หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา A World Worth Protecting – บทที่ 737 สวัสดี เราพบกันอีกแล้วนะ!

บทที่ 737 สวัสดี เราพบกันอีกแล้วนะ!

บทที่ 737 สวัสดี เราพบกันอีกแล้วนะ!
ฝูงชนไม่เพียงตื่นตะลึงที่หวังเป่าเล่อหลอมของเหลววิญญาณมายาขั้นสูงได้ แต่ยังตื่นตะลึงกับระยะเวลาเพียงน้อยนิดที่เขาใช้ไป…การหลอมทั้งหมดใช้เวลาไปทั้งสิ้นไม่เกินสามสิบวินาที!

แค่เรื่องเวลาเพียงอย่างเดียวก็น่าทึ่งพอแล้ว แต่ชายหนุ่มไม่เพียงแค่ใช้เวลาไปไม่กี่อึดใจ เขายังหลอมของเหลววิญญาณมายาระดับยอดเยี่ยมออกมาได้เสียด้วย!

การแสดงฝีมือครั้งนี้ทำให้ทุกคนลืมสิ่งที่พวกเขาเคยรู้เกี่ยวกับการหลอมไปเสียสิ้น พวกเขาต่างพากันส่งเสียงตกใจ ลืมการมีอยู่ของหลี่เฉินไปlobm

หลี่เฉินเองอยู่ในจุดที่กำลังอับอาย แถมเด็กหนุ่มยังตื่นตะลึงไม่แพ้คนอื่น เขาเองก็สามารถหลอมของเหลววิญญาณมายาที่มีอัตราสูญเสียเพียงร้อยละสิบได้เช่นกัน แต่ก็ต้องใช้เวลาร่วมสามวัน

ทว่าหลงหนานจื่อกลับทำได้สำเร็จภายในไม่กี่วินาที ระดับพื้นฐานของทั้งสองนั้นห่างไกลกันลิบลับ!

ช่างเป็นความจริงอันขมขื่นที่ฝากรอยแผลไว้ให้กับความหยิ่งทนงของหลี่เฉินยิ่งนัก เด็กหนุ่มแทบจะสะกดกลั้นโทสะและความอับอายเอาไว้ไม่อยู่ ก่อนที่เขาจะได้พูดสิ่งใด หวังเป่าเล่อก็ส่ายศีรษะ

“ข้ายังไม่ชินเท่าใดนัก เพราะเพิ่งเคยหลอมสิ่งนี้เป็นครั้งแรก จึงมีอัตราสูญเสียถึงร้อยละสิบ…” ชายหนุ่มทอดถอนใจ พลางทำหน้าไม่สบอารมณ์กับผลลัพธ์ ก่อนจะโบกมือขวา โยนของเหลววิญญาณมายาไปให้หลี่เฉิน สิ่งที่คนอื่นคิดว่ามีค่ายิ่ง หวังเป่าเล่อกลับคิดว่าเป็นขยะ จากนั้นชายหนุ่มก็เดินจากไปหาโต๊ะทำงานว่างๆ เมินหลี่เฉินไปโดยสิ้นเชิง

คำพูดของหวังเป่าเล่อราวกับเป็นพลังเทพที่อัดใส่หลี่เฉินเต็มๆ แถมยังรุนแรงเสียจนกระทบไปถึงรอบข้างด้วย ความเงียบสงัดปกคลุมทั่วบริเวณในบัดดล

ผู้คนแหวกออกเป็นทางเมื่อหวังเป่าเล่อเดินผ่าน ราวกับว่ากำลังอยู่ต่อหน้าองค์เทพกระนั้น พวกเขาก้าวถอยหลังอย่างยอมจำนนและพากันเปิดทางให้ ทุกคนในที่นั้นต่างมองเห็นงานหลอมและได้ยินที่เขาพูด หวังเป่าเล่อขณะนี้เปล่งรัศมีของผู้ฝึกตนที่แข็งแกร่ง เป็นบุรุษที่ทุกคนสามารถสัมผัสได้ถึงความทรงพลังที่เต็มเปี่ยม

หวังเป่าเล่อหายเข้าไปในห้องแล้ว แต่ลานจัตุรัสยังจมอยู่ในความเงียบ เป็นเวลาหลายอึดใจกว่าจะมีเสียงหายใจครั้งแรกดังมาให้ได้ยิน ฝ่ายหลี่เฉิน…ขณะนี้หน้าอกของเขาขยับขึ้นลงอย่างรุนแรง ใบหน้าซีดเซียวสลับกับถมึงทึงอยู่ไปมา ในที่สุด ชายหนุ่มก็เงยศีรษะขึ้นก่อนจะตะโกนใส่ทุกคนรอบกาย

“พวกเจ้าทำอะไรกันอยู่ กลับไปทำงาน!”

