คนที่คุกเข่าด้านหน้าต่างหันไปถลึงตาใส่ชายที่ข่มขู่ลู่เจียว “หนิวเอ้อร์ เจ้าพูดจาเหลวไหลอะไร เจ้าคิดให้ร้ายพวกเราหรือ”
“เจ้าเป็นใครกัน กล้ามาข่มขู่เจ้าของที่ ที่นานี้เป็นของนาง หากนางไม่ยอมให้เช่า พวกเราก็ทำอะไรไม่ได้”
ชาวบ้านที่ดีหลายคนหันหน้าไปตำหนิหนิวเอ้อร์
หนิวเอ้อร์อ้าปากคิดโต้เถียง แต่ลู่เจียวเอ่ยว่า “ท่านอาเซียว มาจัดการเรื่องนี้”
วันหน้าตาเฒ่าเซียวก็คือคนจัดการเรื่องที่นา ลู่เจียวคิดดูฝีมือการจัดการของเขา
ตาเฒ่าเซียวได้ฟังคำพูดลู่เจียวก็รีบเข้ามามองชายร่างกำยำที่เพิ่งข่มขู่ลู่เจียวด้วยสีหน้าเย็นชา
“หนิวเอ้อร์ใช่ไหม เจ้าว่าเหนียงจื่อไม่ให้เจ้าเช่าที่ก็คือบีบให้พวกเจ้าไปตาย งั้นพวกเจ้าก็ไปตายซะ ข้าอยากดูนักว่าเจ้ากล้าไปตายไหม”
ตาเฒ่าเซียวกล่าววาจาหนักแน่น
หนิวเอ้อร์หน้าเปลี่ยนสี ครอบครัวที่อยู่ด้านหลังของเขาก็เช่นกัน
แต่เขาแววตาเขากลอกวนแล้วก็ร้องตะโกนดังขึ้น “พวกเจ้ารีบมาดูเร็ว หญิงผู้นี้ไม่อยากให้พวกเราเช่าที่นาแล้ว นางไม่ให้ทางรอดพวกเราแล้ว คิดบีบพวกเราให้ไปตาย พวกเราไม่มีทางรอดแล้ว”
หนิวเอ้อร์กล่าวจบ คนไม่น้อยก็พากันตกใจ ผู้ใหญ่และเด็กต่างลนลานแตกตื่นกันไปหมด ในนั้นมีสองครอบครัวแผดเสียงตะโกนดังตามหนิวเอ้อร์
“ไม่ได้ ถือสิทธิ์อะไรไม่ให้พวกเราเช่าที่เพาะปลูก พวกเราเดิมก็เพาะปลูกกันอยู่ดีๆ ปรากฏพอเปลี่ยนเจ้าของ ก็ไม่ให้พวกเราเช่า นี่ยังมีกฎหมายอยู่อีกไหม”
“เจ้าคิดจะบีบให้พวกเราไปตาย หากเจ้ากล้าไม่ให้พวกเราเช่าที่นา พวกเราก็จะไปตาย”
ตาเฒ่าเซียวแค่นหัวเราะเยียบเย็น “อยากตายก็รีบไป ไม่ต้องเอาแต่ร้องไห้ก่อเรื่องอยู่ตรงนี้ ข้าอยากดูนักว่าพวกเจ้าไปตาย นายอำเภอจะเอาผิดพวกเราไหม พวกเราซื้อที่มา ยอมให้พวกเจ้าเช่าหรือไม่ล้วนเป็นความเมตตาของพวกเรา ไม่ใช่ให้พวกเจ้ามาบีบพวกเรา”
ตาเฒ่าเซียวกล่าวจบ ลู่เจียวก็สั่งการสีหน้าเย็นเยียบ “ท่านอาเซียว หร่วนจู๋ ไล่สามครอบครัวนี้ออกไป เฝิงจือจัดการมอบเงินเป็นค่าเพาะปลูกในที่นาตามราคาปกติให้พวกเขาเสีย ให้พวกเขารีบไสหัวไป”
“เจ้าค่ะ เหนียงจื่อ”
จุดจบเช่นนี้ทำเอาทุกคนอึ้งไปทันที หนิวเอ้อร์ยืนขึ้นคิดก่อเรื่อง
ตาเฒ่าเซียวเดินเข้ามาหิ้วปีกหนิวเอ้อร์เหมือนหิ้วไก่ตัวน้อย
หร่วนจู๋ก็หิ้วอีกคน เห็นชัดว่าเป็นแค่สาวใช้ แต่พอนางหิ้วผู้ชายสองคน พวกเขาก็ขยับตัวไม่ได้แม้แต่น้อย
