“เจ้าว่าสิ่งใดเสียหายนะ” หนานกงมั่วขมวดคิ้วแน่น เซียวเชียนชื่อรีบตอบกลับด้วยอารมณ์โกรธ “เสบียงอาหารและหญ้าเลี้ยงม้าขึ้นราเสียหายจนหมด ของเช่นนี้อย่าว่าแต่จะเอาไปให้ทหารกินเลย แม้แต่เอาไปให้ม้ากินก็ยังมีปัญหา แต่ตอนนี้…”
“ทูลเสด็จลุงแล้วหรือยัง” หนานกงมั่วถามขึ้น
เซียวเชียนชื่อเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงหมดหวัง “เมื่อวานนี้เสด็จพ่อพาชายารองกงไปไหว้พระที่วัดหลิงเฉวียนแถวชานเมือง เห็นว่าจะถือศีลกินเจเพื่ออธิษฐานให้กับทหารที่ประจำการอยู่ด่านชายแดน”
หนานกงมั่วได้ยินแล้วก็อดไม่ได้ที่จะกลอกตามองบน ที่เขตชายแดนกำลังทำสงคราม แต่เยี่ยนอ๋องกลับพาอนุหนีไปถือศีลกินเจที่วัดหลิงเฉวียน ทิ้งเรื่องยุ่งเหยิงไว้ให้ซื่อจื่อที่เพิ่งจะเข้ามารับตำแหน่งดูแลจวนได้ไม่ถึงเดือน เยี่ยนอ๋องเข้าใจเล่นเสียจริง
“ไม่ได้ส่งคนไปทูลหรือ” หนานกงมั่วถามขึ้น เซียวเชียนชื่อส่ายหน้าด้วยสีหน้าว้าวุ่นใจ หนานกงมั่วกุมขมับพลางถอนหายใจออกมาเบาๆ ราวกับว่าเข้าใจในความคิดของเซียวเชียนชื่ออย่างไรอย่างนั้น ด้านหนึ่งคือเยี่ยนอ๋องที่กำลังถือศีลกินเจจึงไม่สามารถเข้าไปรบกวนได้ ส่วนอีกด้าน เซียวเชียนชื่อเองก็พึ่งจะเข้ามารับหน้าที่นี้ได้ไม่นาน เกรงว่าเซียวเชียนชื่อเองก็ไม่อยากจะให้เยี่ยนอ๋องมารับรู้เรื่องนี้เสียด้วยซ้ำ แต่ทว่า เรื่องแบบนี้จะปิดบังได้อย่างไรกันเล่า
หนานกงมั่วค่อยๆ หยัดกายลุกขึ้นยืนอย่างช้าๆ ด้านหลังมีชวีเหลียนซิงที่รีบเข้าไปช่วยประคองหนานกงมั่วลุกขึ้น หนานกงมั่วหันไปมองซุนเหยียนเอ๋อร์พลางเอ่ย “เหยียนเอ๋อร์ เจ้ากลับไปก่อน เชียนชื่อเจ้าตามข้าไปพบเสด็จป้า แล้วก็รีบส่งคนไปทูลเรื่องนี้กับเสด็จลุงเดี๋ยวนี้เลย” ซุนเหยียนเอ๋อร์เข้าใจถึงสถานการณ์ได้ในทันใด รีบพยักหน้ารับรู้พร้อมกับขอตัวลากลับ “พี่สะใภ้ระวังสุขภาพด้วย”
เซียวเชียนชื่อยังคงรู้สึกลังเลใจ “พี่สะใภ้ ทำเช่นนี้…”
“เชียนชื่อ เรื่องครั้งนี้มิใช่ความผิดของเจ้า เจ้าไม่ได้เป็นคนทำให้เสบียงอาหารและหญ้าเลี้ยงม้าเกิดความเสียหาย ไม่ว่าจะเกิดอันใดขึ้น ปัญหามิใช่เรื่องที่น่ากลัว ในเมื่อเรื่องมันเกิดขึ้นแล้ว ไม่ว่าอย่างไรก็ยังต้องเผชิญหน้ากับมันอยู่ดีไม่ช้าก็เร็ว สิ่งที่น่ากลัวยิ่งกว่าคือการเอาแต่วิ่งหนีปัญหาต่างหาก