จูชูอวี้เลิกคิ้วพลางเอ่ย “แน่นอนอยู่แล้ว ข้าไปอวยพรพี่สะใภ้เรียบร้อยแล้ว พี่สะใภ้ใหญ่ไม่ไปหรอกหรือ”
เฉินซื่อสีหน้าเหยเก “ย่อมต้องไปอยู่แล้ว เพียงแต่ว่า…ไม่ได้เจอกับน้องสะใภ้ก็เท่านั้นเอง”
จูชูอวี้อมยิ้มพลางเอ่ยขึ้นว่า “ที่แท้แล้วก็เป็นเช่นนี้นี่เอง ขอบคุณพี่สะใภ้ใหญ่ที่ช่วยเตือน บาดแผลของข้าใกล้จะหายดีแล้ว จึงมักจะชอบไปเดินเล่นในจวนอยู่บ่อยๆ เพียงแต่ว่าไม่ได้เจอกับพี่สะใภ้ใหญ่ก็เท่านั้น พี่สะใภ้ตั้งครรภ์ถือเป็นเรื่องที่น่ายินดี แล้วข้าจะไม่รู้เรื่องได้อย่างไรกันเล่า”
เฉินซื่อได้ยินแล้วก็ฝืนยิ้มพลางทอดถอนใจว่า “เสด็จพ่อกับเสด็จแม่ดีต่อพี่สะใภ้เป็นอย่างมาก เกรงว่า…ถึงแม้สะใภ้อย่างเราจะตั้งครรภ์ก็คงจะไม่โชคดีเพียงนั้น” เมื่อนึกถึงลูกที่ไร้ซึ่งวาสนาของตน เฉินซื่อก็ดูเศร้าหมองขึ้นมาทันที จูชูอวี้เอ่ยขึ้นอย่างไม่ใส่ใจว่า “องค์หญิงมีคุณชายเว่ยเป็นบุตรชายเพียงคนเดียวเท่านั้น เมื่อมีหลานคนแรกก็ยิ่งต้องให้ความสำคัญเป็นธรรมดา เสด็จพ่อเองก็มีองค์หญิงเป็นน้องสาวเพียงคนเดียว”
“น้องสะใภ้เอ่ยถูกต้องแล้ว” เฉินซื่อตอบกลับ
จูชูอวี้พยักหน้าเบาๆ จากนั้นก็ก้มหน้าดูสมุดบัญชีในมือต่อ สีหน้าของเฉินซื่อเคร่งขรึมขึ้นมาเล็กน้อย มือที่ซ่อนอยู่ใต้แขนเสื้อบีบแน่นจนสั่นเทา ท้ายที่สุดเฉินซื่อก็กลืนความขุ่นเคืองลงท้องไป นางลุกขึ้นพลางเอ่ย “น้องสะใภ้ทำงานต่อเถิด ข้าไม่รบกวนเจ้าแล้ว”
จูชูอวี้เองก็ไม่ได้รั้งให้นางอยู่ต่อแต่อย่างใด ยิ้มพลางเอ่ย “เชิญพี่สะใภ้ใหญ่ จู๋เอ๋อร์ ออกไปส่งพี่สะใภ้ใหญ่ด้วย”
“เจ้าค่ะ จวิ้นจู่”
หลังจากที่เดินออกไปส่งเฉินซื่อแล้ว จู๋เอ๋อร์ก็รีบกลับมาทันที จูชูอวี้วางพู่กันในมือลงพลางเงยหน้าขึ้นมาดู “ส่งนางเสร็จแล้วหรือ” จู๋เอ๋อร์พยักหน้าเบาๆ พร้อมกับถามขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ไม่เข้าใจว่า “คุณหนู ที่พระชายาซื่อจื่อมาหาท่านครั้งนี้ นางต้องการจะเอ่ยอันใดกันแน่หรือเจ้าคะ”
จูชูอวี้หัวเราะเบาๆ พลางเอ่ย “จะเป็นเรื่องใดไปได้ สุดท้ายนางก็แค่ต้องการจะยุแยงความสัมพันธ์ของข้ากับซิงเฉิงจวิ้นจู่ก็เท่านั้น บุตรสาวผู้ดีตระกูลวิชาการก็เป็นเช่นนี้”
