เมื่อสองสามีภรรยาไปถึงเรือนของไท่ฮูหยิน กลับเห็นสาวใช้ที่คอยปรนนิบัติอยู่ในเรือนรวมไปถึงเว่ยจื่อและคนอื่นๆ ต่างพากันยืนอยู่ที่ชายคา เรือนที่เคยมีบรรยากาศอันเงียบสงบกลับท่วมท้นไปด้วยกลิ่นอายความวิตกกังวลและความกระวนกระวายใจ
สวีลิ่งอี๋สีหน้าเคร่งขรึม เขารีบสาวเท้าเข้าไปทันที แต่เว่ยจื่อมองเห็นสวีลิ่งอี๋สองสามีภรรยาก่อน นางจึงรีบเดินเข้ามารับ “ท่านโหว ฮูหยิน ไท่ฮูหยินบอกว่าอยากจะพักผ่อนสักครู่” จากนั้นนางก็รีบย่อตัวทำความเคารพพร้อมกับพูดต่อไปว่า “เหลือไว้เพียงป้าตู้คอยปรนนิบัติรับใช้อยู่ข้างในเจ้าค่ะ”
คุณชายห้าเป็นบุตรชายที่ไท่ฮูหยินให้กำเนิดตอนอายุมากแล้ว ไท่ฮูหยินจึงรักและเอ็นดูมากกว่าคนอื่นมาโดยตลอด ตอนนี้มาเกิดเรื่องของเฟิ่งชิงขึ้น จะไม่ให้นางเสียใจได้อย่างไรกันเล่า
สืออีเหนียงแอบคิดเดาในใจ ตอนนี้เว่ยจื่อเองได้เข้าไปแจ้งข้างในเรือนอย่างเบามือเบาเท้า
ผ่านไปเพียงครู่หนึ่ง นางก็ได้เดินออกมาพร้อมกับพูดขึ้นว่า “ไท่ฮูหยินเชิญท่านโหวและฮูหยินเข้าไปเจ้าค่ะ” จากนั้นก็ได้เปิดม่านพร้อมกับเชื้อเชิญทั้งคู่ให้เข้าไปด้านใน
ในห้องชั้นในเงียบสนิทไร้ซึ่งเสียงรบกวนใดๆ ม่านเตียงไม้หนานมู่ถูกเปิดไว้เพียงครึ่งเดียว ไท่ฮูหยินประดับผมด้วยปิ่นมุก คลุมไหล่ด้วยเสื้ออ่าวเอนตัวอยู่บนหมอนอิงใบใหญ่
“ท่านแม่ ท่านไม่สบายตรงไหนหรือขอรับ” สีหน้าของสวีลิ่งอี๋เต็มไปด้วยความกังวลใจ เพิ่งจะพ้นประตูก็ถามไถ่ไท่ฮูหยินด้วยความเป็นห่วง
“ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร” ไท่ฮูหยินพูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม แต่ก็ไม่อาจปกปิดสีหน้าที่เหนื่อยล้าและเป็นกังวลใจได้ “อายุมากแล้ว อารมณ์จิตใจไม่ค่อยปกติ ก็เลยอยากจะนอนพักเสียหน่อย”
ทั้งสองจึงเดินเข้าไปคารวะ ป้าตู้ก็รีบไปยกเก้าอี้จิ่นอู้ทันที จากนั้นก็รินชาร้อนมาให้
“จะให้เชิญท่านหมอหลิวมาดูอาการหน่อยหรือไม่ขอรับ” สวีลิ่งอี๋ดูแล้วก็พอจะเข้าใจถึงสถานการณ์ได้ ช่วงบ่ายตอนที่เขามาหา มารดาของเขายังกระปรี้กระเปร่าดูมีชีวิตชีวาอยู่เลย หลังจากที่บอกเรื่องของเฟิ่งชิงไป กลับมาอีกรอบก็เป็นเช่นนี้ไปแล้ว…เขาเป็นห่วงว่ามารดาจะป่วยเพราะเรื่องนี้ จึงพูดขึ้นเสียงแผ่วเบาว่า “ให้เขาเขียนใบสั่งยาที่ช่วยเกี่ยวกับการปรับสมดุลของเลือดลมให้ท่านมาลองทานดู”
“ไม่ต้องหรอก” ไท่ฮูหยินพูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม “ก็แค่อยากจะนอนพักเสียหน่อยเท่านั้น”
เมื่อพูดจบ เว่ยจื่อก็เข้ามาเรียนว่า “คุณชายห้ามาเจ้าค่ะ!”
