“ฮัลโหลครับ”
[อินซอบ นายเป็นอะไรหรือเปล่า]
ครั้นได้ยินน้ำเสียงร้อนรนของกรรมการผู้จัดการคิม อินซอบก็เอียงหัว
“ครับ ผมไม่ได้เป็นอะไรครับ”
กรรมการผู้จัดการที่อยู่ที่ปลายสายถอนหายใจอย่างโล่งอก
[โอเค โล่งอกไปทีนะที่ไม่ได้มีเรื่องอะไร]
อินซอบกะพริบตาก่อนจะเอ่ยปากถาม
“ดูเหมือนเมื่อวานผมจะเมามากสินะครับ”
ถึงแม้หัวหน้าทีมชาจะบอกว่าไม่เป็นอะไร แต่ต้องเกิดเรื่องอะไรขึ้นอย่างแน่นอน
[เมามากเลยล่ะ]
กรรมการผู้จัดการคิมตอบด้วยน้ำเสียงไม่ชอบใจ หน้าของอินซอบแดงขึ้นอีกครั้ง
“ขอโทษครับ ดูเหมือนเมื่อวานผมทำตัวเสียมารยาท พอดีไม่ได้ดื่มมานานแล้วล่ะครับ”
มีไม่กี่ครั้งที่เขาจะดื่มเหล้าจนขาดสติแบบนี้ เพราะปกติแล้วมันจะไม่จบที่การเมา แต่จะหมดสติไปเลย
“ปกติผมไม่ดื่มขนาดนี้…”
เมื่อพูดมาถึงตรงนี้ อินซอบก็กัดริมฝีปาก มีอะไรแปลกๆ อีอูยอนรู้ดีกว่าใครว่าเขาดื่มเหล้าไม่เก่ง ดังนั้นอีกฝ่ายจึงมักจะกำหนดปริมาณเหล้าไว้ในใจก่อนจะให้เขาดื่มเสมอ
แต่อีอูยอนคนเมื่อวานกลับรินเหล้าให้ทันทีที่แก้วเหล้าของอินซอบว่างเปล่าเหมือนตั้งใจ ถึงแม้เจ้าตัวจะไม่ได้เร่งให้รีบดื่มหรือบีบบังคับ แต่ก็จะคอยมองอินซอบอย่างตั้งใจด้วยรอยยิ้มจนกว่าแก้วเหล้านั้นจะว่างเปล่า
[ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร คนเราก็เป็นแบบนี้ได้กันทั้งนั้นแหละ]
ความอับอายของอินซอบเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว เพราะความใจกว้างของกรรมการผู้จัดการคิม
“ขอโทษจริงๆ ครับ ผมเป็นผู้จัดการส่วนตัวแท้ๆ แต่กลับไม่สามารถรับผิดชอบนักแสดงที่อยู่ในความดูแลได้…”
กรรมการผู้จัดการคิมร้องหืมให้กับคำพูดของอินซอบก่อนจะย้อนถามเหมือนเพิ่งได้ยินคำพูดที่ไม่ควรจะได้ยิน
[ไม่ได้อยู่กับอีอูยอนเหรอ]
ปฏิกิริยาของอีกฝ่ายเหมือนกับหัวหน้าทีมชา ดูเหมือนว่าเขาจะลุกออกจากวงเหล้าพร้อมกับอีอูยอน
“ครับ ถึงเมื่อวานพวกเราจะออกมาด้วยกัน แต่ดูเหมือนคุณอีอูยอนจะกลับบ้านตัวเองไปนะครับ”
[ไม่ได้ลุกออกไปพร้อมกันหรอก…ฮ่าๆ ถ้าเป็นอย่างนั้นทำไมเขาถึงขอให้ปรับตารางงานล่ะ]
“ตารางงานเหรอครับ”
