“อะไรล่ะครับ ก็ต้องทำด้วยกันอยู่แล้วนี่ครับ”
วันนี้แฟนคลับของอีอูยอนขอเช่าโรงภาพยนตร์ และกำลังจัดกิจกรรมการทักทายบนเวทีที่แทบจะกลายเป็นงานแฟนมีทติ้ง คิมคังอูคอยช่วยอินซอบอย่างตั้งใจ อินซอบไม่ค่อยมีสติมาตั้งแต่เช้าเพราะมีเรื่องให้ใส่ใจมากกว่างานตรงหน้ามากมาย
“คุณนักแสดงนี่ใส่อะไรก็ขึ้นนะครับ มีอะไรที่เขาทำเพื่อออกกำลังกายไหล่โดยเฉพาะหรือเปล่าน้า”
คิมคังอูมองไหล่ของตัวเองสลับกับไหล่ของอีอูยอนที่ยืนอยู่บนเวทีพลางพึมพำ
วันนี้ไหล่ของอีอูยอนซึ่งสวมเสื้อไหมพรมสีเบจกับกางเกงสแลคสีเทาเข้มดูกว้างเป็นพิเศษ อีอูยอนหันหน้ามาเพราะรู้สึกว่ามีสายตามองอยู่ พวกเขาสบตากัน อินซอบสะดุ้งตกใจเหมือนคนที่โดนไฟลวก ก่อนจะก้มลงมองด้านล่าง
“คุณนักแสดงมองมาทางนี้หรือเปล่าครับ”
“งะ งั้นเหรอ”
อินซอบไม่สามารถเงยหน้าขึ้นได้ เขาไม่ได้ทำอะไรผิด แต่การสบตากับอีกฝ่ายกลับยากขึ้นมาอย่างน่าประหลาด
เขาคุยโทรศัพท์กับอีอูยอนเมื่อคืนนี้ เขาถามว่างานเสร็จเรียบร้อยดีหรือเปล่า และอีอูยอนก็ตอบกลับมาว่าครับ อินซอบไม่มีอะไรจะถามต่อแล้ว เขาไม่อยากได้ยินคำโกหกอย่างหน้าตาเฉยที่ออกมาจากปากของอีอูยอน
ไม่ว่าจะคิดอย่างไร เขาก็ไม่เข้าใจอยู่ดี ไม่มีเหตุผลที่อีกฝ่ายต้องหลอกเรื่องตารางงาน หรือว่าอีกฝ่ายจะมีความลับที่ไม่สามารถบอกเขาได้กันนะ แม้เขาจะพยายามที่จะไม่คิดแบบนั้น แต่ความคิดของเขาก็ยังคงดำเนินไปในทางที่ไม่ดี
อีอูยอนโกหกทำไมกันแน่ หรือว่าจะมีอะไรที่อีกฝ่ายไม่สามารถพูดได้กันนะ
…ถ้าเราถามเรื่องวันนั้น เขาจะบอกเราตามจริงหรือเปล่า
เขารู้สึกไม่ดีเลย
อินซอบหลุบตาลงด้วยใบหน้าเศร้าหมอง
“และนี่ก็เป็นเวลาที่ทุกคนรอคอยมากที่สุดในวันนี้นะคะ”
พิธีกรพูดต่อด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น
“เราจะสุ่มเลขที่นั่งขึ้นมา และมอบของขวัญกับรูปถ่ายที่มีลายเซ็นสดของคุณอีอูยอนให้ค่ะ ตั้งหน้าตั้งตาคอยกันได้เลยนะคะ เพราะจะมีของรักของหวงของคุณอีอูยอนด้วย รบกวนตรวจสอบเลขที่นั่งของตัวเองให้ดีด้วยนะคะ”
เริ่มเกิดเสียงเอะอะมะเทิ่งจากที่นั่งของคนดู เพราะคำว่าของรักของหวง แฟนคลับหลายๆ คนประสานมือเข้าด้วยกันและเริ่มสวดมนต์