“ใครสักคนมาเอาแท่นศิลาลักมายาไปให้…ศิษย์พี่หลงหนานจื่อที!”

“เข็มทิศดาวตกอันนี้ ขนปักษาเพลิงอันนั้น แล้วก็อสูรศิลาดำด้วย…ส่งให้ไปศิษย์พี่หลงหนานจื่อให้หมด!” หลี่เฉินมีสีหน้าเกรี้ยวกราด เขาใช้อำนาจเลือกวัตถุเวทกว่าสามสิบชิ้นที่ยากต่อการซ่อมแซมเป็นอย่างยิ่งก่อนจะส่งไปให้หวังเป่าเล่อทั้งหมด ชายหนุ่มคิดวางแผน เจ้าเก่งนักใช่ไหม ได้ มาดูกันว่าเจ้าจะซ่อมแซมชิ้นส่วนเหล่านี้ได้หมดหรือไม่กัน!

ทุกคนต่างก็หลุบศีรษะลงต่ำและทำตามคำสั่งที่ได้รับมอบหมาย ไม่มีใครมีปากมีเสียงกับสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น ในสายตาของพวกเขา นี่เป็นการปะทะกันระหว่างผู้ฝึกตนที่ทรงพลังสองคน และไม่ใช่เรื่องที่พวกเขาจะต้องมาข้องเกี่ยวด้วย พวกเขาทำตามคำสั่งและนำวัตถุดิบกับวัตถุเวทที่ต้องการการซ่อมแซมไปยังห้องของหวังเป่าเล่อ

หากเป็นผู้ฝึกตนคนอื่นๆ พวกเขาคงจะไม่สบอารมณ์นักเมื่อต้องถูกกลั่นแกล้งเช่นนั้น การซ่อมแซมของถือเป็นส่วนหนึ่งของงาน และพวกเขาจะไม่ได้รับรางวัลเพิ่มเติม เพราะรางวัลเพิ่มเติมจะมอบให้กับคนที่ทำการซ่อมแซมวัสดุที่อยู่ในรายชื่อเท่านั้น ซึ่งคืองานอยู่นอกเหนือขอบเขตงานของตน

แต่หวังเป่าเล่อไม่ได้ขัดข้องใจแม้แต่น้อย อันที่จริงแล้ว ชายหนุ่มนั้นยิ่งกว่าเต็มใจที่จะรับงานเอาไว้ สิ่งเดียวที่เขาขาดคือการฝึกฝน งานซ่อมแซมที่ถูกส่งมาที่เขาทำให้เขาไม่ต้องกังวลเรื่องทรัพยากรหรือวัตถุดิบสำหรับการหลอมที่ขาดแคลน เขาต้อนรับงานซ่อมแซมทุกชิ้นอย่างยินดีและเริ่มทำงานด้วยความเร็วที่ร้ายกาจ

ทว่าสมาธิของหวังเป่าเล่อไม่ได้อยู่ที่การซ่อมแซมแม้แต่น้อย แต่กลับไปอยู่ที่การแยกชิ้นส่วนสิ่งของและศึกษาโครงสร้างภายในของมัน ด้วยความรู้และประสบการณ์อันมากมายด้านการหลอม ชายหนุ่มจึงกลายเป็นฟองน้ำที่รับเอาทุกสิ่งที่เขาได้ศึกษาเข้าไปโดยเร็ว เวลาผ่านไปเช่นนี้หลายวัน แถมหวังเป่าเล่อยังเข้าร่วมกับกลุ่มๆ หนึ่ง ที่ช่วยให้เขาเข้าถึงความรู้ด้านการหลอมวัตถุเวทได้มากขึ้น