[เออ อีอูยอนยกเลิกตารางงานวันนี้น่ะ ฉันถึงโทรศัพท์มาบอกไง]
อีอูยอนเป็นคนที่ไม่เมาง่ายๆ และไม่รู้สึกอาการเมาค้างแม้ว่าจะเมาก็ตาม
สีหน้าของอินซอบหมองลงทันที
“เมื่อวานคุณอูยอนดื่มจนทรงตัวไม่อยู่เลยเหรอครับ”
[ทรงตัวได้ดีเกินไปด้วยซ้ำ]
หน้าของอินซอบซีดเผือดลงไปอีกหนึ่งระดับ เพราะคำพูดของกรรมการผู้จัดการคิม ถ้าฝ่ายนั้นยกเลิกตารางงานทั้งๆ ที่เป็นแบบนั้นละก็ ต้องเกิดปัญหาอะไรขึ้นแน่ๆ
เขาต้องไปหาอีอูยอน อินซอบรีบลงจากเตียง แต่แล้วอาการปวดศีรษะตุบๆ ที่พุ่งขึ้นมาก็ทำเอาเขาร้องออกมาด้วยสีหน้ายับย่น
[เป็นอะไรไป ไม่สบายตรงไหนหรือเปล่า หรือว่าเมื่อวานไปปะทะกับใครเข้า]
กรรมการผู้คิดการคิมรัวคำถามใส่โดยไม่หยุดหายใจ
“ครับ? เปล่าครับ”
อินซอบก้มลงมองร่างกายของตัวเอง เขาอยู่ในสภาพที่เรียบร้อยเกินกว่าที่จะคิดว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นเมื่อวาน แต่อาการปวดแปลกๆ กลับพุ่งขึ้นมาในที่เขาไม่ได้สนใจ
เขาล้มตรงบันไดตอนที่ขึ้นมาที่บ้านเหรอ
อินซอบเกาแก้มพลางพูดกับกรรมการผู้จัดการคิมอย่างใจเย็น
“เดี๋ยวผมไปเช็กอาการของคุณอีอูยอนแล้วจะติดต่อกลับไปทันทีครับ”
“จะไปเช็กอะไรล่ะ หมอนั่นเป็นคนที่ไม่เมา แล้วก็ไม่รู้สึกถึงความเหนื่อยล้าด้วย”
“แต่เขายกเลิกตารางงานนะครับ เขาต้องรู้สึกไม่สบายตรงไหนแน่ๆ เลยครับ”
[ซอบเอ๋ยซอบ อินซอบเอ๊ย]
กรรมการผู้จัดการคิมเรียกอินซอบด้วยน้ำเสียงทอดถอนใจ
[พูดกันตรงๆ ระหว่างพวกเราเลยนะ นายเห็นว่าอีอูยอนเป็นคนที่มีส่วนที่เป็นมนุษย์พอที่จะดื่มเหล้าแล้วป่วยเหรอ]
“….ก็อาจจะเป็นไปได้นี่ครับ”
[ได้ เขาอาจจะป่วยก็ได้ แต่ไม่ใช่วันนี้หรอก ยิ่งไปกว่านั้นเขาดื่มไปแค่นั้นเอง]
อีอูยอนเป็นคนแข็งแรง ความแข็งแรงที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิดของเขามีตั้งแต่ผิว ฟัน ผม รวมไปจนถึงตา สายตาของอีกฝ่ายดีจนการทดสอบการมองเห็นไม่มีความหมาย เขาไม่เคยเป็นหวัดในฤดูหนาวเลยสักครั้ง เพราะภูมิต้านของเขาต่างจากคนอื่น