“อีกเดี๋ยวเราค่อยเอาอันนั้นขึ้นไปใช่ไหมครับ”
พอคิมคังอูชี้ไปที่กล่อง อินซอบก็พยักหน้า
การทักทายบนเวทีคราวนี้เป็นการเข้าร่วมเพื่อเป็นแฟนเซอร์วิส ดังนั้นทางต้นสังกัดจึงเป็นคนเตรียมของขวัญทั้งหมด อีอูยอนแค่เซ็นลายเซ็นประมาณสิบห้าอันลงบนรูปถ่ายของตัวเองด้วยใบหน้าที่เรียบเฉยเท่านั้น
“ว่าแต่ผมไม่คิดเลยนะครับ ว่าคุณนักแสดงจะชอบของแบบนั้นด้วย”
คิมคังอูมองตุ๊กตาหมีตัวใหญ่ที่กำลังยื่นหน้าออกมาข้างกล่อง และพึมพำราวกับแปลกใจ อีอูยอนไม่เคยเข้าใจกิจกรรมที่ต้องแบ่งปันของรักของหวงของดาราเลย
‘ทำไมผมต้องแบ่งของที่ผมใช้ให้คนอื่นด้วยล่ะครับ มันทำให้รู้สึกไม่ดีนะ’
แน่นอนว่าของรักของหวงอันไหนก็ไม่สามารถหลุดออกไปจากมือของอีอูยอนได้ คนที่สั่งตุ๊กตาหมีตัวใหญ่สำหรับกิจกรรมนี้คืออินซอบเอง
“แปลกมากเหรอครับ”
อินซอบหันไปมองตุ๊กตาหมีด้วยสายตาเป็นกังวลพลางเอ่ยถาม
“ก็ไม่ได้แปลกหรอกครับ แต่ผมว่ามันไม่เข้ากับภาพลักษณ์ของคุณนักแสดงเท่าไร เขาไม่น่าจะมีของแบบนั้นไว้ที่บ้านน่ะครับ”
“…”
นี่เป็นความจริงที่ไม่สามารถโต้แย้งได้ ที่บ้านของอีอูยอนนั้น นอกจากเฟอร์นิเจอร์แล้ว ก็มีแค่หนังสือและแผ่นเสียงเท่านั้น แม้เขาจะไม่รับของขวัญที่แฟนๆ ให้ตั้งแต่แรกอยู่แล้ว แต่อีกฝ่ายกลับจงเกลียดจงชังของประเภทตุ๊กตายิ่งกว่า เหตุผลก็คือมันสกปรก เพราะเก็บฝุ่นไว้มาก และน่ารำคาญ
“แต่แฟนๆ ที่ได้รับตุ๊กตาเป็นของขวัญน่าจะชอบนะครับ ถ้าไอดอลที่ผมชอบให้ของแบบนั้นกับผม ผมจะกอดนอนทุกวันเลยครับ”
“ถ้าเป็นอย่างนั้นก็ดีสิ”
“ต้องเป็นแบบนั้นอยู่แล้วครับ ถ้าเป็นของที่ได้รับจากดาราที่ชอบละก็ แค่กระดาษแผ่นเดียวก็ดีใจแล้วล่ะครับ”
ได้ยินคำพูดของคิมคังอู อินซอบก็โล่งใจ เขาอยากให้คนที่ได้รับดีใจมากที่สุดเท่าที่จะทำได้
ทุกๆ ครั้งที่พิธีกรขานเลขที่นั่ง ที่นั่งของคนดูก็จะถูกแบ่งออกเป็นความสุขกับความเศร้า ของขวัญเป็นกล่องที่ใส่สินค้าที่อีอูยอนเป็นพรีเซนเตอร์เอาไว้พร้อมกับลายเซ็นสด ปากของแฟนคลับที่ได้รับกล่องทุกคนฉีกไปจนถึงหู เพราะในนั้นประกอบไปด้วยของที่มีราคาแพงพอสมควร