จู๋เอ๋อร์ได้ยินแล้วก็ตกใจเป็นอย่างมาก “พระชายาซื่อจื่อนึกว่าทุกคนล้วนเป็นคนโง่เขลาหรืออย่างไรกัน” หากซิงเฉิงจวิ้นจู่เป็นคนที่ล่วงเกินได้ง่ายๆ ก็คงจะไม่อายุยืนจนถึงตอนนี้หรอก แม้แต่ผิงชวนจวิ้นอ๋องและฮ่องเต้ก็ยังมิอาจล่วงเกินนางได้ พระชายาซื่อจื่อคิดว่าตนเองเอ่ยวาจาเพียงไม่กี่คำก็สามารถทำให้พวกนางผิดใจกับซิงเฉิงจวิ้นจู่หรืออย่างไรกัน
จูชูอวี้เอ่ยขึ้นว่า “นางมิได้คิดว่าทุกคนเป็นคนโง่ เพียงแค่คิดว่าตนเองฉลาดกว่าเราก็เท่านั้นเอง”
จู๋เอ๋อร์พยักหน้าเบาๆ ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยขึ้นมาด้วยความกังวลใจ “จวิ้นจู่ ตอนนี้ซิงเฉิงจวิ้นจู่พำนักอยู่ในจวนเยี่ยนอ๋อง นางยิ่งใหญ่ดุจดั่งตะวันที่อยู่กลางฟ้า เรา…จะไม่ทำอันใดสักหน่อยหรือเจ้าคะ”
สีหน้าของจูชูอวี้เคร่งขรึมขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด ขมวดคิ้วแน่นพลางเอ่ยขึ้นว่า “ตอนนี้เราจะไปทำอันใดได้ พระชายาเยี่ยนอ๋องคอยระมัดระวังข้ามาโดยตลอด ลงมือตอนนี้ก็มีแต่จะเสียเปรียบ ถึงแม้ว่าจะเสี่ยงกำจัดหนานกงมั่วทิ้งไปได้ ไม่ว่าจะเป็นคุณชายเว่ย คุณชายเสียนเกอ หรือแม้แต่เยี่ยนอ๋องและองค์หญิงฉังผิง มีใครคนไหนที่เรารับมือได้บ้างหรือ ท้ายที่สุด มีแต่จะกลายเป็นผลพลอยได้ให้กับเฉินซื่อก็เท่านั้น”
จู๋เอ๋อร์พยักหน้าเบาๆ “เฉินซื่อ จวิ้นจู่จะเก่งกาจเพียงใดก็เป็นแค่หลานสะใภ้ของเยี่ยนอ๋องเท่านั้น ศัตรูที่แท้จริงของคุณหนูยังคงเป็นพระชายาซื่อจื่อและฮูหยินน้อยสามหรือไม่เจ้าคะ”
จูชูอวี้หลุบตาลงต่ำ ครุ่นคิดอยู่พักใหญ่จึงค่อยเอ่ยขึ้นว่า “ตอนนี้เรายังไม่มีศัตรู ดังนั้นยังไม่ต้องทำอันใดดีที่สุด ตอนนี้…ซื่อจื่อเป็นอย่างไรบ้างแล้ว”
จู๋เอ๋อร์ตอบกลับไปว่า “ท่านอ๋องมอบหมายงานทั้งหมดให้กับท่านซื่อจื่อ หลายวันก่อนตอนที่ซิงเฉิงจวิ้นจู่พึ่งวางมือ ทุกอย่างดูค่อนข้างวุ่นวาย ตอนนี้ทุกอย่างเริ่มจะเข้าที่เข้าทางแล้ว เพียงแต่ต้องทำงานจนดึกดื่นก็เท่านั้น”
สีหน้าของจูชูอวี้เต็มไปด้วยแววตาเหยียดหยาม นางถอนหายใจพลางเอ่ยขึ้นว่า “ได้รับการช่วยเหลือจากซิงเฉิงจวิ้นจู่ ซื่อจื่อถือว่าโชคดีไม่น้อย หากก่อนหน้านี้ไม่ได้ซิงเฉิงจวิ้นจู่มาช่วยล่ะก็ เกรงว่าป่านนี้ซื่อจื่อคงจะยุ่งจนหัวหมุนเป็นแน่แท้ น่าเสียดาย…ที่เรื่องนี้ไม่ได้เป็นผลดีกับคุณชายรองเลย”