และเรื่องนี้ก็เป็นปัญหาที่เจ้าไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ เจ้าคิดว่าเสด็จลุงจะไม่รู้เรื่องนี้หรือ หากรอให้เสด็จลุงรู้เรื่องนี้เอง ถึงเวลานั้นแม้ว่าจะมิใช่ความผิดของเจ้า ก็จะกลายเป็นความผิดของเจ้าโดยปริยาย หากชะลอเรื่องด่านชายแดนแล้วเกิดการล่าช้า เจ้าก็ยิ่งดิ้นไม่หลุดเข้าไปใหญ่ ถึงแม้ว่าตอนนี้เจ้าจะไปถามความเห็นเสด็จป้า เสด็จป้าก็จะเอ่ยเหมือนที่ข้าเอ่ยอย่างแน่นอน”
เซียวเชียนชื่อไม่ได้โง่เขลา ใช่ว่าเขาจะไม่รู้หลักการในข้อนี้ เพียงแต่เขาขลาดกลัวว่าเสด็จพ่อและเสด็จแม่ของจะผิดหวังในตัวเขาเกินไป เมื่อถูกหนานกงมั่วดึงสติกลับคืนมาจึงเข้าใจได้ในทันที “ขอบคุณพี่สะใภ้ที่ช่วยตักเตือนชี้แนะ ข้าเข้าใจแล้วขอรับ”
หนานกงมั่วพยักหน้าเบาๆ “เข้าใจแล้วก็ดี รีบไปเถิด เจ้าอย่ากังวลใจจนเกินไป เรื่องนี้ยังพอสามารถแก้ไขได้”
เซียวเชียนชื่อพยักหน้าเบาๆ จากนั้นก็เดินตามหนานกงมั่วไปยังเรือนของจวนเยี่ยนอ๋อง เพียงแต่ว่าสีหน้าของเขายังคงเต็มไปด้วยความกังวลใจ เสบียงอาหารและหญ้าเลี้ยงม้าเสียหายจนหมด ถึงแม้ว่าจะรวบรวมเสบียงอาหารและหญ้าเลี้ยงม้าจากพ่อค้าทั้งเมืองโยวโจวก็ไม่พออยู่ดี หากไม่สามารถส่งเสบียงไปยังด่านชายแดนได้ทันเวลา ทหารที่เขตชายแดนก็คงจะต้องอยู่อย่างหิวโหย ถึงเวลานั้น…
พระชายาเยี่ยนอ๋องพยายามตั้งสติมั่นคง ข่มให้จิตใจของตนสงบพร้อมกับค่อยๆ หย่อนตัวนั่งลงอย่างช้าๆ นางหันไปมองบุตรชายพลางเอ่ยขึ้นว่า “เรื่องมันเป็นมาอย่างไรกันแน่ ค่อยๆ เล่าให้ข้าฟัง”
เซียวเชียนชื่อเอ่ย “อีกสองวันเราจะส่งเสบียงอาหารและหญ้าเลี้ยงม้าไปยังด่านชายแดน ตามหลักแล้ววันนี้ลูกจะต้องสั่งให้คนไปเตรียมเสบียงให้เพียบพร้อม ใครจะไปรู้…จู่ๆ เมื่อครู่นี้ก็มีคนมารายงานว่าคลังเสบียงทั้งสามจุดไม่ว่าจะเป็นในเมืองหรือนอกเมือง…ขึ้นราทั้งหมดเลยพ่ะย่ะค่ะ”
“เหลวไหลสิ้นดี!” พระชายาเยี่ยนอ๋องฉุนเฉียวเป็นอย่างมาก แม้ว่าจะไม่ได้เก็บเสบียงอย่างถูกต้องตามหลัก แต่อาหารในคลังเสบียงจะขึ้นราทั้งสามคลังได้อย่างไร เพราะในตอนแรกได้คำนึงถึงความปลอดภัยของคลังเสบียงจึงได้แยกคลังออกเป็นสามจุด และยี่สิบปีที่ผ่านมานี้ก็ไม่เคยมีปัญหามาก่อน แต่พอหลังจากที่เซียวเชียนชื่อเข้ามารับหน้าที่ดูแลแล้วกลับเกิดปัญหาขึ้นมามากมายถึงเพียงนี้ เห็นได้ชัดว่ามีคนกำลังมุ่งเป้าไปยังเขา