“ยังเหลือของรักของหวงของคุณอีอูยอนเป็นอย่างสุดท้ายนะคะ”
อินซอบอุ้มตุ๊กตาหมีและเดินขึ้นไปบนเวที ตัวของอินซอบถูกบังจนแทบจะมองไม่เห็น เพราะความสูงของตุ๊กตาหมีตัวใหญ่ บรรดาแฟนๆ ที่นั่งอยู่ตรงที่นั่งคนดูส่งเสียงดังวุ่นวาย
“พี่คะ นั่นเป็นของที่พี่ได้มาจากใครหรือเปล่าคะ”
แฟนคลับที่นั่งอยู่ด้านหน้าตะโกนด้วยสีหน้ากรุ้มกริ่ม นี่เป็นคำพูดที่มีนัยะ อีอูยอนได้ชื่อว่าไม่รับของขวัญจากแฟนคลับอยู่แล้ว และในตอนที่มีข่าวลือคบหาดูใจกับใครสักคนแบบนี้ คนที่ถูกสงสัยว่าจะเป็นที่มาของตุ๊กตาตัวนี้ก็มีแค่คนเดียวเท่านั้น อีอูยอนรับไมค์มาและฉีกยิ้มอย่างสุภาพราวกับมีกลิ่นกาแฟลอยออกมาก่อนจะพูดต่อ
“ผมซื้อมาเองครับ”
อีอูยอนเอื้อมมือออกไปลูบหัวตุ๊กตาหมีก่อนจะพูดต่อ
“ผมเป็นโรคนอนไม่หลับนิดหน่อยน่ะครับ ดังนั้นถ้าไม่มีเจ้านี่ ผมจะนอนไม่ได้เลยครับ นี่เป็นเจ้าหนูที่ผมวางไว้ข้างตัวตลอดเลยครับ”
อินซอบรีบดึงป้ายราคาที่ติดอยู่ตรงก้นของตุ๊กตาหมีออก
“ถ้าไม่อยากได้ ผมจะพากลับไปอีกครั้งนะครับ นี่ผมพาเจ้าเด็กที่ผมรักที่สุดมาเลยนะ”
อีอูยอนทำตาเศร้าราวกับมองที่เขารักที่สุดจริงๆ พอเขาทำแบบนั้นก็มีเสียงตะโกนว่า ‘ฉันจะพากลับไปเองค่ะ ฉันจะเลี้ยงมันอย่างดีเลยค่ะ ให้ฉันเถอะนะคะ’ ออกมาจากทุกหนทุกแห่ง
อินซอบตั้งใจจะยื่นตุ๊กตาหมีให้อีอูยอนจึงรีบดันมันให้เจ้าตัว แต่อีอูยอนกลับทำเพียงลูบหัวของตุ๊กตาเท่านั้น ไม่ยอมรับไปถือไว้ สุดท้ายอินซอบก็ต้องยืนอยู่บนเวทีด้วยความประหม่าพร้อมกับกอดตุ๊กตาหมีเอาไว้
“เราจะให้คุณอีอูยอนเป็นคนเลือกผู้ที่จะได้รับตุ๊กตาหมีตัวนี้ไปด้วยตัวเองนะคะ”
คำพูดของพิธีกรทำให้รอยยิ้มที่ดวงตาของอีอูยอนเด่นชัดขึ้น
น่ารำคาญฉิบหาย
อินซอบอ่านความคิดที่ปรากฏอยู่ในดวงตาของอีอูยอนที่ยืนอยู่ข้างๆ ออก
อินซอบเหลือบมองพิธีกรด้วยสีหน้าวุ่นวายใจ แล้วเขาก็สบตากับอีอูยอน อินซอบรีบมุดหน้าลงกับส่วนหลังของหัวตุ๊กตาหมี
“เลือกมาสมกับเป็นคุณอินซอบเลยนะครับ”
อีอูยอนกระซิบด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ เขารู้ดีว่าใครเป็นคนเลือกตุ๊กตาหมี
