ที่แท้แล้วก็เป็นเรื่องนี้นี่เอง
สืออีเหนียงถอนหายใจด้วยความโล่งอก
เห็นได้ชัดว่าเฟิ่งชิงขาดความรู้สึกปลอดภัย หากมีคนที่คุ้นเคยร่วมเดินทางไปที่ซีซานด้วย บางทีอาจจะปรับตัวได้ง่ายขึ้น แต่ทว่า เมื่อนึกถึงสวีลิ่งอี๋ที่สุดท้ายแล้วก็ยังจะต้องส่งเด็กกลับไปยังบ้านเกิด ท้ายที่สุดเด็กก็ยังคงต้องผิดหวังอยู่ดี…แววตาของนางก็หม่นหมองไปในทันที
“ท่านโหวเกรงใจไปแล้ว อย่างไรเสียตงชิงก็ว่างงานไม่มีสิ่งใดทำ ได้เดินทางไปซีซานเป็นเพื่อนเฟิ่งชิง ก็ยังถือว่าได้ออกไปเปิดหูเปิดตา คงจะดีใจเสียด้วยซ้ำ มีอะไรให้ลำบากใจกันเจ้าคะ”
“ถึงอย่างไรก็เป็นสาวใช้คนสนิทของเจ้า” สวีลิ่งอี๋พูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม “อีกอย่างนี่ก็ปีใหม่แล้ว เป็นช่วงที่ยุ่งวุ่นวายที่สุด” พูดจบ สีหน้าของเขาพลันเปลี่ยนไป “รอน้องสะใภ้ห้าคลอดบุตรแล้ว ทุกอย่างก็จะดีขึ้น”
คงจะหมายถึงปีนักษัตรที่ต้องหลีกเลี่ยงกระมัง!
สืออีเหนียงรู้ว่าที่ผ่านมาเขาเองไม่เห็นด้วยกับเรื่องนี้เลย นางเองก็ไม่เห็นด้วยกับเรื่องนี้เช่นกัน เพียงแต่ว่าเรื่องนี้มีความเกี่ยวเนื่องไปถึงไท่ฮูหยินและฮูหยินห้า ตนควรออกความคิดเห็นให้น้อยที่สุดจะดีกว่า
นางพูดปลอบใจสวีลิ่งอี๋ให้คลายกังวลอยู่ครู่หนึ่ง หลินปัวก็มาถึงพอดี “ท่านโหว กุนซือคนสนิทของใต้เท้าหวังหวังลี่พาคนแปลกหน้ามาขอรับ บอกว่ามีเรื่องสำคัญจะคุยกับท่านเป็นการส่วนตัว พ่อบ้านไป๋ว่าถึงแม้คนเหล่านั้นจะไม่คุ้นหน้า แต่ดูจากลักษณะวาจาและการแต่งตัวแล้ว คงไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน จึงให้บ่าวมาถามท่านขอรับ”
ใบหน้าของสวีลิ่งอี๋แสดงให้เห็นถึงความประหลาดใจ เขาพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ครุ่นคิด “ในเมื่อเป็นคนของท่านโหว…ก็เชิญเขาไปที่โถงบุปผาก็แล้วกัน”
หลินปัวขานรับแล้วออกไป
สืออีเหนียงรู้ว่าเขาจะต้องไปรับแขก จึงรีบลุกขึ้นเพื่อไปส่งเขาที่ประตู
เมื่อเดินไปถึงประตู สวีลิ่งอี๋ก็ชะงักฝีเท้าลง หันไปจ้องมองสืออีเหนียงด้วยความลังเลใจอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงพูดขึ้นว่า “นี่ก็ไม่เช้าแล้ว ช่องทางแคบเล็กนั่นเดินไม่ค่อยสะดวกเท่าไรนัก เจ้าเองก็กลับไปเช้าหน่อยก็แล้วกัน!”
เป็นห่วงงั้นหรือ!
