คุณหนูตันจูจะขายจวน?
พ่อค้าคนหนึ่งอดถามไม่ได้ “ท่านไม่เปิดร้านยาแล้วหรือ”
ในเวลาเดียวกัน ภายในใจยิ่งตกตะลึง คุณหนูตันจูเปิดร้านยาดุจดั่งปล้นทรัพย์ หากต้องการขายจวน จะไม่เป็นการปล้นทั้งเมืองหลวงหรือ
พวกเขาคงจะไม่มีกิจการให้ทำแล้วกระมัง
พ่อค้าคนอื่นต่างก็มีความคิดเช่นนี้ สีหน้าหวาดเกรง
เฉินตันจูหัวเราะ “ข้าหมายถึงข้าจะขายจวนของตนเอง” นางชี้ไปยังทิศทางหนึ่ง “จวนข้า จวนตระกูลเฉิน จวนท่านมหาราชครู”
ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้เอง เหล่าพ่อค้าต่างสบตากัน เหตุใดคุณหนูตันจูจึงต้องการขายจวน พวกเขามีความคิดเพียงหนึ่งเดียว…ตกทรัพย์?
เฉินตันจูเคาะโต๊ะขึ้นอีกครั้ง ดึงความคิดของคนเหล่านี้กลับมา “ข้าต้องการขายจวน ขายให้โจวเสวียน”
เมื่อได้ยินชื่อของโจวเสวียน เหล่าพ่อค้าต่างกระจ่างขึ้นในทันที ทุกอย่างล้วนชัดเจน สายตาที่มองไปยังเฉินตันจูแปรเปลี่ยนเป็นความสงสาร? หรือสมน้ำหน้า?
มิน่าเฉินตันจูต้องการขายจวน ที่แท้ครั้งนี้นางเป็นคนที่เจอการปล้นเสียเอง!
โจวเสวียน บุตรชายของโจวชิง ขุนนางผู้มีคุณงามความดีที่ทำให้ท่านอ๋องฉียอมน้อมรับโทษ อีกทั้งกำลังจะถูกฮ่องเต้สถาปนาเป็นท่านโหว การสถาปนาในครั้งนี้เป็นครั้งแรกของราชสำนักในเวลาหลายสิบปี…
เมื่อเทียบกับเฉินตันจู คนผู้นี้สามารถทำตัวโอหังได้มากกว่า
เขาต้องการจวนของเฉินตันจู! เฉินตันจูไม่ขายไม่ได้ อืม พวกเขาต้องทำอย่างไร หากช่วยเฉินตันจูเรียกราคาสูงจะถูกโจวเสวียนตีหรือไม่
สีหน้าของพวกเขาแปรเปลี่ยนไปอย่างซับซ้อนและวิตก
เฉินตันจูมองออกถึงความคิดของพวกเขา เลิกคิ้ว “อย่างไร พวกเจ้าไม่ทำการค้ากับข้า?”
พ่อค้าทั้งหลายสั่นเทาขึ้นมาทันที ไม่ช่วยเฉินตันจูขายจวน ย่อมต้องถูกตีทันที!
เฉินตันจูหัวเราะ “พวกเจ้าไม่ต้องกลัว ข้ากับเขาเป็นการซื้อขายแบบจริงจัง มีฝ่าบาทดูอยู่ พวกเราจะทำผิดกฎได้อย่างไร พวกเจ้าตีราคาสูงให้จวนของข้า อีกฝ่ายย่อมต้องต่อราคา การค้าขายย่อมต้องเจรจา ต้องพึงพอใจกันทั้งสองฝ่ายจึงจะสำเร็จได้ เรื่องนี้เป็นเรื่องของข้ากับเขา ไม่เกี่ยวกับพวกเจ้า”
เช่นนี้หรือ เหล่าพ่อค้ามองหน้ากัน เรื่องมาถึงบัดนี้ก็ทำได้เพียงตอบรับ
“จวนของคุณหนูตันจูเป็นจวนที่ดีที่สุดในเมืองหลวง” พ่อค้าคนหนึ่งยิ้ม “พวกข้าเคยคุยกันเอง หากคุณหนูตันจูต้องการขายจวน ในเมืองหลวงอาจไม่มีคนซื้อได้”
ดังนั้นต้องตีราคาที่ไม่อาจซื้อได้เจรจาไม่สำเร็จหรือไม่
“ไม่ได้” เฉินตันจูตอบโดยตรง “แค่การซื้อขายปกติ ให้ราคาที่สมเหตุสมผลก็พอ”
แสดงว่าต้องการขายจริง อีกทั้งต้องไม่เสียเกียรติ ดังนั้นเป็นราคาที่สมเหตุสมผล เช่นนี้ก็คงทำอะไรได้บ้าง อาทิหินก้อนหนึ่งในสวนของตระกูลเฉินสืบทอดมาแต่โบราณ สมควรเพิ่มราคาเป็นต้น…เหล่าพ่อค้ากระจ่าง