เซียวเชียนชื่อเองก็รู้ข้อนี้เป็นอย่างดี แต่ในเมื่อเรื่องมันเกิดขึ้นแล้ว เขาจะทำอย่างไรได้เล่า
“เสด็จแม่ ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ…เสบียงอาหารที่จะต้องส่งในอีกสองวันข้างหน้านี้ เราจะทำเช่นไรกันดี เสบียงของด่านชายแดนเต็มที่ก็ยื้อได้เพียงไม่กี่วันเท่านั้น หากไม่สามารถส่งเสบียงตรงตามกำหนดการได้… อีกอย่าง ถึงแม้ว่าเราจะสามารถรวบรวมเสบียงอาหารได้ทันในอีกสองวันข้างหน้า แต่ต่อไปเล่า ไหนจะเดือนถัดไปอีก อาหารในคลังเสบียงคือ…เสบียงอาหารทั้งปีของกองทัพ ภาษีฤดูใบไม้ร่วงจะเก็บอีกทีก็เดือนสิบเอ็ด…” กว่าจะเก็บเสร็จก็ปาไปเดือนหนึ่งของต้นปีหน้าแล้ว
สีหน้าพระชายาเยี่ยนอ๋องซีดเผือด ร่างกายโคลงเคลงเล็กน้อย ในที่สุดก็ฝืนทนไว้ได้ ผ่านไปครู่ใหญ่ก็ได้ยินพระชายาเยี่ยนอ๋องเอ่ยขึ้นว่า “ส่งคนไปทูลเรื่องนี้กับท่านอ๋อง”
เซียวเชียนชื่อหันไปมองหนานกงมั่วที่นั่งอยู่ข้างๆ พลางเอ่ยขึ้นเสียงเบาว่า “ลูกส่งคนไปทูลเรื่องนี้กับเสด็จพ่อแล้ว”
พระชายาเยี่ยนอ๋องได้ยินแล้วก็ถอนหายใจออกมาเบาๆ จากนั้นจึงเอ่ย “ก่อนที่เสด็จพ่อของเจ้าจะกลับมาถึง รีบไปสืบค้นเรื่องนี้ให้ชัดเจนว่าเกิดสิ่งใดขึ้นกันแน่ อีกอย่าง รีบหาวิธีแก้ไขปัญหานี้โดยเร็วที่สุด”
“พ่ะย่ะค่ะ เสด็จแม่” เซียวเชียนชื่อขานรับ
จากนั้นพระชายาเยี่ยนอ๋องก็หันไปเอ่ยกันหนานกงมั่วด้วยสีหน้าทุกข์ใจ “อู๋สยา ครั้งนี้เกรงว่าคงต้องลำบากเจ้าแล้ว”
หนานกงมั่วส่ายหน้าเบาๆ เพื่อแสดงให้เห็นว่าไม่เป็นไร องค์หญิงฉังผิงทำได้เพียงแอบถอนหายใจออกมาเบาๆ ยกเว้นเรื่องนี้ นางไม่สามารถที่จะเอ่ยปากห้ามอู๋สยาได้เลยจริงๆ ว่าอย่ายุ่งกับเรื่องเหล่านี้ กลับไปพักผ่อนบำรุงรักษาร่างกายให้ดี ได้แต่คิดในใจว่าหลังจากที่กลับไปแล้วจะต้องไปขอให้คุณชายเสียนเกอมาช่วยดูเสียหน่อยว่าจะบำรุงร่างกายอย่างไรดี หลานคนแรกของนาง เหตุไฉนถึงได้วุ่นวายไม่สงบเช่นนี้ไปได้
หลังจากที่ขอตัวกับพระชายาเยี่ยนอ๋องแล้ว หนานกงมั่วและเซียวเชียนชื่อก็ออกจากจวนเยี่ยนอ๋องตรงไปยังคลังเสบียงที่ใกล้กับตัวเมืองที่สุด กองกำลังทหารเหล็กโยวโจวเป็นทหารส่วนพระองค์ของเยี่ยนอ๋อง แน่นอนว่าเยี่ยนอ๋องย่อมต้องจ่ายเสบียงอาหารเองอยู่แล้ว ดังนั้นคลังเสบียงของจวนอ๋องกับคลังเสบียงของฝ่ายราชการจึงไม่ได้อยู่ที่เดียวกัน เมื่อเข้าประตูใหญ่มา ก็เห็นคนเฝ้าคลังเสบียงต่างกำลังคุกเข่าอยู่กับพื้น คนที่มีหน้าที่ดูแลรับผิดชอบถูกเซียวเชียนชื่อสั่งควบคุมตัวตั้งแต่แรกแล้ว