สืออีเหนียงยิ้มขึ้นบางๆ นางย่อตัวทำความเคารพพร้อมกับขานรับว่า “เจ้าค่ะ ท่านโหวเองก็ระวังตัวด้วย”
สวีลิ่งอี๋พยักหน้าเบาๆ จากนั้นหลินปัวก็นำหน้าพาเขาไปยังโถงบุปผาที่เรือนนอก
ทุกคนจึงได้ถอนหายใจด้วยความโล่งอกไปตามๆ กัน
ปินจวี๋พูดจาฉะฉานเช่นเคย “ยังดีที่ท่านโหวไม่สืบสาวราวเรื่อง”
แต่สืออีเหนียงกลับเอาแต่ครุ่นคิดเรื่องของเฟิ่งชิง
ในเมื่อจะต้องส่งเฟิ่งชิงไปที่ซีซาน ก็ควรจะบอกกล่าวเขาล่วงหน้าสักหน่อย มิเช่นนั้นเด็กก็จะสับสนมึนงง รู้สึกว่าพวกผู้ใหญ่เอาแต่โยนเขาไปๆ มาๆ ทำให้เขารู้สึกไม่มีความปลอดภัยไปกันใหญ่
สืออีเหนียงจึงบอกเรื่องการตัดสินใจของสวีลิ่งอี๋ให้กับตงชิง “…อีกสองสามวันจะส่งเด็กไปที่ซีซาน เจ้าตามไปดูแลเขาสักช่วงหนึ่ง”
ตงชิงค่อนข้างรู้สึกประหลาดใจ แต่เมื่อคิดดูดีๆ ก็เข้าใจขึ้นมา ตนต้องหลีกเลี่ยงฮูหยินห้าจึงต้องอยู่แต่ในเรือน ถึงแม้ว่าจะไปที่ซีซาน ก็คงจะไม่มีใครสังเกตเห็น ไม่เหมือนกับสาวใช้คนอื่นๆ กำลังจะปีใหม่แล้ว หากจู่ๆ ขาดหายไปสักคน ก็จะมีคนถามขึ้นมาอย่างเลี่ยงไม่ได้ พลอยจะทำให้เรื่องนี้ยุ่งยากและบานปลายไปกันใหญ่ นางจึงรีบย่อตัวพลางขานรับ “เจ้าค่ะ” จากนั้นก็พูดขึ้นว่า “ฮูหยินวางใจ บ่าวจะดูแลคุณชายน้อยเฟิ่งชิงอย่างดีเจ้าค่ะ”
สืออีเหนียงพยักหน้าเบาๆ จากนั้นก็หันไปพูดคุยกับเฟิ่งชิง “เฟิ่งชิง เจ้าจะต้องเชื่อฟังคำพูดของพี่ตงชิงดีๆ” จากนั้นก็ชี้ไปยังตงชิง “อีกสองสามวัน ตงชิงจะไปที่ซีซานเป็นเพื่อนเจ้า ที่นั่นยังมีพี่หญิงและป้าสะใภ้คนสวยอยู่ด้วย”
เฟิ่งชิงจ้องมองสืออีเหนียงด้วยนัยน์ตาที่ดำขลับอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจู่ๆ ก็พูดขึ้นว่า “ข้าจะเชื่อฟัง”
น้ำเสียงราวกับเสียงแรกขันของนกขมิ้น ไพเราะละมุนน่าฟัง
ทุกคนต่างก็พากันอึ้งไปหมด
ต่างก็คิดไม่ถึงว่าจู่ๆ เขาจะเอ่ยปากพูด และนึกไม่ถึงว่าน้ำเสียงของเขาจะไพเราะน่าฟังขนาดนี้
สืออีเหนียงทั้งรู้สึกทุกข์ระทมและขมฝาดขึ้นมาในใจ
น้ำเสียงที่ไพเราะนี้ คงจะได้มาจากมารดาของเขากระมัง!
หากว่าเป็นบุตรของสวีลิ่งอี๋ ตนก็ยังพอจะสามารถทำการตัดสินใจได้ แต่กลับเป็นบุตรของคุณชายห้า อีกทั้งยังมีแม่ใหญ่เป็นองค์หญิงตานหยางเช่นนี้…
ความสงสารเกิดขึ้นภายในใจของนาง สืออีเหนียงลูบศีรษะของเขาด้วยความเอ็นดูและทะนุถนอม
“เฟิ่งชิง ใกล้จะปีใหม่แล้ว” สืออีเหนียงโน้มตัวลงมาถามเขาด้วยรอยยิ้ม “เจ้ารู้หรือไม่ว่าปีใหม่คืออะไร”
เขาพยักหน้าเบาๆ “ปีใหม่ต้องจุดประทัด” น้ำเสียงไพเราะเป็นอย่างมาก
สืออีเหนียงรู้สึกว่าเขารู้เรื่องกว่าเด็กรุ่นราวคราวเดียวกันมาก จึงพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนกว่าเดิมว่า “ในเรือนมีเรื่องที่ต้องทำค่อนข้างเยอะ พวกเราต่างก็ไม่มีเวลาดูแลเจ้า ดังนั้นพี่ตงชิงจะไปที่ซีซานเป็นเพื่อนเจ้าและดูแลเจ้า เช่นนี้ พวกข้าจึงจะสามารถไปจัดการเรื่องต่างๆ โดยที่ไม่ต้องเป็นกังวลใจ!”
