หนานกงมั่วเงยหน้าขึ้นมองอีกฝั่งของเรือนใหญ่ ชายสามคนที่ดูเหมือนหัวหน้าผู้ดูแลถูกองครักษ์จับเหวี่ยงลงบนพื้น หนานกงมั่วจ้องมองไปยังทั้งสามด้วยแววตาที่นิ่งสงบ “พวกเจ้ามีสิ่งใดจะเอ่ยหรือ”
ทั้งสามรีบคุกเข่าด้วยความสั่นเทาพลางร้องทุกข์อย่างพร้อมเพรียงว่า “ท่านซื่อจื่อ จวิ้นจู่ ข้าน้อยถูกใส่ร้ายขอรับ พวกข้าน้อย…พวกข้าน้อยเองก็ไม่รู้เสียด้วยซ้ำว่าเกิดอันใดขึ้น ขอท่านซื่อจื่อ…ได้โปรดอภัยโทษด้วย!”
หนานกงมั่วแสยะยิ้มเยือกเย็นพลางเอ่ย “พวกเจ้าคงจะรู้ดีว่าแค่สภาพของคลังเสบียงเหล่านี้ ข้าก็สามารถเอาชีวิตของพวกเจ้าได้โดยไม่จำเป็นต้องมีเหตุผลอื่นเลย”
ทั้งสามเนื้อตัวสั่นเทายิ่งกว่าเดิม รีบหันไปทางเซียวเชียนชื่อพร้อมกับเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าตื่นตระหนก “ท่านซื่อจื่อ ข้าน้อยถูกใส่ความ ขอท่านซื่อจื่อโปรดให้ความเป็นธรรมกับข้าน้อยด้วย” ชายอีกคนทนไม่ไหวรีบคลานเข่าไปหาเซียวเชียนชื่อพร้อมกับกอดขาของเขาวิงวอนร้องขอชีวิต เซียวเชียนชื่อลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ตัดสินใจกัดฟันถีบเขาออก จริงอยู่ที่ว่าเซียวเชียนชื่อนั้นรู้สึกสงสารและใจอ่อน แต่สถานการณ์ยามนี้มิใช่เวลาที่จะมาใจอ่อน
“เชียนชื่อ เจ้าว่าเรื่องนี้ควรจะจัดการเช่นไรดี” หนานกงมั่วเอ่ยถามขึ้นเสียงเบา
เซียวเชียนชื่อตอบกลับด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “เอาตามพี่สะใภ้เถิด”
หนานกงมั่วส่ายหน้าพลางถอนหายใจออกมาเบาๆ “เชียนชื่อ เจ้าเป็นซื่อจื่อของจวนเยี่ยนอ๋อง ข้าเองก็เหนื่อยแล้ว คนพวกนี้เจ้าจัดการเองก็แล้วกัน” เอ่ยจบหนานกงมั่วก็หลับตาพักผ่อน ไม่ได้สนใจคนเหล่านั้นที่กำลังร้องไห้คร่ำครวญอย่างน่าเวทนา หนานกงมั่วเอ่ยเช่นนี้แล้ว เซียวเชียนชื่อจึงไม่สามารถบอกปัดได้ ทำได้เพียงพยักหน้าเบาๆ พลางหันไปเค้นถามทั้งสาม “เกิดอันใดขึ้นกันแน่ ยังไม่รีบเอ่ยความจริงอีก! หากรอให้เสด็จพ่อกลับมาถามเองล่ะก็ เกรงว่าพวกเจ้าคงจะไม่มีแม้แต่โอกาสจะเอ่ยปากเอ่ยเสียด้วยซ้ำ”
ชายหนึ่งคนรีบเอ่ยด้วยเสียงสะอึกสะอื้นว่า “ท่านซื่อจื่อ พวกข้าน้อยตั้งหน้าตั้งตาทำงานอย่างละเอียดรอบคอบไม่กล้าประมาทเลินเล่อแม้แต่นิดเดียว ข้าน้อยไม่รู้จริงๆ ว่ามันเกิดอันใดขึ้นกับเสบียงอาหารเหล่านี้กันแน่ ข้าน้อยสมควรตาย ขอท่านซื่อจื่อโปรดอภัยโทษด้วย!”