“หากขายออกไปได้ เงินค่าจ้างพวกเจ้าเก็บอย่างไรก็เก็บอย่างนั้น” เฉินตันจูพูดอีก “ข้าไม่ให้พวกเจ้าต้องทำงานเปล่า”
ไม่เป็นอันใด เหล่าพ่อค้าคิดในใจ พวกข้าไม่ต้องให้เงินคุณหนูตันจูก็ถือว่ากำไรแล้ว จนกระทั่งเวลานี้พวกเขาถึงผ่อนคลายลง แต่ละคนเผยรอยยิ้มออกมา
แต่เฉินตันจูไม่อยากจะพูดกับพวกเขามากไปกว่านี้ นางเรียกขานอาเถียน “เจ้าพาทุกคนไปดูจวน ให้พวกเขาตีราคา”
อาเถียนถามเฉินตันจู “คุณหนูไม่ไปหรือเจ้าคะ” ไม่ได้กลับไปดูจวนนานแล้ว
เฉินตันจูส่ายหัว “ข้าไม่ไปแล้ว” ถึงแม้จะยินยอมขายให้โจวเสวียน แต่อย่างไรก็ตามไม่ใช่เรื่องที่ควรค่าแก่การดีใจ “ข้ากินอาหารรอเจ้าอยู่ตรงนี้”
อาเถียนเข้าใจอารมณ์ของคุณหนู จึงพาเหล่าพ่อค้าจากไป เยี่ยนเอ๋อและชุ่ยเอ๋อไม่ได้มา ภายในห้องมีเพียงเฉินตันจูคนเดียว
อาหารที่เลือกเอาไว้ไม่ได้ทำเสร็จเร็วมาก เฉินตันจูดื่มชาไปหนึ่งถ้วย เดินมาริมหน้าต่าง เวลานี้เป็นช่วงปลายฤดูใบไม้ร่วง อากาศเย็นสดชื่น ห้องนี้เป็นห้องอาหารที่อยู่ชั้นสาม หน้าต่างใหญ่รอบด้านล้วนเปิดออก เมื่อยืนอยู่ริมหน้าต่างสามารถมองเห็นจวนภายในเมืองหลวงที่ซ้อนทับกัน เงียบสงบและสวยงาม ก้มหน้าก็สามารถมองเห็นฝูงชนที่เดินไปมาอยู่บนท้องถนน คึกคักอย่างมาก
บนท้องถนนราวกับมีคนที่เดินทางมาใหม่ทุกวัน บ้างมาทั้งตระกูล บ้างเป็นคนที่มาทำการค้า อีกทั้งยังมีนักเรียนที่แบกชั้นวางตำรา…เมืองหลวงย้ายมา กั๋วจื่อเจี้ยนโรงเรียนสูงสุดของต้าเซี่ยย่อมต้องย้ายมา ทำให้นักเรียนทั่วแผ่นดินหลั่งไหลเข้ามา
แต่ว่ากั๋วจื่อเจี้ยนรับแต่บุตรหลานชนชั้นสูง ทะเบียนเหลืองและจดหมายแนะนำไม่อาจขาดสิ่งใดสิ่งหนึ่งได้ มิฉะนั้นถึงแม้เจ้าจะมีความรู้มากมายก็อย่าหวังจะได้เข้าไป
บนท้องถนนนักเรียนจากตระกูลเล็กแบกชั้นวางตำราแต่งกายยากจนนั้น เห็นได้ชัดว่าพวกเขาเดินทางมาหาโอกาสในเมืองหลวง ดูว่าสามารถปักหลักด้วยการอาศัยชนชั้นสูงคนใดได้
ดูคนเหล่านี้ สายตาของเฉินตันจูอ่อนโยน จางเหยาเป็นคนเช่นนี้ เขาแบกชั้นวางตำราเก่าๆ หนึ่งใบ สวมชุดเปรอะเปื้อนขาดๆ เดินทางมาด้วยรูปร่างผอมแห้ง เหมือนดั่งคนที่อยู่บนท้องถนนคนนั้น…
เฉินตันจูจับหน้าต่างเอาไว้ ยื่นออกไปครึ่งตัว สายตาที่เหม่อลอยถูกสะกดเอาไว้บริเวณหนึ่ง บริเวณนั้นคือหน้าประตูของร้านค้าแห่งหนึ่ง คนเดินเข้าๆ ออกๆ ดังนั้นคนที่หยุดนิ่งไม่ขยับจึงโดดเด่นอย่างมาก
เขาแบกชั้นวางตำรา สวมชุดเก่า รูปร่างผอมแห้ง กำลังเงยหน้ามองร้านค้านี้ ภายใต้แสงอาทิตย์ในฤดูใบไม้ร่วง แม้จะห่างกันไกลอย่างมาก แต่เฉินตันจูยังคงเห็นใบหน้าที่ซูบเซียว คิ้วบาง ดวงตาเรียวยาว จมูกโด่ง ริมฝี…
ดวงตาของเฉินตันจูคลุมเครือขึ้นมาทันที
จางเหยา
ในที่สุดนางก็พบเขาอีกครั้งแล้ว
ไม่ได้ฝันไปใช่หรือไม่ เหตุใดจางเหยามาในเวลานี้ เขาควรเดินทางมาหลังจากนี้อีกสองปีมิใช่หรือ เฉินตันจูยกมือขึ้นกัดลงไปหนึ่งที เจ็บ!