“ข้าจะเชื่อฟัง” เขาจ้องมองสืออีเหนียงตาปริบๆ “ข้าจะไม่วิ่งเล่นไปทั่ว”
สืออีเหนียงพลันน้ำตาคลอเบ้าขึ้นมาทันที
“ในเมื่อเจ้าเชื่อฟัง เช่นนั้นเจ้าต้องฟังคำพูดของข้า อีกสองสามวันจะต้องเดินทางไปที่ซีซานนะ!” สืออีเหนียงทำได้เพียงเลือกที่จะเพิกเฉยต่อคำพูดประโยคหลังของเขา “ที่ซีซานมีพี่หญิงด้วย”
“ข้าไม่เอาพี่หญิง” จู่ๆ เขาก็กระโดดขึ้นมา “ข้าไม่ไปที่ซีซาน” พูดจบก็วิ่งออกไปทางนอกห้องทันที
สืออีเหนียงรวบตัวเขาขึ้นมากอดไว้ “เฟิ่งชิง เจ้ารับปากข้าไปแล้ว ว่าเจ้าจะเชื่อฟังข้า”
เขาเม้มปากแน่น จ้องมองสืออีเหนียงไม่ยอมพูดอะไรออกมา
สืออีเหนียงแอบถอนหายใจ แต่กลับไม่กล้าที่หลบเลี่ยง และได้สบตาเขาตอบ
ผ่านไปครู่หนึ่ง เฟิ่งชิงก็คลายปาก แววตาค่อยๆ อ่อนลง
“เฟิ่งชิง เป็นเด็กดี” เมื่อเห็นว่าเขายอมถอย สืออีเหนียงก็รีบให้รางวัลโดยการลูบหลังเขาเบาๆ “ถึงตอนนั้นข้าจะให้พี่ตงชิงเอาของกินอร่อยๆ ไปที่ซีซานเยอะๆ ให้พี่หญิงที่อยู่ที่โน่นวิ่งเล่นในลานสวนเป็นเพื่อนเจ้า ซีซานกว้างกว่าที่นี่มาก มีที่เล่นสนุกๆ มากมาย…” สืออีเหนียงพูดปลอบประโลมเฟิ่งชิงด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนอยู่ครู่ใหญ่ อารมณ์จิตใจของเฟิ่งชิงจึงค่อยๆ สงบลง
สืออีเหนียงป้อนเขาทานขนมและป้อนชาให้เขาดื่ม จากนั้นก็ได้กำชับตงชิงอย่างละเอียดอีกรอบ แล้วจึงค่อยกลับเรือนของตนพร้อมหู่พั่วและจู๋เซียง
เมื่อถึงประตูทางเข้า ก็เจอเข้ากับสวีลิ่งอี๋พอดี
สีหน้าของเขาเยือกเย็นประดุจเกล็ดน้ำแข็ง เมื่อเจอสืออีเหนียง เขาก็พยักหน้า เล็กน้อย “เพิ่งจะกลับมาเอาป่านนี้ ทำไม เด็กคนนั้นสร้างเรื่องอีกแล้วหรือ” น้ำเสียงฟังดูเหมือนอารมณ์ไม่ค่อยดีเท่าไรนัก
สืออีเหนียงไม่รู้ว่าเขานั้นไปเจอกับใครมา และเกิดเรื่องอันใดขึ้นบ้าง เมื่อเห็นว่าเขาอารมณ์ไม่ดี สืออีเหนียงก็ยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า “เด็กเชื่อฟังดี ไม่ได้สร้างปัญหาอะไรเจ้าค่ะ เป็นข้าเองที่ได้ยินว่าท่านจะส่งเขาไปที่ซีซาน ก็เลยคิดว่าควรจะบอกเด็กสักคำ ถึงเวลาเด็กจะได้ไม่ต้องมานั่งงงงวยไม่เข้าใจ เกิดหวาดกลัวและกังวลใจขึ้นมา”
“เด็กอายุแค่สามขวบ จะไปรู้เรื่องอะไร” สวีลิ่งอี๋เองไม่ได้คิดเช่นนั้น จึงเดินเข้าเรือนไป
