ขันทีขององค์ชายสามเดินทางมาถึงอารามดอกท้อ ทำให้เฉินตันจูแปลกใจเล็กน้อย
“ยา?” นางผงะ
ขันทีพูดเตือนด้วยรอยยิ้ม “คุณหนูตันจูไม่ได้กำลังรักษาโรคให้องค์ชายหรือ”
เฉินตันจูย่อมจำได้ แต่…“ข้ายังหายาที่เหมาะสมไม่ได้” นางพูดด้วยความรู้สึกผิด
ขันทีไม่ตำหนิแม้แต่น้อย “องค์ชายตรัสว่าไม่รีบ คุณหนูตันจูค่อยๆ คิด คราก่อนยาที่คุณหนูให้กินดีอย่างยิ่ง องค์ชายให้มาขอเพิ่ม”
ดวงตาของเฉินตันจูลุกวาว ถามอย่างดีใจ “องค์ชายสามกินแล้วได้ผลหรือ ยานี้ข้าทำสำหรับลดอาการไอโดยเฉพาะ” พูดพลางเรียกให้อาเถียนไปหยิบมาอีกสองขวด “แต่ว่ากินมากไม่ได้ กินอีกสองขวดก็หยุดลงได้แล้ว สำหรับองค์ชาย ยานี้เพียงแค่บรรเทา แต่ไม่ได้รักษาที่ต้นเหตุ”
ขันทีตอบรับ เขารับยาที่อาเถียนส่งมาก่อนจะขอตัวลา อาเถียนเดินลงไปส่งที่เชิงเขา หญิงชราขายชาและแขกในโรงน้ำชากำลังวิจารณ์ขบวนรถของขันที
“คนขององค์หญิงหรือ”
“ได้ยินว่าคุณหนูตันจูทะเลาะกับองค์หญิงจินเหยา ฮองเฮาลงโทษนางแล้ว เหตุใดองค์หญิงจินเหยาจึงส่งคนมาอีก”
หญิงชราขายชานั่งอยู่ด้านนอกโรงน้ำชาด้วยสีหน้าเรียบเฉย เวลานี้การค้าของนางดี แต่สบายกว่าแต่ก่อน นางจ้างคนหนึ่งมาดูเตาไฟ อีกทั้งซื้อกามาหลายใบวางไว้บนโต๊ะ เมื่อเหล่าแขกดื่มเสร็จ นางค่อยเติม
“ย่อมเป็นเพราะว่าองค์หญิงจินเหยาสนิทกับคุณหนูตันจูมาก” นางได้ยินจึงพูดกับแขก “อีกอย่างไม่ใช่การทะเลาะ หากแต่องค์หญิงจินเหยากำลังเล่นสนุกกับคุณหนูตันจู”
เพียงแค่การเล่นนั้นแตกต่างจากหญิงสาวทั่วไป
ทางด้านนี้กำลังสนทนากัน ทางขันทีราวกับต้องการแสดงตัวตน จึงพูดกับอาเถียนเสียงดัง “ไม่ต้องส่งแล้ว ข้ากลับไปพบองค์ชายสามบัดนี้”
องค์ชายสาม?เหล่าแขกที่เงี่ยหูฟังทั้งตกตะลึงทั้งตื่นเต้น องค์ชายสาม?
ขันทีกลัวว่าทุกคนไม่เข้าใจ จึงเสริมขึ้นอีกหนึ่งประโยค “ยานี้กินดี ข้าจะมาใหม่”
ขันทีนั่งรถจากไป เหลือไว้เพียงความคึกคักในโรงน้ำชา
“องค์ชายสามรู้จักกับคุณหนูตันจู?”
“ยังมาขอยาจากนาง?”
“เรื่องนี้ข้าได้ยินเมื่อวาน องค์ชายสามร่างกายไม่ดี คุณหนูตันจูตามหายาทั่วเมืองเพื่อองค์ชายสาม”
“องค์ชายสามกล้ากินยาของคุณหนูตันจู…”
เหล่าแขกต่างวิจารณ์กันไปต่างต่างนานา หญิงชราขายชาไม่สนใจ นางวิ่งมาเรียกอาเถียนเอาไว้ นางนั่งอยู่ในโรงน้ำชาได้ยินคำเล่าลือจากทุกทิศทั่วทาง รู้มากกว่าเหล่าแขกที่นั่งอยู่มาก
นางพูดเสียงเบา “ได้ยินว่าคุณหนูตันจูจะกลายเป็นฮูหยินขององค์ชายสามแล้ว?”