ไท่ฮูหยินพลันขมวดคิ้วมุ่น พูดขึ้นว่า “บอกเขาว่าข้ารู้สึกไม่ค่อยสบายตัว ให้เขากลับไปก่อน!” น้ำเสียงค่อนข้างเย็นชา
คงเพราะยิ่งรักมาก ก็ยิ่งคาดหวังกระมัง!
สืออีเหนียงครุ่นคิด
สวีลิ่งอี๋จึงพูดเกลี้ยกล่อมมารดาว่า “ท่านแม่ น้องห้ากตัญญูที่สุด ท่านพูดเช่นนี้ เกรงว่าคืนนี้เขาคงจะนอนไม่หลับเสียด้วยซ้ำ ให้เขาเข้ามาคารวะท่านเสียหน่อยดีหรือไม่!”
สืออีเหนียงได้ยินแล้วก็ค่อยๆ เข้าใจขึ้นมาว่าเหตุใดสวีลิ่งควนถึงเป็นเช่นนี้
ทุกครั้งที่สวีลิ่งอี๋โกรธ ไท่ฮูหยินก็จะออกหน้ามาช่วยห้ามปราม และทุกครั้งที่ไท่ฮูหยินโมโห สวีลิ่งอี๋เองก็จะออกหน้าช่วยห้ามปรามเช่นกัน…ไม่เพียงแค่ล้มเหลวในการอบรมสั่งสอน แถมยังทำให้สวีลิ่งควนนั้นยิ่งใจกล้ามากขึ้น ยิ่งตำหนิติติง เขากลับยิ่งฝ่าฝืนเข้าไปใหญ่
สืออีเหนียงทำได้เพียงแอบถอนหายใจเบาๆ จากนั้นก็ได้ยินไท่ฮูหยินหัวเราะขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา “หากว่าเขาจำได้ว่ายังมีข้า ก็คงจะไม่หน้าอย่างหลังอย่างเช่นนี้ ต่อหน้าเคารพเชื่อฟัง ลับหลังกลับฝ่าฝืนทำผิด สอนสั่งซ้ำแล้วซ้ำเล่าก็ไม่รู้จักแก้ไขเปลี่ยนแปลง”
สวีลิ่งอี๋หันไปส่งสายตาให้กับป้าตู้ จากนั้นก็พูดเกลี้ยกล่อมโน้มน้าวมารดาของตนต่อ “…เขายังอายุน้อยไม่รู้ความ จะว่าไปแล้ว ก็ถือเป็นความผิดของพี่ชายอย่างข้าด้วยที่ทำได้ไม่ดีพอ วันข้างหน้าข้าจะดูแลเขาให้ดี เกิดเรื่องพวกนี้ขึ้นกับเขา…เขาเองก็คงจะรู้ผิดรู้ถูกแล้ว”
ป้าตู้เองก็รู้ดีว่าไท่ฮูหยินนั้นปากอย่างใจอย่าง ที่เข้มงวดเพราะอยากให้บุตรได้ดิบได้ดี และตอนนี้ก็ได้รับคำสั่งจากสวีลิ่งอี๋ จึงรีบออกไปเชิญคุณชายห้าเข้ามาทันที