“…ขอโทษครับ ครั้งต่อไปผมจะคิดให้ดีๆ ก่อนเลือกครับ”
อินซอบรู้สึกผิดว่าเขาน่าจะซื้อหนังสือของนักเขียนที่อีกฝ่ายชอบหรือแผ่นเสียงมาน่าจะดีกว่า
“ไม่เลยครับ ผมถูกใจมากครับ”
อีอูยอนดึงแขนของตุ๊กตาหมีมาถูกับแก้มของตัวเองก่อนจะยิ้มอย่างขี้เล่น สายตาหื่นกระหายที่บอกว่า ‘ฉันจะเอาตุ๊กตาตัวนั้นให้ได้’ ถูกส่งมาจากบรรดาผู้เข้าร่วมงาน
อีอูยอนคว้าแขนของตุ๊กตาหมีเอาไว้ และยืนยิ้มอยู่อย่างนั้น แม้อีกฝ่ายจะไม่ได้จับมือของเขา แต่อินซอบก็หน้าแดงขึ้นมาโดยไม่จำเป็น
“คนที่แต่งกลอนสามประโยค[1]จากชื่อของคุณอีอูยอนได้ยอดเยี่ยมที่สุดจะเป็นคนที่ได้ของขวัญในวันนี้กลับไปนะคะ เชิญคุณอีอูยอนเลือกได้เลยค่ะ”
“ฮ่าๆๆ”
อีอูยอนหัวเราะแทนคำตอบ
ไปหาพิธีกรโง่เง่าอย่างนี้มาจากไหนเนี่ย
อินซอบที่อ่านความโหดเหี้ยมในสายตาของอีอูยอนออกเผลอห่อไหล่อย่างไม่รู้ตัว
“เอาล่ะค่ะ งั้นเรามาทำให้บรรยากาศผ่อนคลายลงสักหน่อย…”
สายตาของพิธีกรปะทะเข้ากับชเวอินซอบที่ยืนถือตุ๊กตาหมีไว้
“คนที่ถือตุ๊กตาหมีอยู่ตรงนั้นน่ะค่ะ”
“ครับ?”
อินซอบสะดุ้งด้วยความตกใจก่อนจะเงยหน้าขึ้น
“เป็นนักเรียนที่ทำงานอยู่ในโรงภาพยนตร์สินะคะ”
“…ผมเป็นผู้จัดการส่วนตัวครับ”
พิธีกรรีบดันไมค์มาให้ เพราะไม่ได้ยินในสิ่งที่อินซอบตอบ
“งั้นหนูลองเริ่มก่อนดีไหมจ๊ะ ฉันจะเริ่มพูดคำให้เองค่ะ”
“เอ่อ…”
อินซอบไม่รู้ว่ากลอนสามประโยคคืออะไร อีอูยอนมองดูเขาที่ทำตัวไม่ถูกและกลั้นหัวเราะเอาไว้
“เอาล่ะนะ อี!”
“อี…?”
พออินซอบพูดตามพิธีกร ทุกคนก็หัวเราะออกมา
“ไม่ใช่ ไม่ได้ให้พูดตาม แต่ต้องสร้างคำขึ้นมาโดยเริ่มจากคำว่าอีต่างหาก หนูมาจากประเทศอื่นเหรอจ๊ะ”
“ขอโทษครับ ผมจะลองอีกครั้งครับ”
เขาได้ยินเสียงพูดกระซิบกระซาบว่า ‘น่ารักมาก’ จากตรงนั้นตรงนี้ ภาพของเด็กหนุ่มที่ดูอ่อนเยาว์และมีดวงตากลมโตกำลังอุ้มตุ๊กตาที่ใหญ่กว่าตัวเอง และกำลังประหม่านั้นดึงดูดสายตาของผู้คน
ความรู้สึกเสียอารมณ์เริ่มเกิดขึ้นในใจของอีอูยอน ไอ้กลอนสามประโยคเส็งเคร็ง เขาคิดว่าเขาควรจะแย่งตุ๊กตาหมีที่อยู่ในมือของอินซอบมาโยนทิ้งดีหรือไม่
“เอาล่ะนะ เริ่มได้ อี!”
