“ท่านอ๋องไม่อนุญาตให้ท่านทำเช่นนี้อย่างแน่นอน!” ผู้ดูแลคนหนึ่งตะโกนขึ้น “พวกข้าจงรักภักดีต่อท่านอ๋องมาโดยตลอด ท่านอ๋องไม่มีทางปล่อยให้ท่านฆ่าคนบริสุทธิ์ที่ซื่อสัตย์และจงรักภักดีเป็นอันขาด”
หนานกงมั่วได้ยินแล้วก็หลุดหัวเราะทันที จากนั้นจึงเอ่ยด้วยน้ำเสียงเบื่อหน่าย “ซื่อสัตย์และจงรักภักดีน่ะหรือ อีกไม่กี่วันกองทัพทหารก็จะไม่มีอาหารให้กินแล้ว ลองนึกถึงภาพเหตุการณ์ทหารนับแสนนายที่กำลังทำศึกสงครามอันแสนทรหดที่เขตชายแดนจะต้องอยู่อย่างหิวโหยในอีกไม่ช้านี้ เจ้าลองบอกข้ามาอีกทีสิ ว่าเจ้าซื่อสัตย์และจงรักภักดีหรือ”
ผู้ดูแลคนนั้นหน้าดำหน้าแดงขึ้นมาทันที
“เรียนจวิ้นจู่ คนที่ไปเชิญท่านอ๋องกลับมาแล้วขอรับ” ด้านนอกประตูมีองครักษ์เข้ามารายงานเหตุการณ์ หนานกงมั่วเลิกคิ้วเล็กน้อย ไม่ต้องถามก็พอจะเดาได้ เห็นได้ชัดว่าเยี่ยนอ๋องไม่ได้กลับมาด้วย หนานกงมั่วพยักหน้าเบาๆ พลางเอ่ยตอบ “ให้เขาเข้ามา”
“จวิ้นจู่ ท่านซื่อจื่อ”
หนานกงมั่วถามขึ้น “เสด็จลุงไม่กลับมาหรือ”
องครักษ์ส่ายหน้าเบาๆ พลางตอบกลับด้วยสีหน้างุนงง “ข้าน้อย…ไม่ได้เข้าเฝ้าเยี่ยนอ๋องขอรับ เยี่ยนอ๋องได้เริ่มถือศีลกินเจไม่พบปะคนนอกแล้ว เพียงแต่รับสั่งให้บ่าวรับใช้ข้างกายของท่านอ๋องมาถ่ายทอดเจตนารมณ์เท่านั้น ให้ท่านซื่อจื่อและจวิ้นจู่จัดการแก้ไขปัญหากันเอง ที่เหลือรอให้ท่านอ๋องเสร็จสิ้นการถือศีลกินเจแล้วค่อยมาว่ากันอีกทีขอรับ”
“เหตุใดเสด็จพ่อถึงได้…” เซียวเชียนชื่อกระวนกระวายใจเป็นอย่างมาก จึงอดไม่ได้ที่จะหลุดปากเอ่ยออกไป แต่ยังไม่ทันที่เขาจะเอ่ยจบก็ถูกสายตาของหนานกงมั่วส่งมา หยุดวาจาของเขาเอาไว้ เขาเองก็รู้ดีว่าที่นี่มิใช่ที่ที่ควรจะเอ่ยอันใดออกมา จึงทำได้เพียงยืนทอดถอนใจด้วยความกลัดกลุ้ม หนานกงมั่วโบกปัดมือเบาๆ ให้องครักษ์ถอยออกไปได้ จากนั้นหันกลับไปมองกลุ่มคนที่คุกเข่าอยู่กับพื้น
“ดูท่าแล้วเสด็จลุงคงจะไม่อยากเจอหน้าพวกเจ้า หากพวกเจ้าไม่มีอันใดจะเอ่ยแล้ว ก็ออกไปซะ”
ออกไปหรือ หากออกไปก็เท่ากับตายสถานเดียว และมิใช่แค่ตนเองเท่านั้น แต่ยังพัวพันไปถึงชีวิตของคนในครอบครัวด้วย
แต่จู่ๆ หนานกงมั่วก็ทำเหมือนนึกอันใดขึ้นมาได้ จากนั้นจึงเอ่ย “จริงสิ พวกเจ้าวางใจได้ ข้าจะต้องให้คนในครอบครัวของพวกเจ้าไปพร้อมกับพวกเจ้าอย่างแน่นอน ไม่ให้ตกหล่นแม้แต่คนเดียว!”