การซ่อมบำรุงเรือบินรบเป็นงานเร่งด่วนที่สุดสำหรับสำนักเกลียวคลื่นสวรรค์ แต่สำนักก็ขาดแคลนกำลังคน เพื่อเป็นการเพิ่มความเร็วในการซ่อมแซม หนังสือเกี่ยวกับการซ่อมแซมวัตถุเวทที่แต่เดิมสงวนไว้สำหรับเลือดเนื้อเชื้อไขของสำนัก กลับถูกนำมาเผยแพร่แก่สมาชิกของกลุ่มทั้งเก้าบางส่วน

เวลาผ่านไปสามเดือน ความก้าวหน้าของหวังเป่าเล่อด้านการหลอมวัตถุเวทในช่วงระยะเวลานี้ช่างน่าอัศจรรย์ใจนัก การนำสองระบบการหลอมจากสองอารยธรรมมารวมกันก่อให้เกิดความคิดสร้างสรรค์ใหม่ๆ มากมาย ชายหนุ่มจมดิ่งลงไปในงาน จนกระทั่งลืมความตั้งใจที่เดินทางกลับไปยังระบบสุริยะอยู่เนืองๆ

ความรู้สึกที่ว่าความชำนาญด้านการหลอมวัตถุเวทของเขาเพิ่มมากขึ้นทุกวันทำเอาหวังเป่าเล่อลิงโลดใจเป็นที่สุด ความดีใจนั้นเพิ่มพูนขึ้นไปอีกเมื่อรู้ตัวว่า บัดนี้เขาสามารถหลอมอาวุธเวทระดับเก้าได้แล้ว ชายหนุ่มไม่รู้สึกงุนงงกับการหลอมอาวุธเวทอีกต่อไป การได้รู้เช่นนี้ทำให้กำลังใจของหวังเป่าเล่อเพิ่มสูงขึ้นอย่างมาก

ชายหนุ่มไม่ได้พยายามซ่อนพัฒนาการนี้ของตนแต่อย่างใด แม้ว่าเขาเคยคิดที่จะทำเช่นนั้น แต่ก็คงทำได้ยาก ทุกคนในกลุ่มเจ็ดคุ้นชื่อเขาดี อันที่จริงแล้ว…งานที่เขาผลิตออกมานั้นมีปริมาณเทียบเท่ากับงานของคนที่เหลือในกลุ่มรวมกัน ส่วนหลี่เฉินก็เลิกตอแยเขาไปเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว

ในที่สุดเด็กหนุ่มก็ยอมรับว่าความสามารถของหลงหนานจื่อกับตัวเขาแตกต่างกันเกินไป แถมหลงหนานจื่อยังพัฒนาขึ้นมาก แม้ว่าการกลั่นแกล้งในตอนแรกๆ อาจจะส่งผลให้ความเร็วและความแม่นยำของอีกฝ่ายลดลงเมื่อต้องมาซ่อมชิ้นส่วนเรือบินรบ แต่ผลเหล่านั้นก็คงอยู่ไม่นาน หลี่เฉินต้องขุดคุ้ยสมองหางานที่ยากขึ้นไปอีกมาให้หลงหนานจื่อทำ

งานเหล่านี้ทำให้ชีวิตของหวังเป่าเล่อลำบากอยู่ไม่กี่วัน แต่หลังจากนั้นก็ไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป หลี่เฉินแทบคลั่งเพราะความรำคาญใจ และไปตามล่าหาสิ่งอื่นมาทำให้ชีวิตของหวังเป่าเล่อยากลำบากขึ้นไปอีก หลี่เฉินถึงกับยอมติดต่อไปยังกลุ่มอื่นโดยใช้ข้ออ้างว่าต้องการช่วยเหลือ อย่างไรก็ตาม ทุกๆ สิ่งที่เขาโยนใส่หวังเป่าเล่อนั้นกลับได้รับความสนใจจากอีกฝ่ายเป็นเวลาไม่กี่วันเท่านั้น…

ในที่สุด หลี่เฉินก็ต้องประสาทเสียไปเองจากประสบการณ์ที่ได้รับ เขาเลิกมาตอแยหวังเป่าเล่อ แต่ หวังเป่าเล่อกลับไม่ค่อยชอบใจกับเรื่องนี้นัก ยิ่งเวลาผ่านไป ชายหนุ่มก็ยิ่งนึกชอบพอหลี่เฉินขึ้นมา แผนแสบๆ ของหลี่เฉินนั้นเหมือนเป็นการช่วยเหลือมากกว่าทำร้าย เพราะหากไม่ได้ทำงานซ่อมแซมที่ยากๆ จากกลุ่มอื่นๆ หวังเป่าเล่อก็คงไม่เก่งขึ้นรวดเร็วถึงเพียงนี้