มีอยู่ครั้งหนึ่งโรคไข้หวัดใหญ่ที่รุนแรงระบาดในระหว่างที่ถ่ายละครจนทำให้ทีมงานและนักแสดงกว่าครึ่งล้มป่วย แต่ก็ไม่ใช่ว่าอีกครึ่งหนึ่งที่เหลือจะไม่เป็นอะไรเลย พวกเขาเริ่มล้มป่วยกันทีละคนสองคน เพราะไข้หวัดใหญ่ที่ระบาดราวกับโรคติดต่อ จนในที่สุดก็ต้องเลื่อนการถ่ายทำออกไปพักหนึ่ง ในบรรดาคนพวกนั้นมีแค่อีอูยอนคนเดียวที่ยังรักษาสภาพร่างกายที่แข็งแรงสมบูรณ์เอาไว้ได้
กรรมการผู้จัดการคิมเคยเล่นมุกแป้กไว้ว่าในอนาคตเชื้อเซรุ่มของอีอูยอนอาจจะอยู่ในการวิจัยเพื่อสุขภาพของมวลมนุษยชาติก็เป็นได้
“คนแบบนั้นไม่มีทางขอให้ยกเลิกตารางงานอย่างกะทันหันโดยไม่มีเหตุผลหรอกครับ”
[ไม่มีเหตุผลอะไรล่ะ ก็…]
พอพูดมาถึงตรงนี้กรรมการผู้จัดการคิมก็สูดหายใจเข้าลึกๆ เพื่อระงับอารมณ์ที่พลุ่งพล่านขึ้นมาก่อนจะเริ่มเกลี้ยกล่อมอินซอบ
[ยังไงก็ตาม ไม่มีอะไรที่ต้องเป็นห่วงหรอก หมอนั่นเป็นปกติมากๆ]
“ยกเลิกไปจนถึงตารางงานตอนเย็นเลยหรือเปล่าครับ”
ช่วงสายอีอูยอนมีนัดสัมภาษณ์ ส่วนตอนเย็นก็มีนัดประชุมกับคนเขียนบทของละครที่กำลังจะร่วมแสดง
[อือ ทั้งสองงานเลย ยังไงก็ตามวันนี้นายเองก็น่าจะเหนื่อยมาก พักให้เต็มที่เถอะ]
“ครับ ขอบคุณที่เป็นห่วงนะครับ ผมขอตัวก่อนนะครับ”
อินซอบวางสายก่อนจะส่งข้อความหาอีอูยอน
[ถ้าตื่นแล้วช่วยติดต่อกลับมาด้วยนะครับ]
เขาคิดว่าจะโทรศัพท์ไปหาดีหรือไม่ แต่ก็กลัวว่าอีกฝ่ายจะนอนหลับอยู่ แม้เขาจะรออยู่สักพัก แต่ก็ไม่มีข้อความตอบกลับมา
อินซอบเริ่มอาบน้ำทันที แม้จะได้ยินว่าอีอูยอนเดินออกจากวงเหล้าอย่างครบถ้วนสมบูรณ์ แต่เขาก็อดเป็นห่วงไม่ได้ เขาต้องไปดูด้วยตาของตัวเองถึงจะวางใจ
เขาสวมเสื้อผ้าและเช็ดผมให้แห้งอย่างลวกๆ ในตอนนั้นเองเขาก็ได้ยินเสียงกริ่ง นี่เป็นเวลาเช้าตรู่ อินซอบวิ่งไปที่ประตูและเปิดประตูออกกว้าง อีอูยอนที่ยืนอยู่นอกประตูเอาฮู้ดลงพร้อมกับทำหน้านิ่วคิ้วขมวด
“ไม่ได้ฟังที่พูดจริงๆ สินะครับ รู้เหรอครับว่าเป็นใครถึงได้เปิดประตูให้น่ะ”
“ขอโทษครับ ต่อไปผมจะระวังกว่านี้ …แล้วคุณเป็นอะไรหรือเปล่าครับ”
สิ้นคำถามของอินซอบ อีอูยอนก็ทำหน้าเหมือนได้ยินคำพูดที่แปลกประหลาด
“เพราะเมื่อวานคุณดื่มเยอะมากเลยน่ะครับ”
“คุณก็รู้นี่ครับว่าผมไม่มีอาการเมาค้าง”
“เมื่อวานเกิดอะไรขึ้นเหรอครับ”