ผู้คนต่างพากันสีหน้าซีดเผือดพร้อมกับจ้องมองไปยังหนานกงมั่วที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ด้วยแววตาหวาดกลัว
เวลานั้นเอง ด้านนอกก็มีคนกลุ่มหนึ่งถูกควบคุมตัวเข้ามา มีทั้งชายหญิงเด็กเล็กและคนชราที่อายุราวเจ็ดแปดสิบปีเห็นจะได้ กลุ่มคนที่ถูกควบคุมตัวเข้ามาต่างพากันร้องไห้ระงมไม่หยุด
หลังจากที่มีคนนับร้อยเข้ามา ลานกว้างขนาดใหญ่ก็ดูแออัดและโกลาหลวุ่นวายขึ้นมาทันที
“ท่านแม่!”
“ฮูหยิน!”
“ฉีเอ๋อร์…อวี้เอ๋อร์?!”
คนที่ใจเย็นในตอนแรกก็นิ่งไม่ไหวอีกต่อไป ใครก็ตามเมื่อเห็นคนในครอบครัวของตนเองถูกนำตัวมาไว้ตรงหน้าโดยไม่รู้ชะตากรรมว่าจะเป็นหรือตายด้วยซ้ำ ทุกสายตาจึงพากันจับจ้องไปยังหนานกงมั่วด้วยแววตาหวาดกลัว ราวกับว่ากำลังมองปีศาจร้ายที่น่าสะพรึงกลัวก็ไม่ปาน
หนานกงมั่วเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “ข้าให้เวลาพวกเจ้าพิจารณาไตร่ตรองหนึ่งก้านธูป หลังจากหมดก้านธูป…คนเหล่านี้ก็จะถูกตัดหัวทั้งหมด” เอ่ยจบด้านหลังก็มีคนยกกระถางธูปที่มีธูปหนึ่งดอกปักอยู่ ควันสีขาวค่อยๆ ขดตัวลอยขึ้นอย่างช้าๆ เจือปนไปด้วยกลิ่นไหม้อ่อนๆ
“ท่านมันปีศาจร้าย! ซิงเฉิงจวิ้นจู่ ไม่กลัวว่ากรรมจะตามสนองบ้างหรืออย่างไรกัน” หนึ่งในผู้ดูแลที่อายุราวสามสิบต้นๆ ทนต่อไปไม่ไหวจึงพยายามจะพุ่งเข้าหาหนานกงมั่ว แต่ยังไม่ทันที่เขาจะได้ลุกขึ้นก็ถูกองครักษ์จับตัวไว้ก่อน หนานกงมั่วจ้องมองเขาอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็หัวเราะเยาะพลางเอ่ยว่า “ข้าไม่กลัว พวกเจ้ายังไม่กลัวเลย แล้วเหตุใดข้าต้องกลัวด้วยเล่า เชียนชื่อ ไปกันเถิด เราไปตรวจสอบสมุดบัญชีที่ห้องบัญชีกัน ส่วนคนเหล่านี้ หากถึงเวลาแล้วยังไม่มีใครออกมาเอ่ยอันใดก็สั่งประหารเสียให้หมด ไม่ต้องมารายงาน”
“ขอรับ เจ้าค่ะ จวิ้นจู่” ซิงเวยและหลิ่วหันขานรับอย่างพร้อมเพรียง ชวีเหลียนซิงรีบเดินเข้าไปประคองหนานกงมั่วลุกขึ้น เซียวเชียนชื่อหันไปมองกลุ่มคนที่พากันร้องไห้ระงม อดไม่ได้ที่จะถามขึ้นว่า “พี่สะใภ้ ทำเช่นนี้…”
“เราไปกันได้แล้ว” หนานกงมั่วเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยพลางกวาดสายตามองอีกรอบด้วยแววตาเย็นชา เซียวเชียนชื่อยังคงรู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออก ทำได้เพียงถอนหายใจออกมาเบาๆ จากนั้นก็เดินตามหนานกงมั่วออกไปยังด้านนอก บางที…ทั้งชีวิตนี้เขาอาจจะไม่สามารถเป็นเหมือนเช่นพี่สะใภ้ ท่านพี่ และเสด็จพ่อได้กระมัง