ทุกคนในที่นั้นเห็นการเคลื่อนไหวของทั้งสองคน ยังจะมีอะไรไม่เข้าใจอีก
คนที่เจ้าของที่พามาเห็นชัดว่าเป็นวิชายุทธ์ และดูแล้วไม่อ่อนด้อยอีกด้วย
ยามนี้ไม่มีคนกล้าพูดอะไรอีก อย่างมากก็มีแค่เสียงขอร้อง
ลู่เจียวสั่งตาเฒ่าเซียวและหร่วนจู๋ขับไล่สามครอบครัวนี้ออกจากโรงบ้าน
ลูกน้องจ้าวหลิงเฟิงก็เข้าไปช่วย หนิวเอ้อร์กับอีกสองตระกูลถูกขับออกจากโรงบ้านไปอย่างรวดเร็ว
ลู่เจียวกวาดตามองชาวนาที่เหลือ บอกให้พวกเขาลุกขึ้น
“กล่าวกับทุกท่านตามตรง ไม่ใช่ข้าไม่ให้พวกเจ้าเช่าที่นา แต่ที่นาข้าซื้อมาเพื่อปลูกสมุนไพรโดยเฉพาะ ไม่ให้ปลูกข้าวเจ้า”
พอลู่เจียวกล่าวจบ ชาวนาเช่าที่นาทำกินก็รู้ว่าพวกเขาไม่มีที่เพาะปลูกแล้ว แต่ละคนสีหน้าซีดเผือดชายชรากับเด็กๆ ต่างร้องไห้ระงม
ลู่เจียวกระแอมไอก่อนจะกล่าวว่า “ความจริงพวกเจ้าเช่าที่นาก็มีแค่พอกินอิ่ม ไม่ได้ทำเงินให้พวกเจ้ามากมายเท่าไร”
ชายชราผู้หนึ่งในบรรดาชาวนาเช่าที่นาทำกินรีบกล่าวว่า “แม้ว่าได้เพียงแค่กินอิ่มนอนอุ่น อย่างไรก็เลี้ยงดูครอบครัวใหญ่ได้ แต่หากจะให้พวกเราออกไปหางานทำ ประการแรก พวกเราอายุมากแล้ว ทำงานไม่ไหว ประการที่สอง เจ้าของกิจการทั่วไปล้วนค่อนข้างใจดำ มักจะชอบหักเงินพวกเรา สุดท้ายนับดูแล้วก็เหมือนว่าเหลือไม่เท่าไร เช่นนั้นครอบครัวใหญ่ของพวกเราจะทำเช่นไร”
ชายชรากล่าวจบก็น้ำตาไหลพราก ลู่เจียวเห็นแล้วก็ทนไม่ไหว นางค่อยๆ กล่าวว่า “พวกเจ้าอย่าเพิ่งเสียใจหวาดกลัวกันไป ข้ามีความร่วมมืออีกทางให้พวกเจ้า ลองฟังดูก่อนว่าได้ไหม”
“ที่นาข้า แม้ว่าปลูกสมุนไพร แต่ก็ต้องมีคนดูแล ดังนั้นข้าจะจ้างพวกเจ้าเป็นคนงานระยะยาวของข้า ระยะเวลาห้าปี ข้าจะให้เงินเดือนพวกเจ้า เช่นนี้ครอบครัวพวกเจ้าทุกคนก็จะมีเงิน และข้ารู้สึกว่าเงินนี่ไม่น้อยไปกว่าการทำนา นอกจากพวกเจ้ากินใช้แล้ว ก็ยังมีเงินเก็บ ไม่แน่อีกห้าปีอาจซื้อที่นาได้เอง เช่นนี้ดีกว่าไปเช่าที่นาผู้อื่นทำกินไหม”
ลู่เจียวกล่าวจบก็มีคนหัวคิดไวเริ่มหวั่นไหว ถามทันทีว่า “ลู่เหนียงจื่อ พวกเราทำงานให้ท่าน เดือนหนึ่งได้เท่าไร”
ลู่เจียวหันไปมองคนที่พูด “แรงงานชายแข็งแรงเดือนละหนึ่งตำลึง ผู้หญิงและคนชราที่บ้านได้หกร้อยเหรียญทองแดง”
