่อย ทำงานหนักหน่วงใช้พลังงานสมองและจิตใจอย่างสิ้นเปลือง
“โง่” คุณชายเสียนเกอไม่ได้ดั่งใจ “เสียดายที่เจ้าเรียนวิชาแพทย์ แม้แต่ตนเองตั้งครรภ์ก็ยังไม่รู้ เจ้ารู้สึกผิดต่อการสั่งสอนของอาจารย์หรือไม่”
“ตั้งครรภ์หรือ” หนานกงมั่วชะงัก ใบหน้ามึนงงมองไปที่เขา คุณชายเสียนเกอเชิดปลายคางขึ้น บอกใบ้ให้นางตรวจชีพจรของตนเอง หนานกงมั่วยื่นมือออกมาจับชีพจรของตนเองอยู่ชั่วครู่ เอ่ยอย่างไร้เดียงสา “ดูไม่ออก”
“…” ไยจึงไม่ได้เรื่องเพียงนี้ ชีพจรที่หมอทั่วไปยังตรวจได้ทว่ากลับไม่อาจตรวจได้ อาจารย์ที่ชื่นชมว่าฉลาดนักฉลาดหนา ท่านหน้าชาหรือไม่
หนานกงมั่วเอ่ยจริงจัง “ข้าไม่เคยตรวจชีพจรสตรีตั้งครรภ์มาก่อน” ชีพจรที่เต้นราบรื่นไม่ติดขัด เมื่อสัมผัสราวกับสัมผัสไข่มุกอันใดที่เป็นนามธรรมอันใดเหล่านั้น ที่สำคัญก็คือ…ไม่มีการเต้นเป็นพิเศษ ใครจะมีเวลาว่างมานั่งตรวจดูว่าตนเองจะตั้งครรภ์หรือไม่กันเล่า
คุณชายเสียนเกอแสดงออกมาว่าคร้านจะโต้เถียงกับศิษย์น้องผู้โง่เขลา “อย่างไร ก็ยินดีกับเจ้าด้วย ผ่านไปอีกหกเจ็ดเดือน เจ้าก็จะเป็นมารดาแล้ว”
หนานกงมั่วชะงักนิ่ง ยื่นมือไปสัมผัสหน้าท้องที่ยังเรียบพร้อมถอนหายใจออกมา “ข้ายังไม่ได้เตรียมตัวมีลูก”
คุณชายเสียนเกอย่นจมูก “หากไม่เตรียมตัวเจ้าจะท้องหรือ” แม้จะเชี่ยวชาญและด้อยในบางอย่าง แต่คุณชายเสียนเกอกล้ารับประกันว่าต่อให้ศิษย์น้องของเขาไม่อยากมี ต่อให้เว่ยจวินมั่วพยายามไปทั้งชีวิตก็ไม่มีทางมีลูกได้ ในเมื่อตัดสินใจแล้ว ยังจะเสแสร้งไปทำไม
ในขณะที่หนานกงมั่วคิดว่าไม่มีทางพูดคุยดีๆ กับศิษย์พี่ของตนเองได้
“คุณชายเสียนเกอ อู๋สยาตื่นแล้วหรือ” องค์หญิงฉังผิงยกถ้วยยาเข้ามาให้ด้วยตนเอง มองเห็นหนานกงมั่วลุกขึ้นมานั่งพลันเอ่ยด้วยความยินดี “อู๋สยาตื่นแล้วหรือ รีบดื่มยาถ้วยนี้เถิด นี่เป็นยาที่คุณชายเสียนเกอจ่ายให้ด้วยตนเอง”
หนานกงมั่วยื่นมือไปรับ “ลำบากเสด็จแม่แล้ว”
องค์หญิงฉังผิงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ลำบากอันใดกัน เจ้าต่างหากที่ลำบาก ช่วงนี้เจ้าต้องพักผ่อนให้ดี เสียดายจวินเอ๋อร์กลับมาไม่ได้ น่าสงสารเจ้าแล้ว”
หนานกงมั่วส่ายศีรษะ ก้มลงไปดื่มยาในถ้วยรวดเดียว เมื่อยาไหลลงสู่ลำคอ ดวงตาของหนานกงมั่วพลันเบิกกว้าง พยายามกลืนยาทั้งหมดลงไปด้วยสีหน้านิ่ง ไม่ได้เสียอาการต่อหน้าองค์หญิงฉังผิง จ้องคุณชายเสียนเกอเขม็ง คุณชายเสียนเกอเลิกคิ้ว แม้แต่ตั้งครรภ์ยังไม่รู้ เห็นชัดว่าต้องจัดการ