“เสบียงอาหารมากมายเพียงนี้ ทว่ากลับขึ้นราจนเน่าเสียทั้งหมด พวกเจ้ากลับเอ่ยว่าไม่รู้ว่าเกิดอันใดอย่างนั้นหรือ” เซียวเชียนชื่อยิ้มเยาะ “ทหาร ลากออกไปโบยให้หนัก!”
“ขอรับ ท่านซื่อจื่อ” องครักษ์จำนวนหนึ่งก็เข้าไปลากตัวทั้งสามออกไปโบยอย่างหนัก คนที่คุกเข่าอยู่กับพื้นไม่มีใครกล้าเอ่ยแม้แต่คำเดียว ในเรือนได้ยินเพียงเสียงโบยของทั้งสามที่ยังคงดังลั่น
เซียวเชียนชื่อเดือดดาลเป็นอย่างมาก จ้องมองไปยังผู้คนที่คุกเข่าอยู่กับพื้นพลางเอ่ย “ผู้ใดไม่อยากมีจุดจบเหมือนเช่นพวกเขาก็เอ่ยความจริงออกมาเสีย ข้าจะช่วยทูลขอความเมตตากับเสด็จพ่อให้”
บรรยากาศในเรือนยังคงเงียบสนิทไม่มีใครยอมปริปากเอ่ย ทุกคนต่างพากันก้มหน้าก้มตาไม่กล้าเอ่ยอันใดออกมาแม้แต่คำเดียว เซียวเชียนชื่อขบกรามแน่น “ไม้โบยยังไม่ลงหลัง พวกเจ้าจึงยังไม่รู้สึกเจ็บใช่หรือไม่”
“ท่านซื่อจื่อ ข้าน้อยโดนใส่ความขอรับ”
“ข้าน้อยถูกใส่ความขอรับ ข้าน้อยไม่รู้จริงๆ…”
บรรยากาศในเรือนเต็มไปด้วยเสียงร้องไห้ระงม จู่ๆ หนึ่งในผู้ดูแลที่ถูกโบยอยู่ด้านนอกก็ตะโกนขึ้นว่า “ท่านซื่อจื่อ ข้าน้อยไม่รู้จริงๆ ว่าเหตุใดถึง…ขอท่านซื่อจื่อโปรดให้ความเป็นธรรมด้วย ถึงข้าน้อยจะตายก็ตายตาหลับ ขอท่านซื่อจื่อ…โปรดเห็นแก่ที่พวกข้าน้อยทำงานให้กับเยี่ยนอ๋องมานานหลายปี โปรดให้พวกข้าน้อยได้ตายอย่างไร้ซึ่งมลทินด้วยขอรับ”
“ขอท่านซื่อจื่อโปรดให้ความเป็นธรรมด้วย”
เซียวเชียนชื่อสูดลมหายใจเข้าลึก ทำสิ่งใดไม่ถูกไปชั่วขณะ คนที่ส่งมาดูแลคลังเสบียงนั้นแน่นอนว่าย่อมต้องได้รับความไว้วางใจจากจวนเยี่ยนอ๋องอยู่ก่อนแล้ว หากคนเหล่านี้เป็นคนคัดเลือกเองก็ยังพอว่า ถ้าเกิดโบยจนตายไปทั้งอย่างนี้…ราษฎรจะมองจวนเยี่ยนอ๋องเช่นไร จะรู้สึกว่าคนของจวนเยี่ยนอ๋องนั้นไร้ซึ่งความเมตตาหรือไม่ กับการฆ่าคนเก่าแก่ที่ทำงานด้วยกันมานานหลายปีอย่างเลือดเย็น
“ท่านซื่อจื่อ…ข้าน้อยซื่อสัตย์และจงรักภักดีต่อเยี่ยนอ๋องมาโดยตลอด ในเมื่อท่านซื่อจื่อไม่เชื่อคำให้การของข้าน้อย ข้าน้อยยินดียอมตายเพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจขอรับ” จู่ๆ ผู้ดูแลคนนั้นก็ลุกขึ้นพรวด จากนั้นก็พยายามดิ้นให้หลุดจากการควบคุมตัวขององครักษ์แล้ววิ่งเอาหัวชนกับกำแพงที่อยู่ด้านหลังอย่างเต็มแรง ผู้ดูแลคนนั้นได้เสียชีวิตลงในทันที