คุณชายห้าเห็นว่าป้าตู้เป็นคนมาเปิดม่านให้ตนด้วยตัวเอง สีหน้าก็เต็มไปด้วยความประหลาดใจ เมื่อเดินถึงประตูห้องชั้นในก็ได้ยินพี่สี่กำลังพูดโน้มน้าวมารดาของตนอยู่ จึงรู้ว่าพี่ชายของตนได้บอกเรื่องนี้กับมารดาแล้ว ใบหน้าพลันรู้สึกร้อนวูบวาบไปหมด อดไม่ได้ที่จะรู้สึกละอายใจขายหน้า เขายืนอยู่ที่เดิมพักใหญ่แล้วถึงค่อยตัดสินใจเดินเข้าไป
“ท่านแม่…” เขาเงยหน้าจ้องมองมารดาด้วยความขลาดกลัว
สวีลิ่งอี๋รีบตัดบทสนทนาลง หันไปทักทายน้องชายด้วยสีหน้าและน้ำเสียงที่อ่อนโยนว่า “มาแล้วหรือ”
คุณชายห้ารู้สึกประหลาดใจที่จู่ๆ ก็ได้รับความรักอย่างไม่คาดฝัน เมื่อนึกถึงเรื่องที่ตนทำผิด สีหน้าของเขาก็เต็มไปด้วยความตื่นตระหนก
ไท่ฮูหยินเห็นแล้วก็รู้สึกทั้งสงสารทั้งโมโหและจนใจ สีหน้าพลันเคร่งขรึมขึ้นมา
“ท่านแม่!” คุณชายห้ารู้สึกกลัวขึ้นมา รีบคุกเข่าลงหน้าเตียงทันที “เป็นความผิดของลูก ที่ทำให้ท่านต้องเสียใจ ทำให้จวนสกุลสวีต้องอับอายขายหน้า ท่านทุบตีข้าเถิด! อย่าโมโหจนร่างกายเจ็บป่วยเลยขอรับ!” พูดจบก็รีบยื่นหน้าเพื่อให้ไท่ฮูหยินตี
“ทุบตีเจ้า…” ไท่ฮูหยินจ้องมองใบหน้าที่หล่อเหลาของบุตรชายคนเล็ก จู่ๆ ก็นึกถึงสุภาษิตที่ว่า ‘ภายนอกสวยงามดั่งทองและหยก แต่ภายในกลับเหมือนฝ้ายที่เปื่อยเน่า’ ขึ้นมา อดไม่ได้ที่จะยิ้มขึ้นด้วยความขมขื่น “หากข้าทุบตีเจ้าแล้วเจ้าจะฟังข้าเสียบ้าง ข้ายอมที่จะทุบตีเจ้าทุกวัน แต่ข้าทุบตีเจ้าแล้ว เจ้าจดจำได้ด้วยหรือ ข้าถูบตีเจ้า เจ้าปรับเปลี่ยนแก้ไขบ้างหรือไม่” พูดจบน้ำตาก็คลอเบ้าขึ้นมา
สืออีเหนียงเห็นท่าทีแล้วจึงถอยออกไปที่ห้องโถงเงียบๆ
ป้าตู้เห็นเหตุการณ์แล้วแววตาก็สั่นไหวขึ้นมา จึงได้ถอยออกไปจากห้องชั้นในด้วย
ทั้งสองยืนอยู่กลางห้องโถง เมื่อหันมาสบตากัน ต่างฝ่ายต่างยิ้มขึ้น แต่จู่ๆ ก็มีเสียงดังมาจากนอกประตู “ไอ๊หยา! นี่มันเกิดเรื่องอันใดขึ้นหรือ! เหตุใดถึงได้พากันออกมายืนที่ลานสวนเช่นนี้!”