เมื่อได้ยินข่าวน่าตกตะลึงที่อาเถียนนำกลับมา เฉินตันจูผงะ ก่อนจะหัวเราะขึ้น
“ข่าวมาจากที่ใดกัน” อาเถียนบ่น “เหลวไหลสิ้นดี”
เฉินตันจูนึกขึ้นได้ คงจะเป็นเพราะคำพูดที่บอกว่ารักษาโรคให้องค์ชายสามของโจวเสวียนเมื่อวานถูกกระจายออกไป
ตอนนั้นนางแค่ต้องการถามไต้ฟูว่ามีรับรักษาคนที่มีอาการไอหรือไม่ เพื่อที่จะตามหาตัวของจางเหยา ในขณะที่กำลังบรรยายอาการ แต่ยังไม่ทันได้บรรยายถึงลักษณะของจางเหยาก็ถูกโจวเสวียนขัดขึ้นก่อน นางจึงปล่อยให้โจวเสวียนเข้าใจผิดตามนั้นไป
เรื่องที่เกี่ยวข้องกับนางจะแพร่กระจายเช่นนี้ก็ไม่น่าแปลกใจ
ฮูหยินขององค์ชายสาม? นางหรือ อืม ถ้านางรักษาองค์ชายสามให้หายดีจริง องค์ชายสามจะปฏิบัติต่อนางเหมือนดั่งหญิงสาวเมืองฉีหรือไม่ หากเขาต้องการแต่งงานกับนางจะทำอย่างไร เฉินตันจูปิดปากหัวเราะขึ้นมา
“คุณหนู ท่านยังหัวเราะได้อีก” อาเถียนพูดอย่างร้อนใจ “เรื่องอื่นก็แล้วไป เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับชื่อเสียงของคุณหนูนะเจ้าคะ”
เฉินตันจูยิ่งตลก “ชื่อเสียงนี้มีประโยชน์อันใด”
เมื่ออดีตชาตินางถูกคุมขังบนภูเขา ชื่อเสียงของนางดี แต่อย่างไร นางมีชีวิตที่ดีหรือ
แต่ว่า เหตุใดองค์ชายสามจึงส่งคนมารับยาในเวลานี้ หากเขาไม่มา ข่าวลือก็เป็นแค่ข่าวลือจากปากคนอื่น เวลานี้เขาส่งคนมารับยาจากนาง เรื่องนี้จึงกลายเป็นเรื่องจริง
“เพราะทุกคนต่างบอกว่าท่านจะเกาะเกี่ยวองค์ชายสามเพื่อรับมือกับโจวเสวียน” จู๋หลินบอกข่าวที่ตนเองได้ยินมาอย่างอดไม่ได้ ท่านแม่ทัพบอกไว้ เรื่องความปลอดภัยของคุณหนูตันจูต้องบอก ไม่อาจให้คุณหนูตันจูไม่รู้ไม่สืบไม่กระจ่าง “ภายในวังก็รับรู้แล้ว”
เช่นนี้หรือ บังเอิญเสียจริง เฉินตันจูคิดในใจ อันที่จริงนางคิดจะเกาะเกี่ยวองค์ชายสามจริง แต่ไม่ได้ต้องการรับมือกับโจวเสวียน
“คุณหนูตันจู ท่านอย่าได้คิดจะทำเช่นนี้” จู๋หลินเตือน “องค์ชายสามหลบหลีกทางโลกเสมอ เขาไม่มีทางออกหน้าเพื่อผู้ใด”
เฉินตันจูคิดในใจ เรื่องนี้เจ้าคงไม่รู้ องค์ชายสามยอมอดอาหารต่อต้านฮ่องเต้เพื่อหญิงสาวเมืองฉี
“หากฝ่าบาทรู้ว่าท่านต้องการหลอกใช้องค์ชายสาม ต้องโกรธมากอย่างแน่นอน” จู๋หลินมองท่าทางยิ้มแย้มของนาง รู้ว่านางไม่ได้ฟัง จึงพูดอย่างขุ่นเคือง
เฉินตันจูขอบคุณเขาด้วยรอยยิ้ม “จู๋หลิน เจ้าไม่ต้องกังวล ข้ารู้ขอบเขต”
วันนี้เขาพูดมากพอแล้ว จู๋หลินไม่อยากพูดอีก เขาจะเชื่อคุณหนูตันจูสักครั้ง
เฉินตันจูลุกขึ้น “เอาเถิด พวกเราเข้าเมืองกัน”
เข้าเมืองอีกแล้ว? จู๋หลินถลึงตา มีขอบเขตอันใดกัน คำพูดของเฉินตันจูก็แค่พูดไปเรื่อยเท่านั้นกระมัง
หลังจากนั้นเฉินตันจูยังคงเดินทางเข้าเมืองอย่างไม่มีขอบเขตอันใด องค์ชายสามที่ออกมาเคลื่อนไหวน้อยครั้งในพระราชวังก็เดินออกจากตำหนักของตนเอง มายังตำหนักของฮ่องเต้
เมื่อเห็นองค์ชายสามเดินทางมา เหล่าขันทีก็ประหลาดใจอย่างมาก พวกเขารีบวิ่งเข้าไปต้อนรับ
“เสด็จพ่ออยู่หรือไม่” องค์ชายสามถาม
ขันทีพยักหน้า “ฝ่าบาทอยู่ แต่ว่าคุณชายอาเสวียนกำลังคุยกับฝ่าบาทอยู่พ่ะย่ะค่ะ”
เมื่อแต่ก่อนหากได้ยินประโยคนี้ องค์ชายสามจะรีบอำลาและบอกว่าจะกลับมาอีกครั้ง แต่เวลานี้เขาเพียงพยักหน้า “พอดี ข้ามีเรื่องหาอาเสวียน จะได้ไม่ต้องไปหาเขาอีก”
ขันทีชะงักครู่หนึ่ง องค์ชายสามต้องการเข้าไป?