คนโบยเองก็โบยต่อไม่ไหวแล้ว ทุกคนต่างหยุดโบยพร้อมกับพากันหันไปมองเซียวเชียนชื่อ เซียวเชียนชื่อเองก็คาดไม่ถึงว่าสถานการณ์จะเปลี่ยนเป็นเช่นนี้ไปได้ จึงขาดสติทำอันใดไม่ถูกไปชั่วครู่ ผ่านไปพักหนึ่งก็ค่อยๆ หลับตาลงพลางเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมว่า “ลากตัวออกไปก่อน”
“พวกข้าน้อยถูกใส่ความ ขอท่านซื่อจื่อโปรดตรวจสอบให้กระจ่าง คืนความบริสุทธิ์ให้กับพวกข้าน้อยด้วย” เซียวเชียนชื่ออยากจะปล่อยผ่านเรื่องนี้ไป ทว่าคนอื่นย่อมไม่ยอมปล่อยผ่านไปง่ายๆ อยู่แล้ว หัวหน้าผู้ดูแลอีกสองคนที่เหลือยังคงคุกเข่ากับพื้นพร้อมกับขอร้องวิงวอนด้วยน้ำเสียงเจ็บปวดไม่ยอมลุกขึ้น
เซียวเชียนชื่อเหลือบไปมองหนานกงมั่วที่กำลังหลับตาอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็กัดฟันพลางเอ่ยขึ้นว่า “เอาตัวไป!”
“ขอท่านซื่อจื่อโปรดให้ความเป็นธรรมด้วย!”
“ขอท่านซื่อจื่อโปรดให้ความเป็นธรรมด้วย!”
“พวกเจ้า…”
“ในเมื่อไม่อยากไป เช่นนั้นก็อยู่ที่นี่ก็แล้วกัน” หนานกงมั่วที่นั่งอยู่ข้างๆ เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย ไม่เงยหน้าขึ้นมามองแม้แต่นิดเดียว “ซิงเวย ไปเอาตัวคนงานที่ดูแลคลังเสบียงอีกสองที่มาที่นี่ ข้าเองก็อยากจะลองฟัง ว่าพวกเจ้าไม่ได้รับความเป็นธรรมเพียงใดกัน”
ผู้ดูแลทั้งสองได้ยินแล้วก็รู้สึกเย็นวาบไปทั้งตัว แต่กลับไม่กล้าปริปากเอ่ยอันใดออกมาแม้แต่คำเดียว
“ขอรับ จวิ้นจู่”
เกิดเรื่องใหญ่เช่นนี้ ไม่ว่าใครก็ไม่กล้าชักช้าแม้แต่คนเดียว เวลาผ่านไปเพียงสองเค่อองครักษ์ของจวนเยี่ยนอ๋องก็ได้พาคนจำนวนหนึ่งเข้ามา จากนั้นก็เหวี่ยงลงไปกองรวมกันกับผู้ดูแลก่อนหน้านี้ ศพของคนที่ฆ่าตัวตายไปเมื่อครู่นี้ยังคงอยู่ที่เดิมไม่ไกลมากนัก เลือดที่เลอะบนหน้าผากก็เริ่มแข็งตัวจับกันเป็นก้อน
หนานกงมั่วเอนหลังลงบนพนักพิงของเก้าอี้พลางหลับตาลงช้าๆ คิ้วค่อยๆ ขมวดแน่น ถึงแม้ว่าตอนนี้อายุครรภ์ของนางจะสี่เดือนแล้ว แต่เวลาที่ได้กลิ่นฉุนของเสบียงที่ขึ้นราก็อดรู้สึกคลื่นไส้ไม่สบายตัวขึ้นมาไม่ได้ ชวีเหลียนซิงที่เป็นคนละเอียดอ่อนและหูตาไวสังเกตเห็นอย่างรวดเร็ว จึงรีบนำถุงหอมที่มีกลิ่นหอมอ่อนๆ ไปแขวนไว้ที่เอวของหนานกงมั่ว หนานกงมั่วจึงค่อยรู้สึกดีขึ้นเล็กน้อย