“ไท่ฮูหยินบอกว่าไม่ค่อยสบายตัวเท่าไรนัก อยากจะนอนพักเสียหน่อย ดังนั้นคนที่อยู่ปรนนิบัติในห้องจึงถอยออกมาจนหมดเจ้าค่ะ” เว่ยจื่อตอบกลับฮูหยินสาม “ฮูหยินสาม ท่านรออยู่ตรงนี้สักครู่ บ่าวจะเข้าไปเรียนเดี๋ยวนี้เจ้าค่ะ” พูดจบก็เปิดม่านพร้อมกับเดินเข้าไปด้านในทันที
เมื่อเห็นสืออีเหนียงและป้าตู้ต่างก็พากันยืนอยู่ในห้องโถง นางก็รู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างมาก จากนั้นก็ได้ยินเสียงที่เต็มไปด้วยความฉุนเฉียวของไท่ฮูหยินดังออกมาจากห้องชั้นใน “…โบราณกล่าวไว้ว่า ผิดพลาดหนึ่งครั้ง สติปัญญาก็จะเพิ่มพูนหนึ่งส่วน แต่เจ้านี่สิ กลับเอาคำอบรมสอนสั่งของที่บ้านมาเป็นลมข้างหู หลิ่วฮุ่ยฟังคนนั้น ตอนนั้นข้าเคยบอกไว้ว่าอย่างไร ให้อยู่ห่างๆ จากเขาไว้ แต่เจ้ากลับไปพัวพันกับน้องสาวร่วมบิดาของเขา…”
ใบหน้าของนางซีดราวกับกระดาษขึ้นมาทันที รู้ว่าตนนั้นได้ยินสิ่งที่ไม่ควรได้ยินเข้า จึงหันไปส่งสายตาขอความช่วยเหลือกับป้าตู้
ป้าตู้ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก็ได้หันไปจ้องมองสืออีเหนียง
หากว่าเป็นคนอื่น นางสามารถเพิกเฉยไม่สนใจได้ แต่ป้าตู้นั้นเป็นคนใช้ข้างกายของไท่ฮูหยินที่ทำงานได้ดีที่สุด นางจึงถอนลมหายใจออกมาเฮือกใหญ่ จากนั้นก็เดินเข้าไปที่ห้องชั้นในด้วยรอยยิ้ม
ไท่ฮูหยินกำลังอบรมสั่งสอนสวีลิ่งควนอย่างจริงจังจนใบหน้าแดงก่ำไปหมด แต่จู่ๆ ก็เห็นสืออีเหนียงเดินเข้ามา จึงชะงักคำพูดไป พลางถามขึ้นอย่างใจเย็นว่า “มีเรื่องอะไร”
สืออีเหนียงรีบเดินเข้าไปพร้อมกับพูดขึ้นว่า “พี่สะใภ้สามมาน้อมทักทายท่านเจ้าค่ะ!”
ไท่ฮูหยินได้ยินแล้วก็หัวเราะขึ้นอย่างเย็นชา “ไปบอกกับนาง ว่าข้าไม่ค่อยสบายตัว ไม่อยากพบใคร ให้นางกลับไปก่อนเถิด!”