สืออีเหนียงรีบหันไปส่งสายตาให้กับหู่พั่วและจู๋เซียง ให้พวกนางระมัดระวังในการกระทำ จากนั้นก็เดินตามสวีลิ่งอี๋เข้าเรือนไป
เมื่อเชิญเขาไปนั่งที่เตียงเตาริมหน้าต่างในห้องชั้นในเรียบร้อยแล้ว สืออีเหนียงก็ได้นั่งลงตรงข้ามเขา หู่พั่วและจู๋เซียงแบ่งกันยกชามาให้คนละหนึ่งถ้วย จากนั้นก็ถอยออกไปด้วยความสงบเสงี่ยม
อารมณ์ฉุนฉียวของสวีลิ่งอี๋ก็ปะทุขึ้นมาทันที
เขาดีดตัวลุกขึ้นทันควัน “เรื่องงามหน้าที่น้องห้าทำไว้…” จากนั้นก็หันไปมองสืออีเหนียงด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความโมโห “เจ้ารู้หรือไม่ว่าคนที่มาซื้อเด็กคือใคร เป็นคนของจวนสกุลโอว!” เขาเอามือไขว้หลังพลางเดินวนไปวนมาด้วยความร้อนรุ่มกลุ้มใจ
สืออีเหนียงค่อนข้างรู้สึกตกใจ
นางคิดว่าเป็นคนของจวนสกุลหยาง!
เห็นสวีลิ่งอี๋ไปแล้วแต่กลับไม่ได้รู้สึกกลัว คนที่มีความกล้าเช่นนี้ทั้งเมืองต้าโจวมีเพียงไม่กี่ตระกูล แต่นึกไม่ถึงเลยว่าจะเป็นจวนสกุลโอว!
“ท่านโหว ท่านลดโทสะลงก่อน” เวลานี้สืออีเหนียงทำได้เพียงแค่เกลี้ยกล่อมโน้มน้าวเขาให้ใจเย็นลงเท่านั้น “ยังดีที่หาเด็กเจอแล้ว ไม่ได้เป็นเรื่องเป็นราวใหญ่โต”
“อะไรที่ว่าไม่เป็นเรื่องไม่เป็นราว!” สวีลิ่งอี๋ได้ยินแล้วก็ชะงักไปชั่วขณะ หันไปมองสืออีเหนียงพร้อมกับหัวเราะอย่างเย็นชา “เจ้ารู้หรือไม่ว่าคนที่มาแจ้งข่าวกับข้านั้นคือใคร เป็นคนของจวนสกุลหวัง คนของหวังจิ่วเป่า”
สืออีเหนียงอึ้งไปชั่วขณะ
เมื่อลองพิจารณาดูดีๆ ก็รู้สึกว่าค่อนข้างมีเหตุผล
คนที่เข้าใจเราที่สุดมักจะไม่ใช่มิตรของเรา แต่กลับเป็นศัตรูแทน
การเคลื่อนไหวของจวนสกุลโอว แน่นอนว่าพวกเขาคงจะรู้ดีกว่าคนอื่น
ตอนนี้หวังจิ่วเป่ามีเรื่องร้องขอต่อสวีลิ่งอี๋ หากสามารถช่วยสวีลิ่งอี๋จัดการเรื่องยากนี้ได้ หนึ่งคือสามารถแสดงศักยภาพและความสามารถของพวกเขาได้ และสองสามารถที่จะกระชับช่องว่างระหว่างสวีลิ่งอี๋ได้
สวีลิ่งอี๋ที่โกรธเป็นฟืนเป็นไฟกำลังเคาะนิ้วลงบนโต๊ะราวกับรัวกลอง
“เจ้ารู้หรือไม่ว่าจวนสกุลโอวนั้นคิดจะทำสิ่งใด เขาต้องการจะซื้อตัวเด็กกลับไปให้ผู้อาวุโสของชายที่รักเพศเดียวกันช่วยเลี้ยงดู และเมื่อโตขึ้นอายุราวสิบสามสิบสี่ปี ค่อยพากลับมาที่เมืองเยี่ยนจิง…”
สืออีเหนียงไม่อาจจะปกปิดสีหน้าที่ตกใจของตนได้ “ทำเช่นนี้ได้อย่างไรกัน!”