จู๋เอ๋อร์สีหน้างุนงง จูชูอวี้ถอนหายใจพร้อมกับโบกปัดมือเบาๆ “ช่างเถิด โชคดีที่ตอนนี้ยังไม่มีอันใดน่าเป็นห่วง ข้าไม่เชื่อว่าซิงเฉิงจวิ้นจู่จะสามารถช่วยเหลือเขาตลอดชีวิตได้”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ จู๋เอ๋อร์ก็ไม่ได้ซักไซ้เรื่องนี้ต่อ เดิมทีเรื่องนี้ก็มิใช่เรื่องที่สาวใช้อย่างนางจะเข้าใจได้อยู่แล้ว นางเพียงแต่เอ่ยขึ้นด้วยความอิจฉาว่า “ท่านอ๋องไว้วางใจซิงเฉิงจวิ้นจู่เสียจริง แม้แต่พระชายาก็ยังไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปยุ่งเรื่องกิจการของโยวโจวเลย” ที่จริงมิใช่แค่พระชายาเท่านั้น แม้แต่ซื่อจื่อก่อนหน้านี้ อีกทั้งคุณชายทั้งสองก็ยังไม่สามารถเข้าไปยุ่งกับเรื่องนี้ได้ หนึ่งคือคุณชายทั้งสามอายุยังน้อยและยังไม่ได้แต่งงานเป็นฝั่งเป็นฝา สองคือเยี่ยนอ๋องยังหนุ่มและมีสุขภาพร่างกายแข็งแรง ทุกคนจึงคิดว่าไม่เป็นไร ทว่าซิงเฉิงจวิ้นจู่อายุน้อยกว่าซื่อจื่อและคุณชายรองมิใช่หรือ ไหนจะเป็นยุคสมัยที่ไม่มีผู้หญิงยิงเรือ ท่านอ๋องให้ความสำคัญกับเว่ยจวินมั่วก็ช่างเถิด แต่นี่จะให้ความสำคัญกับแค่คนของตัวเอง แม้กระทั่งซิงเฉิงจวิ้นจู่ก็ให้มาทำภารกิจที่สำคัญเช่นนี้ได้อย่างไรกัน
จูชูอวี้ชะงักไปชั่วขณะ ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “ใช่ เยี่ยนอ๋องไว้วางใจซิงเฉิงจวิ้นจู่ถึงเพียงนี้…” เป็นเพราะอะไรกัน
ที่เรือนของอีกฝั่ง หนานกงมั่วกำลังนั่งจิบชากับซุนเหยียนเอ๋อร์ที่มาเยี่ยมเยียน แสงแดดอุ่นๆ ของฤดูใบไม้ร่วงสาดส่องกระทบลงบนร่างกาย รู้สึกสบายจนไม่อยากจะขยับตัวไปไหนเลย ซุนเหยียนเอ๋อร์มองดูหนานกงมั่วที่กำลังนอนเอนกายอยู่บนเก้าอี้ก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มพร้อมกับเอ่ย “พี่สะใภ้ดูไม่เหมือนเช่นเคย คนที่ตั้งครรภ์ดูแตกต่างจากคนทั่วไปจริงๆ เสียด้วย”
หนานกงมั่วเลิกคิ้วพลางถามขึ้นด้วยความแปลกใจ “ไม่เหมือนตรงไหนหรือ”
ซุนเหยียนเอ๋อร์ชี้ไปยังหนานกงมั่วพลางเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม “สัมผัสได้ว่าแววตาของพี่สะใภ้มีความอ่อนโยนเจือปนอยู่”
หนานกงมั่วเข้าใจได้ในทันที แต่กลับไม่ได้ยอมรับแต่โดยดี “เอ่ยเหมือนกับว่าก่อนหน้านี้ข้าดุร้ายมากอย่างไรอย่างนั้น”