สืออีเหนียงเองรู้ว่าไท่ฮูหยินในเวลานี้อารมณ์จิตใจค่อนข้างย่ำแย่ ใครเจอเข้าก็จะพลอยโดนหางเลขไปด้วย นางจึงรีบย่อตัวขานรับ “เจ้าค่ะ” จากนั้นก็ถอยออกจากห้องชั้นในไป แล้วจึงหันไปส่ายหน้าให้กับเว่ยจื่อเบาๆ
เว่ยจื่อถอนลมหายใจออกมาเฮือกใหญ่ แล้วจึงกลับออกไปบอกกับฮูหยินสามว่า “…ไท่ฮูหยินนอนหลับไปแล้ว ท่านและคุณชายน้อยสามค่อยมาใหม่ในวันพรุ่งนี้นะเจ้าคะ”
สาวใช้ในเรือนของสืออีเหนียงและบ่าวรับใช้คนสนิทของคุณชายห้าต่างพากันยืนอยู่ในลานสวน ฮูหยินสามสังเกตเห็นตั้งแต่ตอนเดินเข้ามาแล้ว นางรู้ว่าคนของบ้านคุณชายสี่และบ้านคุณชายห้าล้วนอยู่ข้างใน จึงได้พูดขึ้นอย่างไม่พอใจว่า “ไม่รู้ว่าเรื่องใหญ่โตแค่ไหนกันเชียว ปรึกษาหารือกับคุณชายสี่และคุณชายห้าไม่พอ ยังจะให้น้องสะใภ้สี่อยู่ที่นี่ด้วย”
สวีซื่อเจี่ยนที่มาด้วยกับมารดาก็ได้ถามขึ้นด้วยความเป็นห่วงว่า “ท่านย่าไม่สบายตรงไหนหรือ เชิญหมอมาดูอาการแล้วหรือยัง หนักหนาสาหัสหรือไม่”
เว่ยจื่อได้ยินคำพูดของฮูหยินสามแล้ว แต่นางทำเป็นไม่ได้ยิน และเลือกที่จะหันไปตอบสวีซื่อเจี่ยนอย่างตั้งใจว่า “ไม่เป็นอะไรมาก เพียงแค่อายุมากแล้ว อารมณ์จิตใจจึงไม่ค่อยปกติเท่าไรนัก คุณชายน้อยสามไม่ต้องเป็นกังวลใจไป นอนพักสักหน่อยเดี๋ยวก็หายเจ้าค่ะ”
สวีซื่อเจี่ยนได้ยินแล้วก็ไม่ได้ถามอะไรต่อ ฮูหยินสามก็ได้ดึงแขนของเขาพลางพูดขึ้นว่า “ท่านอาสี่และท่านอาห้าของเจ้าอยู่ปรนนิบัติข้างใน พรุ่งนี้เราค่อยมาหาท่านย่าใหม่ก็ยังไม่สาย” พูดจบก็ดึงแขนสวีซื่อเจี่ยนออกไปทันทีโดยที่ไม่สนใจว่าสวีซื่อเจี่ยนจะยินดีไปหรือไม่
เว่ยจื่อจึงค่อยถอนลมหายใจออกมาด้วยความโล่งอก แต่แล้วกลับเห็นสวีซื่อฉินและสวีซื่ออวี้กำลังเดินจูงมือกันมา
ไท่ฮูหยินยังคงไม่ให้เข้าพบเช่นเดิม
สวีซื่อฉินค่อนข้างรู้สึกเป็นห่วง รีบเข้าไปดึงแขนของเว่ยจื่อเพื่อถามไถ่อาการของไท่ฮูหยิน สวีซื่ออวี้กลับมองไปยังสาวใช้และบ่าวรับใช้ชายที่ยืนอยู่ใต้ชายคา จากนั้นก็ยิ้มพลางถามเว่ยจื่อว่า “ไม่รู้ว่าป้าสะใภ้สามและน้องสามมาที่นี่แล้วหรือไม่”
เว่ยจื่ออึ้งไปชั่วขณะ
นึกไม่ถึงว่าสวีซื่ออวี้จะถามเรื่องนี้ขึ้นมา
สวีซื่ออวี้รีบยิ้มพร้อมกับอธิบายว่า “ข้าก็เพียงแค่กลัวว่าป้าสะใภ้สามจะไม่รู้ว่าท่านย่าป่วย”
“ฮูหยินสามและคุณชายน้อยสามมาเมื่อครู่นี้แล้วเจ้าค่ะ”
สวีซื่ออวี้ได้ยินแล้วก็หันไปพูดกับสวีซื่อฉินว่า “เช่นนั้นเรากลับกันก่อนเถิด รอท่านย่าอาการดีขึ้นแล้วเราค่อยมาใหม่พรุ่งนี้ก็ไม่สาย” พูดจบก็ดึงแขนสวีซื่อฉินเดินออกไปด้านนอกทันที หลังจากที่เดินพ้นเรือนของไท่ฮูหยินมาแล้ว ก็ได้ให้สาวใช้ที่ติดตามถอยห่างออกไป จากนั้นก็ได้พูดกับสวีซื่อฉินเสียงแผ่วเบาว่า “ท่านไม่สังเกตเห็นหรือ ว่าสาวใช้ของท่านแม่และท่านอาห้าต่างก็พากันยืนรออยู่ที่ใต้ชายคา”
“เช่นนั้น ข้าจึงรู้สึกค่อนข้างเป็นกังวลใจอย่างไรเล่า” สวีซื่อฉินขมวดคิ้วแน่น “ในเมื่อสาวใช้ของอาสะใภ้สี่และบ่าวรับใช้ชายของท่านอาห้าอยู่ที่นี่ด้วย เช่นนั้นท่านอาสี่และท่านอาห้าคงจะอยู่ข้างในอย่างแน่นอน แม้แต่ผู้ใหญ่ทั้งสองท่านยังตกใจ เกรงว่า ‘อารมณ์จิตใจไม่ค่อยปกติ’ ที่ป้าตู้บอกคงจะ…”
สวีซื่ออวี้ได้ยินแล้วก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะขึ้น “พี่ใหญ่น่ะซื่อเกินไปแล้ว!”