นางคิดว่าเมื่อสูญเสียการคุ้มครองดูแลของตระกูลไป จะมีเพียงเด็กหญิงเท่านั้นที่จะถูกรังแกเหยียดหยามให้ร่วงหล่นราวกับดอกไม้เสียอีก…
แต่เมื่อนึกขึ้นได้ว่าจวนสกุลหวังและจวนสกุลโอวเป็นปรปักษ์ต่อกัน จึงได้ถามขึ้นว่า “เรื่องนี้ใครเป็นคนพูดเจ้าคะ”
นางกลัวว่าจวนสกุลหวังจะฉวยโอกาสนี้ไปใส่ร้ายป้ายสี ยัดเยียดความผิดให้กับผู้อื่น!
“จวนสกุลหวังได้นำหลักฐานส่งมาให้ข้าเรียบร้อยแล้ว” สวีลิ่งอี๋สีหน้ามืดมน “และคนของเจ้าหน้าที่ก็ได้ทำการตรวจสอบชัดเจนแล้ว”
ในใจของสืออีเหนียงรู้สึกแน่นจนกระวนกระวายใจไปหมด
การเมืองในราชสำนักเป็นสิ่งที่สกปรกโสโครกที่สุดในใต้หล้านี้
ดวงตาชั้นเดียวคู่นั้นไม่เพียงแต่จะเหมือนสวีลิ่งอี๋ไม่มีผิด
หากตอนนั้นคุณชายห้าไม่ได้บอกเรื่องนี้กับสวีลิ่งอี๋ หากว่าสวีลิ่งอี๋เพิกเฉยไม่สนใจหรือไปช้าเพียงสักก้าว หากตอนนั้นสวีลิ่งอี๋ไม่ตัดสินใจพาตัวเด็กกลับมาที่จวนด้วยความโมโห…หากว่าขั้นตอนใดขั้นตอนหนึ่งไม่ได้ต่อเนื่องกัน เช่นนั้น ชะตาของเด็กที่ชื่อเฟิ่งชิงคงจะเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือทันที
จู่ๆ นางก็รู้สึกดวงตาแสบร้อนขึ้นมา
เฟิ่งชิง เด็กที่ไม่เคยได้รับสิทธิ์อำนาจใดๆ จากจวนสกุลสวี แต่กลับต้องมารับผิดชอบหนี้สินของจวนสกุลสวีแทน
“ท่านโหว หากส่งตัวเฟิ่งชิงไปไว้ที่ซีซาน จะปลอดภัยหรือไม่เจ้าคะ” นางนึกถึงจวนสกุลโอวที่กล้าลงมือได้แม้กระทั่งองค์ชายห้า และนึกไปถึงว่าจวนสกุลโอวนั้นเป็นตระกูลขุนพลนักรบ…
สีหน้าแววตาของสวีลิ่งอี๋เย็นยะเยือก “เรือนที่ซีซานได้จัดวางทหารที่ปลดประจำการจำนวนหนึ่งเฝ้าดูแลอยู่ จวนสกุลหวังมีสายที่คอยสอดส่องเป็นหูเป็นตาเฝ้าดูคนจวนสกุลโอว หากว่าพวกเขากล้า แน่นอนว่าพวกเขาไปแล้วจะไม่มีทางหวนคืน!”