นางพยายามลืมตาขึ้น เพื่อให้น้ำตาสลายไป ก่อนจะมองจางเหยาที่ยืนอยู่บนถนนอีกครั้ง
จางเหยาไม่ได้เงยหน้ามอง หากแต่ก้มหน้าพูดบางอย่างกับคนข้างตัว…
เฉินตันจูหันหลังวิ่งออกไปด้านนอก เด็กในร้านกำลังจะดึงประตูออกเพื่อส่งอาหารเข้ามา เกือบจะถูกนางชนล้ม…
“คุณหนูตันจู…” เขาตะโกนด้วยความตะลึง พร้อมยืนชิดริมประตูทันที
เฉินตันจูวิ่งผ่านเขาไปอย่างรวดเร็ว ชายกระโปรงดุจดั่งปีกนก เด็กในร้านมองอย่างฉงน
คุณหนูตันจูวิ่งหนีอันใด คงไม่ใช่กินแล้วไม่จ่ายเงินกระมัง
ไม่ใช่
เด็กในร้านมองอาหารที่ถืออยู่บนมือของตนเอง หากยังไม่ทันได้กินถือว่าอย่างไร
เฉินตันจูวิ่งออกจากโรงเหล้ามากลางถนน เดินผ่านผู้คนพลุกพล่านมาถึงหน้าร้านค้าแห่งนี้ แต่หน้าประตูกลับไม่มีร่างของจางเหยา
นางก้มหน้ามองมือ รอบฟันบนมือยังอยู่ ไม่ใช่ความฝัน
จางเหยาเล่า? นางมองไปยังฝูงชนรอบด้าน คนที่ผ่านไปมามีมากมาย แต่ล้วนไม่ใช่จางเหยา
นางเงยหน้ามองร้านค้านี้อีกครั้ง เป็นร้านค้าขายของชำธรรมดา เฉินตันจูเดินเข้าไปในร้าน เด็กในร้านรีบถาม “คุณหนูรับอะไรขอรับ”
เฉินตันจูพลางดูพลางถาม “ร้านพวกเจ้ามีคน…”
คน? เด็กในร้านผงะ “คนใดขอรับ พวกเราขายของชำขอรับ”
เฉินตันจูดูเสร็จสิ้นแล้ว ร้านค้าไม่ใหญ่ มีเพียงสองสามคน เวลานี้กำลังมองนางอย่างฉงน ไม่มีจางเหยา
เฉินตันจูหันหน้าเดินออกมา ยืนมองซ้ายมองขวาอยู่บนถนน เห็นคนที่แบกชั้นวางตำราก็เดินตามไป แต่สุดท้ายไม่ใช่จางเหยา…
เจ้านั่น หลบไปอยู่ที่ใดกัน
ไม่ได้ป่วยอยู่หรือ เหตุใดจึงเดินเร็วเพียงนี้ เขาเพิ่งเข้าเมืองหรือ หรือว่าไปหาหลิวจั่งกุ้ยแล้ว
“คุณหนูตันจู” เมื่อเห็นเฉินตันจูกำลังจะวิ่งอีกครั้ง จู๋หลินที่ทนดูต่อไม่ได้รีบรั้งเอาไว้ ถาม “ท่านจะไปที่ใด”
เฉินตันจูตอบ “หุยชุนถัง หุยชุนถัง เร็วเข้า”
เหตุใดจึงต้องการไปหุยชุนถังอีกแล้ว จู๋หลินคิดในใจ ก่อนจะจูงรถม้ามา “นั่งรถม้าเถิด เร็วกว่าคุณหนูท่านวิ่ง”
ในขณะที่เฉินตันจูนั่งรถม้าจากไปนั้น โรงเตี๊ยมริมทางมีร่างหนึ่งเดินออกมา พลางเดินพลางไอ ชั้นวางตำราบนหลังสั่นสะเทือน ราวกับนาทีถัดมาจะพังทลาย
เขาเลิกคิ้วบางขึ้น ยกมือปิดปากเพื่อปิดกั้นเสียงไอ บ่นพึมพำออกมา “ที่นี่คือเมืองหลวงใหม่มิใช่หรือ เพิ่งฟื้นฟูและบูรณะ เหตุใดที่พักแรมจึงแพงเช่นนี้”