สวีซื่อฉินเลิกคิ้วขึ้นสูงด้วยความไม่เข้าใจ
“ท่านลองคิดดู ตอนทานมื้อเที่ยงท่านย่ายังดีๆ อยู่เลย แต่จู่ๆ ก็มา ‘อารมณ์จิตใจไม่ค่อยปกติ’ ไม่ยอมเจอแม้กระทั่งหน้าหลานนะหรือ แล้วลองคิดดูดีๆ หากว่าท่านย่าป่วยจริงๆ ท่านหมอหลิวก็คงจะมาที่นี่ตั้งนานแล้ว แต่นี่ป้าตู้บอกว่ามีเพียงท่านป้าสะใภ้สามและน้องสามมาเท่านั้น…”
สวีซื่อฉินเหมือนว่าจะเข้าใจอะไรบางอย่างขึ้นมา “เช่นนี้ ดูแล้วท่านอาห้าคงจะไปสร้างเรื่องอะไรไว้อย่างแน่นอน ถึงได้เรียกท่านอาสี่มาปรึกษาหารือว่าจะจัดการปัญหาอย่างไร!”
สวีซื่ออวี้ก็ได้เผยรอยยิ้มขึ้นมา “ปฏิกิริยาตอบสนองของท่านออกจะช้าไปเสียหน่อย!”
“ใครจะไปเหมือนเจ้า ผีผู้ฉลาดรอบรู้!” สวีซื่อฉินฉีกยิ้มที่มุมปาก “ขอแค่ท่านย่าไม่ได้ป่วยจริงๆ ก็ดีแล้ว!”
“ใครเป็นผีผู้ฉลาดรอบรู้” สวีซื่ออวี้ได้ยินแล้วก็รีบพูดขึ้นทันทีว่า “เราคุยกันแล้วไม่ใช่หรือ ต่อหน้าคนอื่นท่านห้ามว่าข้าเช่นนี้”
“ที่นี่ไม่ได้มีคนนอกเสียหน่อย” สวีซื่อฉินยิ้มพร้อมกับพูดขึ้น “อีกอย่าง เจ้าเองก็เปลี่ยนท่านแม่คนใหม่แล้วมิใช่หรือ ข้าว่าท่านอาสะใภ้คนใหม่ก็ไม่เลวทีเดียว”
สวีซื่ออวี้หัวเราะเบาๆ ไม่ได้ตอบกลับคำพูดของเขา แต่กลับถามไปว่า “พี่ใหญ่ คุณหนูสามจวนจงฉินปั๋วโฉมหน้างดงามเป็นอย่างมากใช่หรือไม่ ข้าได้ยินมาว่าท่านมักจะท่องบทกวี ‘นกจีจิวขันคู[1]’ …”
ไม่รอให้คำพูดจบประโยค สวีซื่อฉินก็ได้ยกกำปั้นชกไปที่ไหล่ของสวีซื่ออวี้ทันที “พูดจาซี้ซั้วอะไรของเจ้า”
สวีซื่ออวี้รีบก้มหลบทันควัน พลางหัวเราะเสียงดังลั่นพร้อมกับวิ่งหนี “โฉมงามผู้หนึ่ง ณ ริมน้ำอีกฝั่ง…”
“ยังจะพูดอีก เจ้ายังจะพูดอีก…” สวีซื่อฉินวิ่งตามเขาด้วยใบหน้าที่แดงก่ำ
เวลานี้ พวกเขาก็เป็นเพียงวัยเยาว์ที่แต่งบทกวีที่แสร้งทำเป็นว่าโศกเศร้าเท่านั้น