“คุณอินซอบเมามาก ผมก็เลยพากลับมาที่นี่ แล้วผมก็กลับไปเลยครับ”
อีอูยอนยิ้มอย่างสดใสพลางปิดประตูบ้าน แต่อินซอบกลับไม่สามารถสลัดความเคลือบแคลงใจที่ยังเหลืออยู่ในส่วนหนึ่งของจิตใจออกไปได้ แม้จะได้ยินคำอธิบายของอีกฝ่ายแล้วก็ตาม ถ้าเป็นอีอูยอนในเวลาปกติละก็ เขาไม่มีทางกลับบ้านไปเฉยๆ
“ผมได้ทำเรื่องเสียมารยาทในวงเหล้าหรือเปล่าครับ”
ครั้นอินซอบเอ่ยถามอย่างระมัดระวัง อีอูยอนก็ยิ้มโดยไม่พูดอะไร ความกังวลใจกระจายไปทั่วอกของอินซอบทันที
“หรือว่าผมพูดอะไรแย่ๆ ออกไปเหรอครับ”
เขาคิดว่าอีอูยอนอาจจะห่างเหินกับเขา เพราะเขาแสดงท่าทีที่ไม่ดีออกไป อีอูยอนหัวเราะฮ่าๆ สั้นๆ
“รู้จักคำพูดแย่ๆ ด้วยเหรอครับ ถ้ามีโอกาสผมก็อยากฟังนะ อะ นี่ครับ”
อีอูยอนยื่นถุงที่ถืออยู่ในมือให้
“อะไรเหรอครับ”
“ผมห่อซุปแก้อาการเมาค้างมาให้น่ะครับ ส่วนนี่เป็นเครื่องดื่มแก้แฮงค์”
“ขอโทษนะครับ ผมต้องเป็นฝ่ายดูแลคุณแท้ๆ”
อินซอบเกรงใจ และรับถุงมาด้วยสีหน้าคล้ายจะทำตัวไม่ถูก
“กินให้หมดนะครับ”
“…ไม่กินด้วยกันเหรอครับ”
จะว่าไปแล้วอีอูยอนไม่ถอดรองเท้าออกด้วยซ้ำ
“ผมกำลังจะไปออกกำลังกายน่ะครับ”
อีอูยอนสวมรองเท้ากีฬากับชุดออกกำลังกายคล้ายจะยืนยันคำพูดของตัวเอง เขานับถือความแข็งแรงที่น่าตกใจของอีกฝ่ายจริงๆ
“ตารางงานตอนเช้าวันนี้ยกเลิกนะครับ ผมไม่สามารถไปสัมภาษณ์ทั้งๆ ที่มีกลิ่นเหล้าหึ่งได้น่ะครับ”
อย่าว่าแต่กลิ่นเหล้าเลย หน้าของฝ่ายนั้นเหมือนจะมีกลิ่นผลไม้ที่สดชื่นด้วยซ้ำ พอเห็นอินซอบเงยหน้าขึ้นมองโดยไม่พูดอะไร อีอูยอนก็เอียงคอถาม
“มีกลิ่นเหล้าออกมาเหรอครับ”
“เปล่าครับ มีแต่กลิ่นหอมๆ ออกมาครับ”
กลิ่นซีตรัสของแชมพูกระจายออกมาทุกครั้งที่อีอูยอนขยับตัว อินซอบรู้ได้ในทันทีเลยว่านั่นเป็นของที่เขาเคยใช้ตอนที่อาบน้ำที่บ้านของอีกฝ่าย จะว่าไปเขาก็ไม่ได้อาบน้ำที่บ้านของอีอูยอนมานานแล้วเหมือนกัน อินซอบก้มหน้าเพราะความคิดไร้สาระที่ตนนึกขึ้นมา เขารู้สึกถึงสายตาของอีอูยอน ควันลอยขึ้นมาจากถุงซุปแก้อาการเมาค้างที่เขาถืออยู่ในมือข้างหนึ่ง
อีอูยอนเปิดปากพูดว่า ‘แล้วก็’
“ตารางงานตอนเย็นผมจะไปคนเดียวครับ”
“ครับ?”