ซุนเหยียนเอ๋อร์จึงตอบกลับด้วยรอยยิ้ม “เปล่าสักหน่อย ถึงแม้ว่าที่ผ่านมาพี่สะใภ้จะดู…อ่อนโยนตลอดมา แต่ข้ากลับรู้สึกว่าท่านดูเหมือน…” ซุนเหยียนเอ๋อร์หยุดชะงักไปครู่หนึ่งแล้วจึงค่อยเอ่ยขึ้นว่า “เหมือนอาวุธที่ไม่มีฝัก ดูนิ่งสงบแต่กลับอันตรายเป็นอย่างมาก”
หนานกงมั่วเลิกคิ้วขึ้นสูง แม้ว่าซุนเหยียนเอ๋อร์จะดูเป็นคนถ่อมตัวและค่อนข้างรอบคอบ แต่กลับรู้สึกว่านางเป็นคนที่เฉียบแหลมและมีไหวพริบเป็นอย่างมาก
หนานกงมั่วค่อยๆ หยัดกายลุกขึ้นพลางเอ่ยขึ้นว่า “แล้วตอนนี้เจ้ารู้สึกเช่นไรบ้าง”
ซุนเหยียนเอ๋อร์มองสังเกตหนานกงมั่วอยู่ชั่วครู่หนึ่ง จากนั้นจึงเอ่ย “ราวกับแก้วตาดวงใจก็ไม่ปาน ถึงแม้จะสว่างแวววาวละลานตา แต่กลับเป็นแสงที่นุ่มนวลไม่มีพิษมีภัย กลับยิ่งทำให้รู้สึกสบายใจเข้าไปใหญ่”
หนานกงมั่วหุบยิ้มลง จากนั้นก็ก้มหน้าลูบท้องที่แบนราบของตนเองเบาๆ ถึงแม้ว่าท้องจะไม่ได้โตจนสัมผัสได้ แต่เมื่อนึกขึ้นได้ว่าตรงนี้ยังมีอีกหนึ่งชีวิตน้อยๆ อยู่ข้างใน ในใจก็รู้สึกอ่อนโยนและอบอุ่นอย่างบอกไม่ถูก
“จวิ้นจู่ ท่านซื่อจื่อขอเข้าพบเจ้าค่ะ” ที่นอกประตู ชวีเหลียนซิงรีบเดินเข้ามารายงานด้วยความเร่งรีบ ด้านหลังของนางมีเซียวเชียนชื่อเดินตามมาด้วยสีหน้าร้อนใจเป็นอย่างมาก เห็นได้ชัดว่ามีเรื่องเกิดขึ้น มิเช่นนั้นเซียวเชียนชื่อที่กิริยามารยาทสุภาพเรียบร้อยคงจะไม่รีบจนชวีเหลียนซิงไม่ทันจะรายงานเสร็จเสียด้วยซ้ำ
“พี่สะใภ้!” ยังไม่ทันจะเดินเข้ามาด้านใน เซียวเชียนชื่อก็รีบขานเรียกเสียงดังทันที
ซุนเหยียนเอ๋อร์ลุกขึ้นพร้อมกับรีบน้อมทักทายทันที “คารวะท่านซื่อจื่อ”
เซียวเชียนชื่อโบกมือพลางเอ่ยขึ้นว่า “น้องสะใภ้ไม่ต้องมากพิธี”
หนานกงมั่วจับที่ท้าวแขนพลางถามขึ้นว่า “เชียนชื่อ มีเรื่องใดหรือ”
เซียวเชียนชื่อลูบหน้าผากเบาๆ นี่ก็เดือนสิบแล้ว แต่ก็อดไม่ได้ที่จะเหงื่อตก “พี่สะใภ้ เกิดเรื่องใหญ่แล้ว!”
หนานกงมั่วเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าท่าทีใจเย็นว่า “ค่อยๆ เอ่ย”
ดูเหมือนว่าความนิ่งสงบของหนานกงมั่วจะมีผลกับเซียวเชียนชื่อ เขาตั้งสมาธิพลางเอ่ยขึ้นเสียงขรึมว่า “เมื่อครู่นี้มีคนมารายงานว่าต้องการให้ส่งเสบียงอาหารไปที่เขตชายแดนอย่างเร่งด่วน ไม่รู้ว่าที่นั่นเกิดอันใดขึ้น เสบียงอาหารถึงได้เสียหายจนหมด”