พิธีกรพูดคำแรกให้
“คุณอีอูยอน…”
อินซอบพูดต่อด้วยเสียงที่บางเบา อีอูยอนเอียงหัวเล็กน้อย
“อู!”
“เป็น…”
เสียงของอินซอบสั่นเล็กน้อย แววตาของเขาดูไม่สบายใจเพราะเขาไม่มั่นใจว่าสิ่งที่ตัวเองกำลังทำอยู่ถูกต้องหรือเปล่า เขาใช้แววตานั้นเหลือบมองอีอูยอนสลับกับคิมคังอู
“เอาล่ะนะ คำสุดท้าย ยอน!”
“…ดาราในบริษัทของเรา”
อินซอบจบกลอนสามประโยคด้วยน้ำเสียงสั่นๆ แล้วก้มหน้าลงทั้งที่ยังกอดตุ๊กตาหมีเอาไว้ เขาไม่ได้ยินแม้แต่เสียงลมหายใจในโรงภาพยนตร์ที่อากาศเย็นยะเยือกเหมือนมีก้อนน้ำแข็งใหญ่ๆ ถูกดันผ่านไป
เลือดขึ้นไปกองอยู่ที่หน้าของอินซอบ แม้จะไม่รู้ว่ากลอนสามประโยคคืออะไร แต่เขากำลังทำให้เสียเรื่องอยู่อย่างแน่นอน เขาอยากจะหายไปพร้อมกับตุ๊กตาหมี
ตอนนั้นเอง
อีอูยอนก็ขยับไหล่ขึ้นลงพร้อมกับเอาแขนปิดหน้าเอาไว้ สายตาทุกคู่จ้องไปทางเขากันเป็นตาเดียว
“ฮ่าๆ”
อีอูยอนเริ่มหัวเราะพร้อมกับหันตัวไปอีกด้าน อินซอบกะพริบตาและมองอีอูยอนอย่างมึนงง ทุกคนก็เป็นเหมือนกันกับเขา
“ฮ่าๆๆๆๆ”
นี่ไม่ใช่เสียงหัวเราะเบาๆ ที่หลุดออกมาอย่างอารมณ์ดี อีอูยอนระเบิดเสียงหัวเราะออกมาดังลั่นพร้อมกับเอามือปิดหน้าเอาไว้ เหมือนเขารู้สึกลำบากที่จะกลั้นเสียงหัวเราะนั้น
นี่เป็นภาพที่เพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรก ทั้งพวกแฟนๆ ผู้จัดการส่วนตัว และแม้กระทั่งตัวของอีอูยอนเอง
การหัวเราะที่หาได้ยากของอีอูยอนดำเนินต่อไปสักพัก
***
“จะเรียกว่าอะไรเหรอครับ”
“ครับ?”