“ยังไงมันก็เป็นการไปพบกับคนเขียนบทนี่ครับ ไม่มีอะไรให้ผู้จัดการส่วนตัวทำอยู่แล้ว”
อินซอบกะพริบตาอย่างช้าๆ เมื่อกี้นี้…
“ตารางงานวันนี้ถูกยกเลิกทั้งหมดไม่ใช่เหรอครับ”
สิ้นคำถามของอินซอบก็เกิดรอยยิ้มกว้างขึ้นที่ตาของอีอูยอน
อินซอบชอบอีอูยอนในฐานะนักแสดง เขาจึงดูผลงานทั้งหมดของอีกฝ่าย และเคยย้อนดูผลงานเดิมซ้ำๆ เป็นสิบรอบมาแล้วด้วย ดังนั้นถึงเขาจะไม่ได้ตั้งใจ แต่ก็มีตอนที่เขาอ่านสีหน้าของอีอูยอนออกเหมือนกัน
“ใครพูดอย่างนั้นเหรอครับ กรรมการผู้จัดการเหรอ”
“ครับ เราเพิ่งจะคุยโทรศัพท์กันเมื่อกี้นี่เอง”
“ดูเหมือนเขาจะสับสนเพราะเป็นเรื่องที่คุยในวงเหล้าเมื่อวานนะครับ”
ตายิ้มของอีอูยอนชัดเจนขึ้น อินซอบรู้ได้ในทันทีว่าตอนนี้อีกฝ่ายกำลังโกหก และเจ้าตัวก็น่าจะสังเกตเห็นแล้วด้วยว่าเขารู้ความจริงข้อนั้นเหมือนกัน
อินซอบรู้สึกงงงวย
“ดูท่าจะเป็นอย่างนั้นครับ ไว้ผมจะตรวจสอบดูอีกทีนะครับ”
“ได้ครับ”
มือของอีอูยอนยื่นเข้ามาใกล้อย่างกะทันหัน อินซอบสะดุ้งและเกร็งไหล่โดยไม่รู้ตัว
“ฟอง”
อีอูยอนเอาฟองจากยาสีฟันที่ติดอยู่ตรงปลายนิ้วให้ดูก่อนจะยิ้ม แม้อินซอบจะพยายามยิ้มตาม แต่ปากที่แข็งตึงก็ทำได้แค่กระตุกอย่างแปลกๆ เท่านั้น
“งั้นผมขอตัวก่อนนะครับ”
อีอูยอนที่กำลังจะออกจากประตูบ้านไปเอี้ยวตัวกลับมา เพราะนึกอะไรขึ้นมาได้
“ทำไมเมื่อวานคุณถึงชวนให้มาเจอกันเหรอครับ”
“แค่…”
“แค่?”
อีอูยอนเร่งให้อินซอบพูดต่ออย่างหยอกล้อ
“…กินข้าวเย็นด้วยกันไหมครับ”
“มีของที่อยากกินหรือเปล่าครับ”
น้ำเสียงที่ถามแบบนั้นนุ่มนวลอย่างมาก อินซอบส่ายหน้าอย่างยากลำบาก
“งั้นผมให้เวลาคิดจนถึงพรุ่งนี้นะครับ”
อินซอบตอบว่าครับด้วยน้ำเสียงเล็กๆ ประตูหน้าบ้านถูกปิดไปแล้ว ถุงพลาสติกที่บรรจุซุปแก้อาการเมาค้างไว้ตกลงบนพื้นทันที
อินซอบหยิบถุงขึ้นมาวางไว้บนโต๊ะกินข้าวตามเดิม ผ่านไปได้ไม่นานตัวหนังสือที่แจ้งให้รู้ว่ามีข้อความเข้าก็เด้งขึ้นมา เป็นกรรมการผู้จัดการคิมนั่นเอง เนื้อหาบอกว่าตารางงานตอนเย็นยังเหมือนกับก่อนหน้านี้ และเจ้าตัวเข้าใจผิดไปเอง ทั้งยังเสริมอีกว่าอีอูยอนสามารถไปพบกับคนเขียนบทคนเดียวได้
อินซอบอ่านข้อความซ้ำๆ ด้วยสีหน้ามึนงง
“…”