“…” ดื่มยาที่มีรสชาติราวกับน้ำล้างหม้อลงไป ศิษย์พี่ช่างมีความสามารถ เพียงแต่ความสามารถนี้อย่าเอามาใช้กับนางก็พอแล้ว
องค์หญิงฉังผิงยังไม่พาหนานกงมั่วกลับเรือนชิงมั่ว เมื่อรู้ว่าหนานกงมั่วตั้งครรภ์แล้ว เยี่ยนอ๋องเองก็ดีใจออกหน้าออกตา ตัดสินใจให้น้องสาวและหลานสะใภ้อยู่ในจวนเยี่ยนอ๋องต่อเพื่อง่ายต่อการดูแลทันที อาศัยอยู่ที่เรือนหลังเดิมที่เว่ยจวินมั่วและหนานกงมั่วมาอยู่จวนเยี่ยนอ๋องในครั้งแรก เพียงแต่ได้รับการปรับปรุงขึ้นมาใหม่อีกครั้ง ยาบำรุงมากมายที่เหมาะแก่สตรีตั้งครรภ์ถูกส่งมามากมายจนพระชายาผู้สืบทอดเยี่ยนอ๋องรู้สึกอิจฉา แม้นางจะไม่เคยมีลูก แต่ต่อให้เป็นมารดาของหลานสาวหลานชายของเยี่ยนอ๋องเองยังไม่เคยได้รับการปรนนิบัติเพียงนี้ เพียงแต่อิจฉาก็จำต้องอดทน ใครใช้ให้นางเข้ามาอยู่ในจวนหลายปีแต่กลับไร้วี่แวว ไม่ง่ายกว่าจะตั้งครรภ์เด็กสักคน ทว่ากลับต้องมาเสียไปเพราะตนเอง
เดิมทีองค์หญิงฉังผิงจะไม่ยอม ยังอยู่ที่จวนเยี่ยนอ๋องท่านคิดจะทำให้ลูกสะใภ้ข้าเหนื่อยตายหรือ
จนกระทั่งเยี่ยนอ๋องรับปากว่าเรื่องน้อยใหญ่ในจวนทั้งหมดจะยกหน้าที่ให้เซียวเชียนชื่อเป็นคนจัดการ องค์หญิงฉังผิงจึงถอนหายใจและยอมตอบรับ
ชายแดนห่างออกไปไม่กี่ร้อยลี้ เว่ยจวินมั่วที่เพิ่งขับไล่ทหารเป่ยหยวนไปได้ถอนทัพกลับมาที่ค่าย ใบหน้าหล่ออเหลาไร้ความรู้สึก เห็นอยู่ว่าร่างกายของเขาสะอาดที่สุด ราวกับไม่โดนเลือดหรือฝุ่นจากสนามรบเลยด้วยซ้ำ แต่คนอื่นๆ แทบอดไม่ได้อยากหลีกหนีเขา เดิมทีคุณชายผู้นี้ก็เย็นชาดุจขุนเขาไม่กล้าเข้าใกล้ เมื่ออยู่ในสนามรบราวกับกลายร่างเป็นอสุรามาจากนรก คนเคยกล่าวว่าสังหารคนไม่กะพริบตา คุณชายท่านนี้แม้เส้นผมก็ยังไม่ขยับ อีกทั้งคนติดตามอยู่ข้างกายของเขาเหล่านั้น แต่ละคนเองก็ลงมือโหดเหี้ยม ทุกคนทุกแห่งที่เขาไปล้วนเกลื่อนไปด้วยซากศพ
เดิมทีในกองทัพยังมีคนสงสัยต่อความสามารถของแม่ทัพผู้มาใหม่ ผ่านสนามรบหลายวันมานี้ ทุกคนกลับหุบปากเงียบไปโดยไม่ได้นัดหมาย