หวังเป่าเล่อตกใจเมื่อได้รู้ว่าหลี่เฉินล้มเลิกความตั้งใจที่จะรังแกตนแล้ว จึงไปหาหลี่เฉินก่อนจะพูดคุยด้วยตามตรง และดูเหมือนว่าการพูดคุยนั้นจะไปจุดไฟให้กับวิญญาณของหลี่เฉินอีกครั้ง เด็กหนุ่มทั้งช่วยเหลือและขยายวงการค้นหา ทำทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อจะช่วยหวังเป่าเล่อในการฝึกฝน

แต่ไฟนี้…คงอยู่ได้เพียงสองเดือนก่อนที่หลี่เฉินจะยอมแพ้ไป ไม่ว่าหวังเป่าเล่อจะพูดคุยด้วยอย่างดีเพียงใดก็ไม่เป็นผล หลี่เฉินดูคล้ายจะร้องไห้อยู่ตลอดเวลา ก่อนจะเข้าไปพบอาจารย์และขอย้ายออกจากกลุ่มเจ็ดไป…

หวังเป่าเล่อรู้สึกเศร้าใจกับการจากไปของหลี่เฉิน เมื่อได้รู้ว่าหลี่เฉินย้ายไปกลุ่มห้า ชายหนุ่มก็รีบรุดไปที่กลุ่มห้าอย่างมีความสุขเพื่อไปหาหลี่เฉินทันที หวังเป่าเล่อเริ่มทำงานที่นั่นแทน และได้รับงานซ่อมแซมยากๆ อีกครั้ง

สองสัปดาห์ต่อมา…หลี่เฉินขอย้ายไปกลุ่มสาม หวังเป่าเล่อก็ตามสหายไปอยู่กลุ่มสามด้วยอย่างมีความสุข

หนึ่งสัปดาห์ต่อมาหลี่เฉินย้ายไปกลุ่มหนึ่ง หวังเป่าเล่อผู้ลิงโลดก็ตามมารอยเท้าสหายมาติดๆ หลี่เฉินตื่นตะลึงเมื่อเห็นหวังเป่าเล่อยืนอยู่ตรงหน้า

“สวัสดี!” หวังเป่าเล่อกะพริบตาและโบกมือให้หลี่เฉินอย่างตื่นเต้น

หลี่เฉินจากไปในวันนั้นเอง…ครั้งนี้ชายหนุ่มเลิกทำงานภายในเรือบินรบไปเลย และไปซ่อมแซมภายนอกแทน หวังเป่าเล่อเสียใจที่เห็นสหายจากไป หากไม่ใช่เพราะ ‘มิตรภาพ’ ที่ชายหนุ่มได้พัฒนาขึ้นร่วมกับหลี่เฉินในช่วงเวลานี้ เขาคงสังหารอีกฝ่ายและชิงเอาตัวตนมาเสียแล้ว

พวกเราเป็นสหายกัน ข้าจะทำเช่นนั้นกับสหายไม่ได้ หวังเป่าเล่อทอดถอนใจขณะที่มองดูหลี่เฉินเดินจากไป จากนั้นชายหนุ่มจึงหันหลังเดินกลับไปยังกลุ่มที่หนึ่ง…ในช่วงเวลาสามเดือนต่อมา หวังเป่าเล่อทำงานต่อไปโดยไม่ได้สังกัดกลุ่มใด ชายหนุ่มเดินจากกลุ่มหนึ่งสู่อีกกลุ่ม ไปทุกที่ที่มีคนต้องการตัว!