*****
ไท่ฮูหยินโมโหไปยกใหญ่ สวีลิ่งควนเองก็ได้รับปากไม่หยุดหย่อนว่าจะไม่ทำผิดอีก ความโมโหจึงค่อยๆ ทุเลาลง “…เจ้าจะต้องจดจำคำพูดของเจ้าไว้ให้ดี เป็นชายชาตรีที่ซื่อสัตย์และรักษาสัจจะวาจาให้ได้”
คุณชายห้ารีบพยักหน้าไม่หยุด
สวีลิ่งอี๋เห็นสถานการณ์แล้วก็ได้เอ่ยปากพูดเพื่อคลี่คลายสถานการณ์ให้น้องชายว่า “ท่านแม่ นี่ก็ไม่เช้าแล้ว ให้สาวใช้ตั้งโต๊ะเตรียมอาหารเถิด! หากมีเรื่องที่จะพูด ทานข้าวไปพูดไปด้วยก็ได้”
ไท่ฮูหยินกลับไม่ได้รู้สึกเชื่อถือ เมื่อได้ยินแล้วก็ได้ถอนหายใจออกมาด้วยความจนใจ พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่กลัดกลุ้มว่า “เช่นนั้นก็ตั้งโต๊ะเถิด!”
ป้าตู้ที่อยู่ด้านนอกเมื่อได้ยินความเคลื่อนไหว ก็รีบเข้ามาช่วยไท่ฮูหยินเปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่ทันที สืออีเหนียงก็ได้หันไปสั่งกับเว่ยจื่อให้ไปตั้งโต๊ะเตรียมอาหาร
หลังจากทานข้าวเสร็จเรียบร้อยแล้ว ไท่ฮูหยินก็ได้ให้สวีลิ่งอี๋อยู่พูดคุยต่อ
คุณชายห้าและสืออีเหนียงจึงรีบลุกขึ้นพร้อมกับขอตัวลากลับทันที
หลังจากเดินพ้นประตูเรือนของไท่ฮูหยินมาแล้ว คุณชายห้าก็ได้หันไปประสานมือคารวะขอตัวลากลับกับสืออีเหนียง
หลังจากกลับไปถึงเรือน เมื่อสืออีเหนียงอาบน้ำอาบท่าเรียบร้อยแล้ว ก็มีสาวใช้จากเรือนของไท่ฮูหยินมาเรียนว่า “ท่านโหวบอกว่าคืนนี้จะค้างที่เรือนของไท่ฮูหยิน ให้ฮูหยินเข้านอนก่อนได้เลย ไม่ต้องรอเจ้าค่ะ”
สืออีเหนียงตกรางวัลสาวใช้ไปหลายอีแปะ จากนั้นก็เข้านอนตั้งแต่หัวค่ำ
เช้าวันรุ่งขึ้น ขณะที่กำลังสางผมอยู่นั้น ก็มีสาวใช้เข้ามาเรียนว่า “ท่านจิ้วเหยียที่ตรอกกงเสียนมาเจ้าค่ะ!”
——————-
[1]นกจีจิวขันคูบทกวีจีนที่ชายหนุ่มใช้เกี้ยวหญิงสาว