“ชื่อน่ะ”
อินซอบปรับท่าของตุ๊กตาหมีในอ้อมกอดก่อนจะตอบว่าไม่รู้
“ต้องตั้งชื่อให้สิครับ ขนาดต้นไม้คุณยังตั้งชื่อให้เลย แล้วทำไมถึงไม่มีชื่อให้เจ้านี่ล่ะครับ”
อีอูยอนดึงหูของตุ๊กตาหมีอย่างเย้าแหย่
สุดท้ายชเวอินซอบผู้ซึ่งทำให้อีอูยอนหัวเราะได้ครู่ใหญ่ด้วยกลอนสามประโยคที่แย่จนหาที่เปรียบไม่ได้ว่า ‘คุณอีอูยอนเป็นดาราในบริษัทของเรา’ ก็กลายเป็นผู้ชนะของวันนี้ เมื่อคนที่ได้ตุ๊กตาสุดรักของอีอูยอนไปไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นผู้จัดการส่วนตัว แฟนๆ ก็บอกว่าดีแล้วและรู้สึกเห็นด้วย ในขณะเดียวกันภาพที่อีอูยอนหัวเราะก็ครอบครองอันดับหนึ่งในการค้นหาทางอินเทอร์เน็ตด้วยคำว่า ‘รูปภาพหายากของอีอูยอน’ ไปแล้ว
“ไม่ชอบเจ้านี่เหรอครับ”
“เปล่าครับ…ผมจะเรียกว่าเท็ดดี้ครับ”
นี่เป็นชื่อที่ธรรมดาที่สุดที่จะสามารถตั้งให้ตุ๊กตาหมีได้ เมื่ออีอูยอนได้ยินชื่อนั้นก็ทำหน้าไม่พอใจ
“มันเป็นตัวผู้เหรอครับ”
“ไม่รู้เหมือนกันครับ”
มันเป็นแค่ตุ๊กตาหมีธรรมดาที่มีขนสีขาวเท่านั้นเอง เขาไม่เคยคิดถึงเรื่องเพศของตุ๊กตาด้วยซ้ำ
“จะเอาผู้ชายคนอื่นที่ไม่ใช่ผมกลับบ้านเหรอครับ”
อินซอบรีบหันหลังไปมองว่ามีคนตามหลังพวกเขามาหรือเปล่า
“กลัวว่าผมจะไม่ได้เช็กและพูดอะไรไร้สาระออกมาเหรอครับ”
“ปะ เปล่าครับ ถ้าคุณไม่ชอบชื่อเท็ดดี้ ผมจะเรียกว่ากมซุนก็ได้ครับ”
สายตาของอีอูยอนวาวโรจน์อย่างอันตรายมากยิ่งขึ้น
“ชอบผู้หญิงมากกว่าเหรอครับ”
น้ำเสียงแผ่วเบา ทว่าเชือดเฉือน อินซอบไม่รู้เลยว่าตอนนี้อีกฝ่ายพูดจริงหรือพูดเล่น เขาจึงทำได้แค่ลูบแขนของตุ๊กตาหมีอย่างว้าวุ่นใจ
“ไม่ได้แล้ว”
อีอูยอนแย่งตุ๊กตาหมีที่อยู่ในอ้อมกอดของอินซอบไป
“ผมจะเลี้ยงเจ้านี่เองครับ”
“…!”
อีอูยอนหนีบตุ๊กตาหมีไว้ที่สีข้างก่อนจะเริ่มเดิน
“ชื่ออะไรดีน้า”
อีอูยอนยืนขมวดคิ้วอยู่หน้าลิฟต์พลางพึมพำ
ประตูลิฟต์เปิดออกพร้อมกับเสียง ติ๊ง อีอูยอนขยับมือสั่งให้อินซอบเข้าไปในลิฟต์ก่อน อินซอบเข้าไปยืนอยู่ตรงมุมลิฟต์ เนื่องจากเป็นลิฟต์สำหรับหกคน ลิฟต์จึงรู้สึกแน่นทันทีที่คนสองคนกับตุ๊กตาหมีเข้ามาในลิฟต์ อีอูยอนกดปุ่มชั้นใต้ดินชั้นที่สี่
“ผมจะเรียกว่าปีเตอร์ครับ”
[1] กลอนสามประโยค เป็นกลอนที่แต่งขึ้นโดยเล่นคำจากคำแรกของคำ