ความสามารถในการหลอมอันหาตัวจับยากของหวังเป่าเล่อไปสะดุดตาผู้อาวุโสสูงสุดและผู้อาวุโสขั้นจุติวิญญาณของสำนักเกลียวคลื่นสวรรค์เข้า แต่ผลสรุปจากการสืบสวนหลายครั้งก็ไม่พบสิ่งใดผิดปกติ ในที่สุด พวกเขาก็ทำได้เพียงสรุปว่าความรุดหน้าอย่างฉับพลันทันด่วนเป็นแค่การออกดอกผลของคนเก่งช้าเท่านั้น สิ่งนี้เป็นเรื่องปกติในอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ แต่ก็ยังไม่มีใครที่พัฒนาได้อย่างก้าวกระโดดเท่าหวังเป่าเล่อ

น่าเสียดายที่หลงหนานจื่อไม่อาจจะบรรลุขั้นปราณได้ ผู้อาวุโสสูงสุดถอนหายใจ เป็นครั้งแรกที่ชายชราสงสัยว่า เขาควรจะลองช่วยเหลือหลงหนานจื่อดีหรือไม่ ยอมเสียสละสักเล็กน้อยเพื่อให้หลงหนานจื่อบรรลุขั้นจุติวิญญาณ

ผู้อาวุโสสูงสุดเริ่มชั่งน้ำหนักข้อดีข้อเสีย ตอนนี้หวังเป่าเล่อใช้เวลาไปหกเดือนในการทำงานกับกลุ่มต่างๆ และเริ่มคุ้นเคยกับโครงสร้างภายในของเรือบินรบ ขณะนี้เป้าหมายของชายหนุ่มอยู่ที่…ส่วนแกนกลางของเรือบินรบ ซึ่งเป็นส่วนที่ผู้อาวุโสของสำนักเท่านั้นที่สามารถเข้าถึงได้!

หลายวันต่อมา หวังเป่าเล่อใช้กระบวนเวทสารัตถะและจัดการให้ตนบรรลุขั้นจุติวิญญาณ การบรรลุขั้นอันฉับพลันเป็นที่สนใจของทุกคน และข่าวการพัฒนาอย่างก้าวกระโดดของหลงหนานจื่อที่บรรลุสู่ขั้นจุติวิญญาณก็แพร่กระจายไปทั่วสำนักอย่างรวดเร็ว!

หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา A World Worth Protecting

หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา A World Worth Protecting

Status: Ongoing

เรื่อง : หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา (三寸人间)ผู้เขียน : เอ่อร์เกิน (耳根) ผู้แปล : Thunderbird Translators ค.ศ. 3029 วิทยาการบนโลกมนุษย์พัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว จนแต่ละประเทศไม่มีเขตพรมแดนกั้นอีกต่อไป โลกได้ผสานรวมกลายเป็นหนึ่งเดียว เริ่มต้นยุคสมัยแห่งสหพันธรัฐ ตอนนั้นเอง กระบี่ยักษ์เล่มหนึ่งตกลงมาจากห้วงอวกาศ ปักเข้าใจกลาง ดวงอาทิตย์ ฝักกระบี่แตกออกเป็นเศษชิ้นส่วนจำนวนมาก กระจัดกระจายไปทั่ว ทั้งจักรวาลรวมถึงบนโลก และก่อให้เกิดแหล่งพลังงานรูปแบบใหม่อันไร้ขีดจำกัด พลังงานนี้มีชื่อเรียกกันว่า ปราณวิญญาณ ‘หวังเป่าเล่อ’ หนุ่มร่างท้วมผู้ทะเยอทะยาน ใฝ่ฝันจะได้เป็นผู้นำสหพันธรัฐ ด้วยหวังว่าจะไม่มีใครมารังแกเขาได้อีกต่อไป และเมื่อเดินทางเข้ามาศึกษาใน สำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ เขาก็ใช้ความรู้เหล่านั้นบวกกับความหน้าหนาหน้าทน ของตัวเอง วางกลยุทธ์อันฉลาดล้ำกำราบศัตรูคนแล้วคนเล่า ใครหน้าไหนก็ไม่อาจมาขัดขวางเส้นทางสู่การเป็นหนึ่งในใต้หล้าของชายอ้วนผู้นี้ได้ เว้นเสียแต่คำสาปประจำตระกูล ที่บอกไว้ว่าหวังเป่าเล่อจะต้องตาย หากเขาไม่ผอมลงก่อนอายุสามสิบปี ในเมื่อบรรพบุรุษร่างจ้ำม่ำมายืนรอให้เขาไปอยู่ด้วยขนาดนี้ ชายหนุ่มจึงต้องทั้งฝึกตนและลดน้ำหนักไปพร้อมๆ กัน!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท