หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา A World Worth Protecting – บทที่ 742 ถ้าไม่เล่นใหญ่ก็กลับบ้านไป!

บทที่ 742 ถ้าไม่เล่นใหญ่ก็กลับบ้านไป!

บทที่ 742 ถ้าไม่เล่นใหญ่ก็กลับบ้านไป!
ข้ามาแล้ว!

หวังเป่าเล่อกระแอมกระไอ ก่อนจะยืนขึ้นและหายตัวไปจากห้องลับแล้วมาโผล่อยู่บนท้องฟ้าในอีกชั่วอึดใจ จากนั้นก็พุ่งขึ้นมาอยู่ในชั้นบรรยากาศด้วยการก้าวเพียงก้าวเดียว เขาแปรสภาพกลายเป็นจั่วอี้เซียนอีกครา

การปลอมตัวไม่ค่อยมีผลเท่าใดนักในการปล้นครั้งที่แล้ว แต่หวังเป่าเล่อก็จดจำอัตชีวประวัติของเจ้าพนักงานระดับสูงได้ดี ชายหนุ่มจำได้ว่ามีประโยคหนึ่งสอนเรื่องการบ่มเพาะนิสัยที่ดีเพื่อเป็นการชดเชยให้กับข้อด้อยเรื่องบุคลิกภาพหรือความเคยตัวอื่นๆ

ยังมีอันตรายอีกมากในระบบดาวเคราะห์ดวงเนตรสวรรค์แห่งนี้ที่อาจเอาชีวิตข้าไปได้…การแปรสภาพเป็นควันเป็นการป้องกันตัวชั้นแรก หากถูกจับได้ ข้าก็จะยังมีหน้าตาเหมือนจั่วอี้เซียน ซึ่งเป็นการป้องกันตัวชั้นที่สอง

หวังเป่าเล่อยกมือขึ้นแตะหน้า พลางคิดว่าระวังตัวให้มากสักหน่อยคงไม่เสียหาย ตอนนี้เขาแปลงกายเป็นจั่วอี้เซียน จากนั้นจึงแปรสภาพเป็นควันสีดำอีกรอบ ก่อนจะเคลื่อนที่อย่างรวดเร็ว เพียงชั่วเสี้ยววินาทีก็มาปรากฏอยู่ที่ขอบบนของชั้นบรรยากาศ หวังเป่าเล่อซ่อนตัวอยู่ในตำแหน่งที่มิดชิด ชายหนุ่มจ้องมองออกไปในอวกาศและเฝ้าดูเรือบินรบลอยเข้าออกดวงดาวอยู่อย่างนั้น พร้อมปล่อยเจ้าลาออกมาด้วย

เพื่อเป็นการหยุดไม่ให้มันส่งเสียงร้อง หวังเป่าเล่อจึงโยนเศษเหล็กชิ้นหนึ่งที่เหลือจากเรือบินรบสำนักพันวิญญาณไปให้ ก่อนจะฉีกยิ้ม

“ไอ้ลูกชาย ขอเหมือนเดิมเลย!”

ลาดำกินเศษเหล็กหมดภายในไม่กี่คำ นัยน์ตาของมันส่องประกายกล้าขณะที่แลบลิ้นเลียริมฝีปาก ดูเหมือนเอร็ดอร่อยกับขนมและนึกถึงรสชาติของเศษเหล็กที่เพิ่งกินไปเมื่อเร็วๆ นี้ขึ้นมาได้ มันยกศีรษะขึ้นอย่างรื่นเริง และด้วยแรงผลักดันอยากกินอาหารจากภายใน เจ้าลาจึงจ้องไปที่บรรดาเรือบินรบที่ลอยผ่านหน้าอยู่ไปมา สายตาที่กำลังจับจ้องของมันนั้นเทียบเท่าได้กับสัมผัสสวรรค์ของผู้ฝึกตนที่แข็งแกร่งเลยทีเดียว

ช่างน่าเสียดายที่สมาชิกสำนักพันวิญญาณมีแต่พวกขี้ขลาด พวกเขาดันประกาศออกมาว่าจะงดการเดินทางข้ามอวกาศชั่วคราว ในเวลาเช่นนี้ ควรฉวยโอกาสวางกับดัก อัดเรือบินรบให้แน่นด้วยสมบัติเพื่อล่อให้ผู้ก่อการปรากฏตัวไม่ดีกว่าหรือ…หวังเป่าเล่อทอดถอนใจ ด้วยตำแหน่งผู้อาวุโสในสำนักเกลียวคลื่นสวรรค์ เขาจึงสามารถเข้าถึงข้อมูลการเคลื่อนไหวของสำนักพันวิญญาณได้ แม้ข้อมูลที่ได้รับมาจะไม่สมบูรณ์ แต่ก็เพียงพอ ชายหนุ่มรู้ว่ากงซุนโหวสั่งให้หยุดการเดินทางออกจากระบบดาวเคราะห์เป็นการชั่วคราวจนสิ้นปี

สำนักพันวิญญาณคิดสิ่งใดอยู่กันแน่ หวังเป่าเล่อโคลงศีรษะ ชายหนุ่มกำลังจะคิดไตร่ตรองให้ลึกลงไปถึงจุดมุ่งหมายอันแท้จริงของสำนักพันวิญญาณ แต่เจ้าลาก็ตัวสั่นขึ้นมาเสียก่อน มันหันมาส่งเสียงใส่หวังเป่าเล่อ

ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้น ก่อนจะหันศีรษะมองไปทางที่เจ้าลาชี้ นัยน์ตาของเขาเป็นประกายพลางเลียริมฝีปาก หลังจากนั้นพักใหญ่ หวังเป่าเล่อก็เก็บเจ้าลาไปและแปรสภาพเป็นควันสีดำจางหายไปในทันที

ไม่นานนักเรือบินรบของสำนักหลอมวารีที่เพิ่งจะกลับมาก็พุ่งเข้าสู่ชั้นบรรยากาศ เสียงครั่นครืนที่เกิดจากการเดินทางสะท้อนก้องไปในอากาศ…

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับสำนักพันวิญญาณส่งผลให้สำนักอื่นๆ ต่างพากันระแวดระวังอย่างหนัก พวกเขาตระเตรียมการเพื่อไม่ให้เหตุการณ์เช่นเดียวกันเกิดขึ้นกับตนเอง แต่สำนักพันวิญญาณก็ไม่ได้เปิดเผยรายละเอียดของการถูกปล้นทั้งหมด ยิ่งไปกว่านั้น สำนักอื่นๆ ก็คิดไปว่าต้นเหตุของการถูกปล้นคือการที่สำนักถูกปล่อยข้อมูล พวกเขาต่างพากันคิดว่าเป็นการทรยศหักหลังกันเองภายใน ยิ่งไปกว่านั้น ในระยะเวลาสองเดือนที่ผ่านมาก็ยังไม่มีเหตุการณ์เช่นเดียวกันนี้เกิดขึ้น ดังนั้นทุกคนจึงเริ่มผ่อนคลายลงบ้างแล้ว

ไม่นานนักผู้ฝึกตนสำนักหลอมวารีในเรือบินรบก็ได้ยินเสียงน่าสะพรึงกลัวที่ผู้ฝึกตนบนเรือบินรบสำนักพันวิญญาณได้ยินมาก่อนหน้านี้

“ทุกคนหยุด นี่คือการปล้น!”

ครึ่งชั่วโมงต่อมา เมื่อผู้อาวุโสสูงสุดของสำนักหลอมวารีรีบรุดนำคนของเขาไปยังหุบเขาห่างไกล พวกเขาก็ได้พบภาพเรือบินรบของสำนักที่เสียหายหนักและพุ่งชนหุบเขา บรรดาผู้ฝึกตนต่างก็โมโหเกรี้ยวกราดไปตามๆ กัน

เมื่อตรวจสอบก็พบว่า เรือบินรบเสียชิ้นส่วนไปกว่าครึ่ง แม้ว่าศิษย์บนเรือบินรบจะไม่ได้รับบาดเจ็บ แต่สมบัติที่ปล้นชิงมาก็ถูกขโมยไปทั้งหมด ผู้อาวุโสสูงสุดของสำนักหลอมวารีที่เป็นสตรีโกรธเสียจนแทบจะกระอักเลือดออกมา

“ตรวจสอบเรื่องนี้! จะตั้งค่าหัวก็ได้ข้าไม่สน ข้าต้องการให้หาเจ้าโจรชั่วให้พบ แล้วข้าจะฉีกมันเป็นชิ้นๆ ด้วยมือนี้ทีเดียว!”