องค์ชายสามยืนยัน “ขอให้กงกงทูลฝ่าบาท”
ขันทีเพียงแค่เตือน แต่เขาไม่มีสิทธิ์ไล่องค์ชายไป หากต้องการไล่ก็มีเพียงฮ่องเต้ที่ไล่ได้ เขาตอบรับอย่างรวดเร็ว ก่อนจะเดินเข้าไปด้านในอย่างเร่งรีบ ไม่นานนักขันทีใหญ่จิ้นจงเดินออกมารับด้วยตนเอง
“องค์ชายสาม รีบเข้ามาเถิด” เขาพูดด้วยรอยยิ้ม “กำลังพูดถึงท่านอยู่พอดี”
คำพูดนี้ถือเป็นการเตือนองค์ชายสาม องค์ชายสามยิ้มให้เขา ก่อนจะเดินเข้าไป
ห้องนี้คือห้องทรงพระอักษรของฮ่องเต้ ชั้นวางตำรา พู่กัน หมึก กระดาษ และหินฝนเต็มโต๊ะ ชายหนุ่มคนหนึ่งกำลังเอนหลังพิงเก้าอี้อยู่ตรงข้ามฮ่องเต้ ท่าทางเกียจคร้าน
“ฝ่าบาท พระองค์ดู กระหม่อมพูดถูกหรือไม่ มาจริงด้วย” โจวเสวียนพูด สีหน้าได้ใจอย่างไม่ปิดบัง ถามเสียงดัง “พี่ซิวหยง ท่านมาหาข้าหรือมาหาฝ่าบาท”
องค์ชายสามไม่สนใจท่าทีของเขา พูดด้วยรอยยิ้ม ”มาหาฝ่าบาทและมาหาเจ้า”
โจวเสวียนส่งเสียงในลำคอ “มาหาข้าเพื่อคิดบัญชีหรือ”
ฮ่องเต้ตำหนิ “เจ้าอย่าพูดมาก อาซิวยังไม่ทันพูดแม้แต่ประโยคเดียว”
ถึงแม้จะเป็นคำตำหนิ แต่สีหน้าไม่มีความขุ่นเคืองแม้แต่น้อย
โจวเสวียนยักไหล่ยกมือ “องค์ชายเชิญ”
องค์ชายสามไม่สนใจความไม่เป็นมิตรของโจวเสวียน นั่งลงข้างกายของเขา “ข้ามาขอร้องให้คุณหนูตันจู”
โจวเสวียนหัวเราะออกมา “พี่ซิวหยง ท่านขอร้องแทนนาง ท่านจะซื้อจวนให้ข้าแทนหรือ”
องค์ชายสามหัวเราะ “เรื่องนี้ข้าคงต้องขอฝ่าบาทแล้ว” เขามองไปยังฮ่องเต้ “เสด็จพ่อ พระองค์พระราชทานจวนให้กระหม่อมเถิด”
จากนั้นเขาจะมอบจวนของเขาให้โจวเสวียน
โจวเสวียนส่งเสียงเยาะ “ท่านคิดว่าข้าให้ฝ่าบาทพระราชทานจวนให้ข้า ฝ่าบาทจะไม่ยอมหรือ” เขานั่งตัวตรง สีหน้าเย่อหยิ่ง “ฝ่าบาท กระหม่อมไม่ได้ต้องการจวนของเฉินตันจู กระหม่อมแค่ต้องการกลั่นแกล้งนาง”
“อาเสวียน ข้าเข้าใจจิตใจของเจ้า” องค์ชายสามพูดอย่างใจเย็น “แต่นางเป็นแค่หญิงสาว อีกทั้งตัวคนเดียว”