ไปแล้วไม่มีทางหวนคืนจะมีประโยชน์อันใด
ที่นั่นยังมีฮูหยินสอง เจินเจี่ยเอ๋อร์และเฟิ่งชิง ล้วนแต่เป็นสตรีและเด็กทั้งสิ้น…
สืออีเหนียงอดไม่ได้ที่จะดึงแขนเสื้อของสวีลิ่งอี๋ “ท่านโหว ไม่กลัวหรือว่าถ้าเกิด เพียงแค่ว่าถ้าเกิด! อย่างไรเสียจวนสกุลหวังก็ไม่ได้สนิทกับตระกูลของเรา…”
“เจ้ารู้จักใบรับรองสมาชิกหรือไม่” สวีลิ่งอี๋เห็นสีหน้าที่ขาวซีดของภรรยา จึงรู้ว่านางเกิดกลัวขึ้นมา เขายิ้มพร้อมกับตบหลังมือของสืออีเหนียงที่จับแขนเสื้อเขาไว้เบาๆ “พวกเขาอยากให้ข้าช่วยออกหน้าเกลี้ยกล่อมโน้มน้าวราชนิกุลของเชื้อพระวงศ์ให้ช่วยสนับสนุนยกเลิกการปิดการคมนาคมทางท้องทะเล ดังนั้นจึงจำเป็นต้องทำให้ข้าเชื่อและศรัทธาในศักยภาพความสามารถของพวกเขา หากว่ามีกลอุบายตุกติกไม่ชอบมาพากล เรื่องการยกเลิกการคมนาคมทางท้องทะเล ก็จะเป็นโมฆะทันที”
ทั้งสองคิดไปในทิศทางเดียวกันแล้ว แต่ก็ยังไม่อาจจะคลายความกังวลใจของสืออีเหนียงได้
เพราะแผนการของจวนสกุลโอวนั้นมีเจตนาที่จะฆ่าคนของจวนสกุลสวี…นางกลัวว่าจวนสกุลโอวจะไม่ยอมรามืออย่างง่ายดายขนาดนั้น
แต่ในเมื่อพูดขนาดนี้ไปแล้ว นางจึงไม่สะดวกที่จะพูดอะไรมากไปกว่านี้ ทำได้เพียงแค่ฝืนยิ้มให้กับสวีลิ่งอี๋เท่านั้น
สวีลิ่งอี๋เห็นว่าการปลอบใจของเขาไม่ได้ทำให้ภรรยาสบายใจขึ้น นึกขึ้นได้ว่านางนั้นฉลาดหัวไวไม่เหมือนกับสตรีทั่วไป ก็เลยพูดต่อไปว่า “เรือนที่ซีซานมีอุโมงค์และห้องใต้ดิน นอกเสียจากว่าฝ่าบาทจะทรงส่งองครักษ์วังหลวงไปโจมตี มิเช่นนั้น ก็ถือได้ว่าเป็นโครงสร้างที่แข็งแกร่งไม่มีใครสามารถทำลายได้ พี่สะใภ้รองรู้เรื่องนี้ดี เจ้าไม่ต้องเป็นกังวลใจไป”
สีหน้าของสืออีเหนียงปรากฏความประหลาดใจขึ้นมา
นึกไม่ถึงเลยว่าเรือนที่ซีซานจะมีสถานที่ลับอีกที่
สวีลิ่งอี๋รู้ว่าตนนั้นเดาใจของนางถูก ก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มขึ้นพร้อมกับลูบหัวของสืออีเหนียงเบาๆ “ทีนี้วางใจได้แล้วหรือยัง”
ตัวเองควรเรียนรู้ที่จะเชื่อมั่นในตัวของสวีลิ่งอี๋จึงจะถูก
สืออีเหนียงกล่าวขอโทษเขาอย่างเปิดเผย “เป็นข้าเองที่คิดฟุ้งซ่านจนเกินไป!”
สวีลิ่งอี๋อารมณ์ดีขึ้นมาฉับพลัน เขายิ้มพร้อมกับจับมือของนางไว้ “ไปเถิด เราไปทานข้าวกับไท่ฮูหยินกัน!”
สืออีเหนียงไม่อยากจะทำให้เขาเสียน้ำใจ จึงปล่อยให้เขาจูงมือของตนไปถึงประตูห้องโถงแล้วค่อยสะบัดแขนออกเบาๆ
สวีลิ่งอี๋เองก็ไม่ได้ถือโทษโกรธอะไร เขาเพียงแค่ยิ้มพร้อมกับกะพริบตาให้นางเบาๆ จากนั้นก็เก็บสีหน้าเดินเข้าไปข้างในด้วยสีหน้าที่เคร่งขรึม
สืออีเหนียงจึงค่อยถอนหายใจด้วยความโล่งอก
นึกถึงเหตุการณ์ครั้งนั้นที่เขานั้นกำลังพูดคุยกับไท่ฮูหยิน แต่ด้านหลังของเขากลับกำลังแอบเล่นมือของตนไปด้วย…ยังมีอีกครั้งตอนกลางวันแสกๆ ยังกลัวว่าเขาจะรู้สึกสนุกที่จับมือของนางไปที่เรือนของไท่ฮูหยิน เกรงว่าพรุ่งนี้คนทั้งจวนคงจะรู้เรื่องกันทั่วหน้า แล้วหมวกที่ขึ้นชื่อว่า ‘มารยา’ ก็จะหล่นจากฟากฟ้าลงมาบนหัวของตน