เกิดความโกลาหลครั้งใหญ่ขึ้นในสำนักหลอมวารี พวกเขาเป็นหนึ่งในสำนักที่ทรงอิทธิพลที่สุดในแนวภูเขาที่ห้า ทั้งชื่อเสียงและพลังอำนาจเทียบเคียงได้กับสำนักพันวิญญาณ มีศิษย์ในสำนักหลายหมื่นคน ไม่นานข่าวการควานหาตัวผู้ที่ปล้นสำนักจนแทบพลิกแผ่นดินก็แพร่ออกไปอย่างรวดเร็ว

การปล้นสองครั้งเกิดขึ้นในระยะเวลาไม่กี่เดือน ข่าวการปล้นครั้งที่สองปะทุขึ้นในทันที ทุกสำนักต่างก็ตื่นตะลึงเมื่อได้ยิน!

การปล้นสำนักพันวิญญาณนั้นอาจถือได้ว่าเป็นเหตุที่เกิดขึ้นครั้งเดียว แต่ขณะนี้สำนักหลอมวารีก็ตกเป็นเหยื่อเช่นกัน ดังนั้นจึงไม่สามารถโทษเรื่องหนอนบ่อนไส้ในสำนักได้อีกต่อไป ดูเหมือนว่าจะมีนักโจรกรรมต่อเนื่องอยู่ที่นี่เสียแล้ว!

อาชญากรที่มีคำว่า “ต่อเนื่อง” ห้อยท้ายย่อมต้องสร้างความโกลาหลขึ้นอย่างแน่นอน หลายสำนักในดาวเอกระบบดาวเคราะห์ดวงเนตรสวรรค์จึงพากันระวังตัวแจทันที พวกเขารู้สึกถูกคุกคาม จึงเททรัพยากรทั้งหมดที่มีไปกับการปกป้องเรือบินรบของตน

ในขณะที่สำนักต่างๆ พากันแตกตื่น ศิษย์สำนักพันวิญญาณก็ต่างพากันหัวร่องอหาย โดยเฉพาะกงซุนโหวที่หัวเราะเสียงดังลั่นอยู่คนเดียว เขาไม่ได้ปล่อยข้อมูลการปล้นเรือบินรบของสำนักออกไปทั้งหมดเพื่อรักษาชื่อเสียงที่ยังเหลืออยู่เอาไว้ ทั้งยังย้อนรอยการปล้นอย่างละเอียดและพยายามจำลองมันขึ้นมาใหม่ด้วย ผลที่ได้คือกงซุนโหวตระหนักได้ว่ากำลังต่อกรกับคู่ต่อสู้ที่รับมือได้ยากยิ่ง และไม่คิดปล่อยข้อมูลนี้ออกไป ยิ่งไปกว่านั้น เขาเองก็เฝ้ารอที่จะ…ได้เห็นสำนักอื่นต้องอับอายเช่นเดียวกัน!

“พวกเขาเยาะเย้ยว่าพวกเราสำนักพันวิญญาณเป็นโจรสลัดจักรวาลที่ดันถูกปล้นเสียเองไม่ใช่หรือ สำนักหลอมวารีเองก็ดูจะมีความสุขไม่น้อยที่ได้ล้อเลียนพวกเรา แล้วตอนนี้เป็นอย่างไรเล่า”

สำนักพันวิญญาณยังคงล้อเลียนความสูญเสียของสำนักอื่นด้วยความปรีดิ์เปรม การสืบสวนของสำนักหลอมวารีดำเนินไปกว่าสองสัปดาห์ แต่ก็ไม่มีวี่แววเบาะแสแม้ว่าพวกเขาจะตั้งรางวัลเอาไว้สูงลิบก็ตาม เมื่อนั้นเอง การปล้นครั้งที่สามก็เกิดขึ้น ทำเอาบรรดาสำนักต่างๆ ตกตะลึงไปตามๆ กัน!

ครั้งนี้ เป้าหมายไม่ใช่สำนักจากแนวภูเขาที่ห้า แต่เป็นหลากหลายสำนักจากทั้งแนวภูเขาที่หก เจ็ด และแปด!

ภายในคืนเดียว ในชั่วระยะเวลาสองชั่วโมง เรือบินรบสิบเจ็ดลำของสำนักในแนวภูเขาที่หกถึงแปดถูกปล้น เป้าหมายของโจรมิใช่ทรัพยากรที่เรือบินรบเหล่านั้นมีอยู่แต่เป็นชิ้นส่วนของเรือบินรบ!