โจวเสวียนเผยสีหน้าเสียดสี “องค์ชาย สงครามห้าเมืองในเวลานั้น มีหญิงสาวมากมายล้วนตายเพราะกองทัพของเหล่าท่านอ๋อง อีกทั้งมีกี่เรือนที่ต้องสูญเสีย หญิงสาวโดดเดี่ยวถูกทิ้งไว้มากเพียงใด เหตุใดไม่เห็นท่านสงสารพวกนาง เพราะพวกนางไม่อาจรักษาให้ท่านได้ หรือว่าพวกนางงดงามไม่เท่าเฉินตันจู”
คำพูดนี้พูดอย่างไม่เกรงใจ สีหน้าขององค์ชายสามเรียบเฉย แต่ฮ่องเต้ไม่อาจทนฟังได้ เขากระแอมไปอีกครั้ง
“อย่าพาดพิงไปไกล” เขาพูด ก่อนจะระอา “ปากเจ้าเหมือนท่านพ่อของเจ้าเสียจริง”
โจวเสวียนยืนขึ้น “กระหม่อมทำเพื่อท่านพ่อของกระหม่อม ผู้ใดเกลี้ยกล่อมกระหม่อม ผู้นั้นก็ไปพูดกับท่านพ่อของกระหม่อมเอง”
พูดพลางเดินจากไป
ฮ่องเต้ตะโกนเรียกอย่างระอา โจวเสวียนไม่หันกลับมาแม้แต่น้อย
องค์ชายสามหัวเราะเสียงเบา “กระหม่อมรู้ว่าเขาเป็นเช่นนี้”
ฮ่องเต้มองเขา สีหน้าเคร่งขรึมกว่าเมื่ออยู่ต่อหน้าโจวเสวียน “เจ้ายังมาพูดอีก”
องค์ชายสามสบตากับฮ่องเต้ “เจตนาดีของนางที่มีให้กระหม่อม กระหม่อมไม่อาจไม่สนใจได้”
ฮ่องเต้หัวเราะเยาะ “เจตนาดีอันใด เจ้าหนูนี้พูดจาไพเราะเสนาะหูเท่านั้น เจ้าไม่ต้องจริงจัง”
เหมือนดั่งที่นางปฏิบัติต่อตนเอง คำหนึ่งก็เพื่อฝ่าบาท สองคำก็เพื่อฝ่าบาท จากนั้นขับไล่เหม่ยเหริน ขับไล่ขุนนางอู๋ ตีคุณหนูชั้นสูง สุดท้ายทำเพื่อตนเองทั้งสิ้น
หลอกลวงเขา ยังมาหลอกลวงบุตรของเขาอีก
องค์ชายสามยิ้ม “เสด็จพ่อ กระหม่อมรู้ว่านางรักษาไม่ได้ แต่นางกล้าพูดกับกระหม่อมเช่นนี้ กระหม่อมย่อมกล้ารับเจตนาของนาง”
นานเพียงนี้ ไม่มีผู้ใดกล้าพูดเช่นนี้กับข้า แต่ละคนล้วนทอดทิ้งข้า เพิกเฉยต่อข้า แต่เฉินตันจูนี้ มองเห็นข้า เข้าใกล้ข้า ถึงแม้จุดประสงค์ไม่บริสุทธิ์ แต่สำหรับองค์ชายสามผู้โดดเดี่ยวแล้ว ก็ถือเป็นการปลอบประโลมชนิดหนึ่ง
สำหรับองค์ชายผู้สูงส่งแล้ว ถูกลืมในขณะที่มีชีวิตอยู่น่ากลัวกว่าความตาย ฮ่องเต้เงียบไป เขาเข้าใจเจตนาของบุตรชาย
แต่…
“เช่นนี้” เสียงของเขาอ่อนโยนลง “ข้าพระราชทานจวนให้เจ้าแห่งหนึ่ง เจ้ามอบมันให้แก่เฉินตันจู”
ความต้องการของบุตรชายต้องสมหวัง แต่ความต้องการของโจวเสวียนไม่อาจขัดขวางได้
เรื่องนี้เป็นขีดจำกัดที่ฮ่องเต้ทำได้แล้ว องค์ชายสามคำนับ “ขอบพระทัยเสด็จพ่อ”