ภายในห้องหนังสือ เซียวเชียนชื่อกำลังก้มหน้าก้มตาตรวจทานสมุดบัญชีที่น่าสงสัยอย่างตั้งใจ ส่วนหนานกงมั่วกำลังนั่งจิบชาพลางใช้ความคิดอยู่ข้างๆ อย่างเงียบๆ ผ่านไปครู่ใหญ่จึงค่อยเอ่ยขึ้นว่า “เสด็จลุงถือว่าเป็นคนที่มีวิธีจัดการดูแลผู้ใต้บังคับบัญชาของเสด็จลุงเองอยู่แล้ว เหตุใดผู้ดูแลคลังเสบียงทั้งสามคลังถึงได้พากันหักหลังเสด็จลุงพร้อมกันเช่นนี้ได้”
เซียวเชียนชื่อชะงักไปชั่วขณะ อดไม่ได้ที่จะเอ่ยขึ้นว่า “พี่สะใภ้ หรือว่าพวกเขาเหล่านั้นจะถูกใส่ความจริงๆ”
ชวีเหลียนซิงได้ยินแล้วก็หัวเราะออกมาเบาๆ วางสมุดบัญชีในมือลงพลางเอ่ย “ท่านซื่อจื่อ คลังเสบียงเป็นสถานที่แบบไหน หากมิใช่เพราะมีคนแอบปล่อยน้ำเข้าไป คนทั่วไปจะมีปัญญาเอาเสบียงอาหารที่ขึ้นราจำนวนมากขนาดนี้เข้าไปได้หรือ เสบียงอาหารทั้งหมดขึ้นราจนเน่าเสียหาย แน่นอนว่าย่อมไม่ได้เกิดจากการจัดเก็บไม่ถูกวิธีอยู่แล้ว เห็นได้ชัดว่ามีคนตั้งใจทำ นี่มิใช่อาหารสำหรับคนไม่กี่ร้อยคนของจวนเยี่ยนอ๋องเท่านั้น แต่เป็นอาหารสำหรับทหารและม้าหลายแสนชีวิตที่ต้องกินต้องใช้อีกหลายเดือน แม้ว่าจะตั้งใจทำลายเสบียงอาหารเหล่านี้ให้เกิดความเสียหาย ก็ยังต้องใช้คนจำนวนไม่น้อยอยู่ดี”
เซียวเชียนชื่อขมวดคิ้วแน่น “ทั้งที่พี่สะใภ้จะสั่งประหารพวกเขาทั้งตระกูลอยู่รอมร่อ เหตุใดพวกเขาถึงไม่ยอมเอ่ยความจริงออกมาอีก”
ชวีเหลียนซิงยักไหล่เบาๆ “บางทีพวกเขาอาจจะกำลังเดิมพัน ว่าจวิ้นจู่แค่ขู่พวกเขาก็เท่านั้น”
เซียวเชียนชื่อหันไปมองหนานกงมั่วด้วยสีหน้าลังเลใจ “พี่สะใภ้ ท่าน…แค่ขู่พวกเขาหรือ”
หนานกงมั่วยิ้มบางๆ “แน่นอนว่าไม่ใช่อยู่แล้ว ข้าไม่ชอบขู่คนอื่น”
“แต่ว่า…คนจำนวนมากมายขนาดนั้น หากข่าวลือแพร่งพรายออกไป เกรงว่าคงจะไม่เป็นผลดีกับชื่อเสียงของพี่สะใภ้ อีกอย่างทางฝั่งเสด็จพ่อก็…” เซียวเชียนชื่ออดไม่ได้ที่จะโน้มน้าว หนานกงมั่วจึงทอดถอนใจว่า “หากว่าคนเหล่านี้ตกอยู่ในมือของเสด็จลุง พวกเขามีแต่จะตายอย่างน่าอนาถกว่าเดิม เชียนชื่อ การที่ใจอ่อนมากเกินไปก็มิใช่เรื่องที่ดีหรอกนะ”
เซียวเชียนชื่อได้ยินแล้วก็เงียบลง จากนั้นก็ยิ้มเจื่อนพลางเอ่ย “บางทีข้าอาจจะไม่ใช่คนที่คิดได้เช่นท่าน หากครั้งนี้ไม่มีพี่สะใภ้อยู่ด้วย ข้าเองก็ไม่รู้เลยจริงๆ ว่าควรจะต้องทำอย่างไร”