แรงงานชายแข็งแรงเดือนละหนึ่งตำลึง ปีละสิบสองตำลึง กอปรกับภรรยาและคนชราที่บ้านได้หกร้อยเหรียญทองแดง เช่นนี้ทุกคนลองคิดดูแล้ว ปีหนึ่งนอกจากค่ากินใช้จ่าย ยังเหลือสิบกว่าตำลึง สะสมห้าปีก็ห้าสิบตำลึง ไปหาหมู่บ้านเล็กๆ ละแวกนี้ซื้อที่นาได้เจ็ดแปดหมู่
ยามนี้ทุกคนเริ่มหวั่นไหวกันแล้ว แต่มีคนเป็นห่วงถามว่า “ลู่เหนียงจื่อ ไม่ใช่ว่าสุดท้ายท่านไม่ยอมจ่ายเงินให้เราแล้วไล่พวกเราออกไปแทนเล่า”
ลู่เจียวยิ้มกล่าวว่า “ในสัญญาจะเขียนเรื่องพวกนี้ไว้ชัดเจน นายจ้างไม่อาจยกเลิกสัญญาจ้างงานอย่างไรเหตุผล และไม่อาจนำเหตุผลที่ไม่สมควรมาหักเงินเดือน ดังนั้นพวกเจ้าอย่าได้เป็นห่วง”
ลู่เจียวเพิ่งกล่าวจบ จ้าวหลิงเฟิงก็เอ่ยขึ้นว่า “พวกเจ้ารู้ไหมนางคือใคร นางคือภรรยาเซี่ยซิ่วไฉที่ช่วยนายอำเภอชิงเหอกำจัดสองขุนนางชั่ว นางไม่หักเงินพวกเจ้าแน่นอน”
ระยะนี้ในอำเภอชิงเหอกำลังวิพากษ์วิจารณ์กันร้อนแรงเรื่องนายอำเภอหูจัดการขุนนางโกงกินใหญ่สองคน ตอนวิพากษ์วิจารณ์กันยังกล่าวถึงเซี่ยซิ่วไฉ ว่าเซี่ยซิ่วไฉช่วยนายอำเภอหูล้มรองนายอำเภอหยางกับเผิงจู่ปู้
ดังนั้นแม้แต่ชาวบ้านห่างไกลก็ได้ยินเรื่องนี้มาเช่นกัน ยามนี้ชาวนาเช่าที่นาทำกินพอได้ฟังจ้าวหลิงเฟิงก็ส่งเสียงดังขึ้นอย่างดีใจ
“ที่แท้ลู่เหนียงจื่อเป็นภรรยาเซี่ยซิ่วไฉ งั้นพวกเราวางใจแล้ว”
มีคนหนึ่งในนั้นแอบงึมงำว่า “ข้าได้ยินว่าเซี่ยซิ่วไฉมีชาติกำเนิดมาจากครอบครัวยากจน”
วาจานี้หมายความว่าเซี่ยอวิ๋นจิ่นเป็นคนยากจน ตอนนี้ทำไมมีเงินมาซื้อที่นา
จ้าวหลิงเฟิงได้ฟังรีบมองไปยังคนพูด อธิบายว่า “เซี่ยซิ่วไฉมาจากครอบครัวยากจน แต่ภรรยาเขาเป็นคนมีความสามารถ ย่อมหาเงินได้ พวกเจ้าอย่าดูแคลนลู่เหนียงจื่อ นางเป็นคนหาเงินเก่งมากๆ”
ทุกคนเงยหน้ามองไปยังลู่เหนียงจื่อทันที คิดถึงสองคนข้างกายลู่เหนียงจื่อก่อนหน้านี้ แล้วก็หวนมาคิดถึงท่าทางเอาจริงของนาง ดูท่าแล้วเหมือนคนร้ายกาจมากจริงๆ
ภรรยาร้ายกาจอย่างนี้ วันหน้าเซี่ยซิ่วไฉจะกล้าเจ้าชู้ไหม แม้เขาเป็นขุนนาง จะกล้ารับอนุไหม
คนไม่น้อยพากันเห็นใจเซี่ยซิ่วไฉแล้ว
ลู่เจียวถลึงตาใส่จ้าวหลิงเฟิงอย่างอารมณ์เสีย อยู่ดีๆ เอ่ยถึงเซี่ยอวิ๋นจิ่นทำไมกัน
จ้าวหลิงเฟิงยิ้มเฝื่อน เดิมเขาคิดประจบสักหน่อย ปรากฏประจบหนักไปหน่อย ดูท่าเขาไม่เหมาะกับการทำตัวประจบสอพลอจริงๆ