นี่เป็นครั้งแรกที่อีอูยอนตั้งใจโกหกเกี่ยวกับตารางงานของตัวเอง และถึงแม้เขาจะรู้ แต่อีกฝ่ายก็ยังแกล้งทำเป็นไม่รู้อย่างหน้าตาเฉย
เขารู้สึกไม่ดีเลย
อินซอบยืนเหม่ออยู่กับที่จนกระทั่งซุปแก้อาการเมาค้างอุ่นๆ นั้นเย็นชืด
***
“นี่เป็นครั้งแรกเลยนะครับที่ผมดื่มเหล้าเยอะขนาดนั้นในช่วงนี้ เมื่อวานผมนอนทั้งวันเหมือนศพเลยครับ”
คิมคังอูที่นั่งอยู่ข้างๆ พูดจ้อต่อ
“วันนั้นพี่เคยแบกผมกลับใช่ไหมล่ะครับ ผมโดนพี่สาวด่าไม่หยุดเลยครับ พี่ของผมนี่น่ากลัวจริงๆ เลยนะครับ แล้ววันนั้นฮยองนิมกลับบ้านอย่างปลอดภัยไหมครับ”
“…”
“ท้องไส้ยังไม่ดีอยู่เหรอครับ”
คิมคังอูมองอินซอบที่เหม่อลอยไม่พูดอะไรสักคำพลางเอ่ยถาม
“ปะ เปล่า ไม่ได้เป็นอะไร”
“ไม่เป็นอะไรจริงๆ เหรอครับ ไปโรงพยาบาลดูหน่อยไหมครับ”
คิมคังอูหยิบโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋าพลางเอ่ยถาม ดูเหมือนเขาจะได้ยินได้ฟังเกี่ยวกับสุขภาพของอินซอบมาพอสมควร
“ไม่เป็นไรจริงๆ”
อินซอบยิ้มพลางส่ายหน้า
“โชคดีนะครับที่ตารางงานเมื่อวานถูกยกเลิก ไม่อย่างนั้นคงได้ตายจริงๆ แน่”
รอยยิ้มขี้เล่นประดับอยู่บนใบหน้าของคิมคังอูอีกครั้ง อินซอบตอบกลับอย่างอ่อนแรงว่า ‘นั่นสิ’
“ว่าแต่เรี่ยวแรงของคุณนักแสดงนี่ดีจริงๆ เลยนะครับ ต่อให้ผ่านไปแล้วหนึ่งวัน แต่ถ้าดื่มขนาดนั้น ก็น่าจะลำบากอยู่ดี แต่ดูไปใบหน้าที่เปล่งประกายของเขาสิครับ”
คิมคังอูชี้ไปที่อีอูยอนที่ยืนอยู่บนเวทีก่อนจะชื่นชมจากใจจริง
“วันนั้นผมมั่นใจมากครับ เพราะผมยังไม่เคยแพ้ใครในเรื่องดื่มเหล้ามาก่อนเลย แต่ผมจะไม่ดื่มกับคุณนักแสดงอีกเด็ดขาดเลยครับ เขาโหดกว่ารุ่นพี่ในภาคของผมซะอีก …ว่าแต่ฮยองนิมไม่เป็นอะไรจริงๆ ใช่ไหมครับ”
คิมคังอูเอ่ยถามอินซอบที่ดูไร้เรี่ยวแรงเป็นพิเศษอย่างเป็นห่วง
“ขอโทษนะ ฉันเมาค้างนานนิดหน่อยเพราะไม่ได้ดื่มมานานแล้วน่ะ”
“ให้ผมไปซื่อเครื่องดื่มแก้แฮงค์ให้ไหมครับ”
“ไม่ถึงขนาดนั้นหรอก”
“ถ้าต้องการก็บอกนะครับ ผมจะไปซื้อมาให้ทันทีเลย”
คิมคังอูยิ้มอย่างอารมณ์ดีโดยไม่มีทีท่าว่าจะรำคาญเลยสักนิด อินซอบเองก็ยิ้มตามอีกฝ่าย คิมคังอูเป็นคนที่แค่เห็นก็รู้สึกอารมณ์ดีขึ้นมาแล้ว
“ขอบคุณที่ใส่ใจกันนะ แล้วก็ขอบใจด้วยที่มาช่วยงาน”