“พี่สะใภ้?” เซียวเชียนชื่อค่อนข้างรู้สึกละอายใจ เขาเป็นถึงชายชาตรีแต่กลับผลักภาระที่ควรจะเป็นคนจัดการด้วยตนเองให้กับสตรีที่กำลังตั้งครรภ์ แต่ทว่า นิสัยใจคอของคนเรานั้นไม่สามารถเปลี่ยนแปลงในชั่วพริบตาเดียวได้ ถึงแม้จะรู้จุดด้อยและข้อบกพร่องของตนเอง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะสามารถตัดสินใจเด็ดขาดได้ทันทีทันใด
หนานกงมั่วค่อยๆ ลืมตาขึ้นอย่างช้าๆ จากนั้นกวาดตามองดูผู้คนที่กำลังคุกเข่าด้วยแววตาเรียบเฉย ผู้ดูแลที่ถูกบังคับให้คุกเข่าอยู่กับพื้นต่างก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกหนาวสะท้านไปทั้งตัว ถึงแม้ว่าธุระในจวนอ๋องจะถูกมอบหมายให้ซื่อจื่อเป็นคนดูแลจัดการ แต่พวกเขาต่างก็รู้ดีว่าคนที่น่ากลัวที่สุดมิใช่ซื่อจื่อที่อายุยังน้อย หากแต่เป็นซิงเฉิงจวิ้นจู่ที่เอ่ยวาจาอ่อนช้อยและท่าทางอ่อนโยนผู้นี้ต่างหาก
หนานกงมั่วเอ่ยถามขึ้นอย่างใจเย็น “พวกเจ้ามีอันใดอยากจะบอกกับข้าหรือไม่”
ทุกคนต่างพากันเงียบสนิท หนานกงมั่วเองก็ไม่ได้รู้สึกร้อนใจเลยแม้แต่นิดเดียว พยักหน้าเบาๆ พร้อมกับเอ่ยขึ้นว่า “ไม่มีก็ดี ข้าเองก็ไม่อยากจะเสียเวลาเสวนากับพวกเจ้า สมรู้ร่วมคิดกับคนนอก ละเลยการปฏิบัติหน้าที่ ทำให้เกิดความล่าช้าต่อแผนการทหาร มีโทษประหารทั้งตระกูล นำตัวไป” ผู้คนที่กำลังคุกเข่าอยู่อดไม่ได้ที่จะพากันสูดลมหายใจเฮือกด้วยความตื่นตระหนก แค่เอ่ยปากก็จะสั่งประหารคนทั้งแปดเก้าตระกูลอย่างง่ายดาย รวมๆ แล้วคงจะเกี่ยวข้องกับจำนวนชีวิตคนนับร้อยชีวิตเลยกระมัง
เห็นได้ชัดว่าเหล่าบรรดาผู้ดูแลต่างก็คาดไม่ถึงว่าจวิ้นจู่ผู้นี้จะมีนิสัยใจคอแตกต่างกับซื่อจื่อโดยสิ้นเชิง ไม่คิดจะเสียเวลามาเสวนากับพวกเขาเลย จ้องแต่จะสั่งประหารสถานเดียว
“จวิ้นจู่ ข้าน้อย…”
“เจ้าอยากจะบอกว่า พวกเจ้าได้รับความไม่เป็นธรรมอย่างนั้นหรือ” หนานกงมั่วเอ่ยขึ้นพลางจ้องมองด้วยแววตาที่เย็นยะเยือก “หากพวกเจ้าไม่ได้รับความเป็นธรรมจริง แค่ความผิดฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ก็เพียงพอที่จะใช้สั่งประหารพวกเจ้าได้แล้ว อย่างที่ข้าเอ่ยไว้ เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น ข้าสามารถสั่งตัดหัวคนทั้งตระกูลโดยไม่จำเป็นต้องมีเหตุผลอื่นอีก”