ยังไม่ทันจะเดินเข้าไปในคลังเสบียง กลิ่นหมักหมมที่เกิดจากการขึ้นราก็พัดเข้ามาปะทะจมูกทันที หนานกงมั่วอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วแน่น หลิ่วหันรีบเข้าไปขวางหนานกงมั่วไว้พลางเอ่ยกระซิบว่า “จวิ้นจู่ ให้พวกข้าเข้าไปดูเองดีกว่า” หนานกงมั่วลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็พยักหน้าเบาๆ พลางเอ่ยขึ้นว่า “ช่างเถิด เจ้ากับเหลียนซิงเข้าไปดู ข้ารออยู่ด้านนอกนี้ก็แล้วกัน”
ชวีเหลียนซิงและหลิ่วหันขานรับ จากนั้นก็รีบเดินตามเซียวเชียนชื่อเข้าไปในคลัง คลังเสบียงขนาดใหญ่กองเรียงรายไปด้วยกระสอบที่บรรจุธัญพืชไว้ พื้นและผนังของคลังเสบียงได้รับการป้องกันความชื้นอย่างแน่นหนา ตามหลักแล้วเป็นไปไม่ได้เลยที่จะเกิดความชื้น หลิ่วหันเอามีดสั้นออกมาเล่มหนึ่ง จากนั้นก็แทงมีดไปยังกระสอบที่อยู่เบื้องหน้า เมื่อดึงมีดสั้นออกมาก็เห็นว่าเมล็ดข้าวโพดที่ไหลออกมากระจายเต็มพื้นนั้นขึ้นราจนเป็นสีดำแทบจะทั้งหมดแล้ว
หลิ่วหันขมวดคิ้วแน่น จากนั้นก็ทะยานตัวปีนขึ้นไปบนยอดสูงสุดของกองกระสอบ ใช้มีดสั้นแทงไปยังกระสอบที่เรียงอยู่บนสุดสองสามกระสอบ เป็นอย่างที่คิดไว้ไม่มีผิด สภาพของธัญพืชทั้งหมดล้วนขึ้นราไม่ต่างกันเลย สีหน้าของนางพลันเคร่งขรึมขึ้นมาทันที
“เราออกไปกันเถิด”
หนานกงมั่วนั่งอยู่ในเรือนใหญ่อย่างเงียบๆ ด้วยสีหน้าเรียบเฉย เบื้องหน้าเป็นกลุ่มคนที่กำลังคุกเข่ารอการตรวจสอบ ข้างหลังเป็นซิงเวยที่กำลังยืนจ้องมองผู้คนที่อยู่เบื้องหน้าด้วยสีหน้าและแววตาเย็นชา เมื่อเห็นชวีเหลียนซิงและคนอื่นๆ เดินออกมา หนานกงมั่วก็รีบเอ่ยถามทันที “เป็นอย่างไรบ้าง”
หลิ่วหันตอบกลับ “เป็นเหมือนที่ท่านซื่อจื่อเอ่ยไว้ไม่มีผิดเจ้าค่ะ”
“สาเหตุล่ะ”
หลิ่วหันเอ่ยตอบว่า “พื้นผิวแห้งสนิทเป็นอย่างมาก ดังนั้นปัญหาไม่ได้เกิดจากสภาพแวดล้อมรอบข้างอย่างแน่นอน ธัญพืชทั้งหมดตั้งแต่บนจนถึงล่างได้รับความชื้นทั้งสิ้น แต่ความเปื่อยที่เกิดจากการขึ้นรามีความแตกต่างกันเล็กน้อย อีกอย่าง ธัญพืชเหล่านี้ดูแล้ว…ค่อนข้างผสมปนเปเป็นอย่างมาก ดูไม่เหมือนผลผลิตของปีนี้เจ้าค่ะ”