“จวิ้นจู่ ท่านซื่อจื่อ” จู่ๆ ชวีเหลียนซิงก็เอ่ยขึ้น “เจอแล้วเจ้าค่ะ”
“อันใดหรือ”
ชวีเหลียนซิงชี้ไปยังสมุดบัญชีในมือพลางเอ่ยขึ้นว่า “สองเดือนที่แล้ว ทางสำนักราชการของเมืองโยวโจวได้มายืมเสบียงอาหารกับเยี่ยนอ๋องจำนวนหนึ่ง และเสบียงอาหารจำนวนนี้ถูกนำมาคืนโดยผู้ว่าการหยาเหมินเมืองโยวโจวเมื่อครึ่งเดือนที่ผ่านมา เพราะตอนนั้นทางหยาเหมินยังไม่ได้รวบรวมเสบียงอาหาร แต่ทางกองทัพของแม่ทัพเซี่ยมีความจำเป็นที่จะต้องใช้เสบียงอาหารโดยด่วน ดังนั้นก็เลยมาขอยืมเสบียงอาหารของจวนเยี่ยนอ๋องไปใช้ก่อน เยี่ยนอ๋องเป็นคนอนุญาตด้วยตัวเองเจ้าค่ะ”
เซียวเชียนชื่อรีบดึงสมุดบัญชีในมือของนางมาดูทันที เป็นอย่างที่คิดไว้ไม่มีผิด มีตราประทับของเยี่ยนอ๋องจริงๆ ด้วย เซียวเชียนชื่อขมวดคิ้วแน่นพลางเอ่ย “ยืมเสบียงอาหารเพียงเจ็ดหมื่นสือ[1] เห็นได้ชัดว่าไม่พอเสียด้วยซ้ำ อีกทั้งยังยืมเสบียงอาหารจากคลังเสบียงแห่งนี้เพียงแห่งเดียวอีกด้วย คลังเสบียงทั้งสามแห่งนี้แยกตัวอิสระจากกัน และไม่สามารถที่จะจัดสรรเสบียงอาหารให้แก่กันได้”
ชวีเหลียนซิงยิ้มพลางเอ่ย “บันทึกว่ายืมไปเจ็ดหมื่นสือ แต่ใครจะกล้ารับประกันได้ว่าปริมาณเสบียงอาหารที่ยืมไปนั้นตรงตามจำนวนที่บันทึกไว้ ตอนเตรียมเสบียงอาหารเยี่ยนอ๋องไม่ได้มาตรวจดูที่นี่ด้วยตนเองสักหน่อย”
หนานกงมั่วขมวดคิ้วพลางเอ่ย“ตอนที่ผู้ว่าการเมืองโยวโจวนำเสบียงอาหารที่ยืมไปมาคืน เป็นไปไม่ได้เลยที่จะไม่มีการตรวจสอบ และเป็นไปไม่ได้เลยที่จะไม่มีคนเห็นเสบียงอาหารจำนวนเจ็ดหมื่นสือเหล่านี้ หากว่าเสบียงอาหารที่คืนมานั้นมีปัญหาจริง เหตุใดคนเหล่านี้ถึงไม่มารายงาน ต้องรู้ว่าไม่ว่าอย่างไรเรื่องนี้ก็จะต้องถูกเปิดโปงในภายหลังอย่างแน่นอนอยู่แล้ว และหากมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ก็ถือเป็นโทษร้ายแรงถึงขั้นประหารชีวิต”
ชวีเหลียนซิงและเซียวเชียนชื่อต่างพากันเงียบ พวกเขาไม่เข้าใจเลยจริงๆ ว่าเหตุใดคนเหล่านี้ถึงได้พากันปิดปากเงียบ มีผลดีอันใดกับพวกเขากัน และถึงแม้ว่าจะมีผลดี แต่จะสำคัญไปกว่าชีวิตและความเป็นความตายของตนเองได้อย่างไรกัน กว่าจะรู้ตัวอีกที ก็ไม่เหลืออันใดแล้ว
[1] สือหน่วยวัดน้ำหนักของจีนโบราณ (อิงจากสมัยซ่ง) 1 สือ เท่ากับ 59.2 กิโลกรัมโดยประมาณ