คุณชายฉังเฟิงเดินเคียงข้างเว่ยจวินมั่วไปด้วยท่าทีสบายๆ ชุดเกราะสีแดงมีคราบเลือดเปรอะเปื้อนไม่น้อย มองผู้คนที่อยู่ไม่ไกล เลิกคิ้วพลางเอ่ย “คนพวกนี้…เห็นว่าเจ้าเป็นปีศาจร้ายแล้วหรือ คุณชายเว่ย ยินดีด้วย” เจ้าใช้วิธีที่แตกต่างออกไปเยี่ยงนี้ทำให้นายทหารยอมรับในตัวเจ้าได้
เว่ยจวินมั่วปรายตามองเขานิ่ง “เจ้าคิดว่าเจ้าดีไปกว่าข้างั้นหรือ”
คุณชายฉังเฟิงไหวไหล่ ก็ได้ ทุกคนก็พอๆ กัน ชื่อเสียงของเว่ยจวินมั่วไม่ดี พวกเขาก็ไม่ได้ดีไปกว่าใคร
“คนพวกนั้นริษยา” คุณชายฉังเฟิงเอ่ยอย่างใจเย็น “คุณชายข้ากล้าหาญและเก่งกาจ ถูกคนริษยาก็สมควรแล้ว”
“รายงานท่านแม่ทัพ จดหมายจวนเยี่ยนอ๋องขอรับ” ทหารองครักษ์คนหนึ่งวิ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว ยื่นจดหมายฉบับหนึ่งให้อย่างนอบน้อม
เว่ยจวินมั่วขมวดคิ้ว หลังจากที่เขามาอยู่ในกองทัพของเซี่ยลี่เสด็จลุงไม่เคยเขียนจดหมายมาให้เขา อย่างไรเสีย…มีเซี่ยลี่อยู่หากมีเรื่องสำคัญไม่มีทางเขียนจดหมายมาบอกเขาแน่ เรื่องไม่สำคัญแน่นอนว่าไม่จำเป็นต้องเขียนจดหมายที่ต้องผ่านการตรวจสอบหลายชั้น
เว่ยจวินมั่วเปิดออกดู ใบหน้าหล่อเหลายังคงไร้อารมณ์ แต่คุณชายฉังเฟิงที่รู้จักเขาเป็นอย่างดีกลับสามารถอ่านได้ว่าเขากำลังทำอันใดไม่ถูก
ทำอันใดไม่ถูกอย่างนั้นหรือ เรียวคิ้วของคุณชายฉังเฟิงเลิกขึ้น เขาไม่ได้มองผิดใช่หรือไม่ ประโยคนี้ใช้กับเว่ยจวินมั่วเหมาะสมแล้วหรือ
“เกิดเรื่องอันใดขึ้น” ลิ่นฉังเฟิงเอ่ยถาม
เว่ยจวินมั่วเงยหน้าขึ้นมา เนิ่นนานก่อนจะเอ่ย “อู๋สยา…อู๋สยาตั้งครรภ์แล้ว”
คุณชายฉังเฟิงเองก็ตกตะลึง เอ่ยออกมาโดยไม่คิด “ลูกเจ้าหรือ”
พลั่ก!
ทุกคนในกองทัพต่างมองเห็น ไม่รู้ทำไมร่างกายของคุณชายฉังเฟิงจึงกระเด็นลอยออกไป จากนั้นชนเข้ากับเสาธงที่อยู่ไม่ไกลอย่างแรง เสาธงสั่นแล้วหักเป็นสองส่วน
อึก…เจ็บมาก ทุกคนยกมือขึ้นมาลูบหลังตนเองโดยไม่ได้นัดหมาย
“เว่ยจวินมั่ว” คุณชายฉังเฟิงตะโกนออกมาด้วยความโกรธ ไม่รู้จักการพลั้งปากหรืออย่างไร สมควรหรือ เอวข้าจะหักอยู่แล้ว…
ทุกคนหันกลับไปมองแม่ทัพเว่ย ทว่าเห็นแม่ทัพเว่ยเดินเร็วกว่าปกติกลับไปยังกระโจมของตนเอง ไม่ชายตามองคุณชายฉังเฟิงเลยแม้เพียงนิด
น่าสงสาร…
“มองอันใด ยังไม่มาช่วยพยุงข้าอีก” ลิ่นฉังเฟิงมองทหารที่มาชมความครึกครื้นรอบๆ เอ่ยอย่างหงุดหงิด ไร้มารยาท เพียงเวลาไม่นานรู้จักเรียนรู้ที่จะชมความครึกครื้นแล้วหรือ ทหารสองคนรีบเข้ามาพยุงซ้ายขวาพาเขาลุกขึ้นมา