ความวุ่นวายเข้าปกคลุมดาวเอกแห่งระบบดาวเคราะห์ดวงเนตรสวรรค์ไปสิ้น ผู้อาวุโสสูงสุดของสำนักหลอมวารีตกตะลึงกับขนาดของการปล้นที่เกิดขึ้น หลังจากที่ใคร่ครวญอยู่พักใหญ่ นางก็ติดต่อไปยังกงซุนโหวซึ่งเป็นคู่แค้น ไม่มีใครรู้ว่าพวกเขาพูดคุยอะไรกัน แต่เพียงวันเดียวหลังจากการพูดคุยนั้น ทั้งสองสำนักใหญ่ก็ออกประกาศเชิญชวนให้สำนักจากแนวภูเขาที่ห้าถึงแปดมาเข้าร่วมการสืบสวนพร้อมๆ กัน พวกเขาให้คำมั่นจะหาตัวผู้ก่อการการปล้นชิงอย่างอุกอาจและหน้าไม่อายนี้ให้พบ!

การสืบสวนครั้งใหญ่เกิดขึ้นทั่วตั้งแต่แนวภูเขาที่ห้าถึงแปด ดูราวกับว่าเรื่องนี้จะยืดยาวออกไปไม่สิ้นสุด แม้จะมีความยุ่งเหยิงวุ่นวายเกิดขึ้นมากมาย แต่สามสำนักใหญ่ที่ตั้งอยู่ในบริเวณแนวภูเขาที่สองถึงสี่ก็ดูจะไม่อนาทรร้อนใจแต่อย่างใด ความแตกต่างด้านอำนาจของสำนักใหญ่ทั้งสามกับบรรดาสำนักที่เหลือนั้นมากมายเกินไป สำหรับพวกเขาแล้ว การมองดูความเดือดเนื้อร้อนใจนี้ก็ไม่ต่างจากการจ้องมองเด็กร้องไห้เพราะของเล่นหักพังแต่อย่างใด

การควานหาครั้งใหญ่ยังไม่ได้ผลตามที่บรรดาสำนักหมายมั่นเอาไว้ ในช่วงเวลานี้ เรือบินรบของสำนักในแนวภูเขาที่หกถึงแปดยังถูกปล้นต่อไป เจ้าหัวขโมยยิ่งย่ามใจ ขณะนี้มีคนเสียชีวิตจากเหตุการณ์ถูกปล้นแล้ว และไม่ใช่แค่ส่วนของเรือบินรบที่ถูกขโมยไป ตอนนี้กระทั่งเรือทั้งลำก็ยังหายไปสิ้น!

สิ่งนี้ทำให้เกิดความวุ่นวายครั้งใหญ่ มีเสียงเรียกร้องให้หาตัวคนผิดให้พบและประหารชีวิตดังมาจากทุกๆ สำนัก เมื่อได้ยินเรื่องที่เกิดขึ้น หวังเป่าเล่อเองก็โกรธมากเช่นกัน

ไอ้โจรใจทราม! ใครบังอาจใช้ข้าเป็นแพะรับบาปให้ความผิดบาปของพวกมันกัน หวังเป่าเล่อไม่สบอารมณ์เป็นอย่างยิ่ง การปล้นครั้งสุดท้ายที่เขาทำคือการปล้นเรือบินรบทั้งสิบเจ็ดลำ ทุกอย่างที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นไม่ใช่ฝีมือเขาแม้แต่น้อย เห็นได้ชัดว่า…คนๆ เดียวไม่มีทางขโมยเรือบินรบทั้งลำได้ มีเพียงสำนักเท่านั้นที่จะทำเช่นนั้นได้

แม้ว่าคนอื่นอาจจะเดาได้เช่นกัน แต่หวังเป่าเล่อก็แน่ใจว่ามีบางสำนักกำลังฉกฉวยโอกาสและพยายามหากำไรจากสถานการณ์ที่ยังไม่แน่นอนนี้

ชายหนุ่มไม่ได้ใส่ใจจะตามหาความจริงว่าสำนักใดกันที่ทำเรื่องเช่นนี้ ประกายเย็บเยียบฉายวาบขึ้นในแววตาของหวังเป่าเล่อเมื่อเขาผุดแผนหนึ่งขึ้นมาได้

ในเมื่อมีคนใจกล้าพอที่จะโยนความผิดให้ข้า แล้วคนผู้นั้นจะกล้าพอยอมรับผลที่ตามมาด้วยหรือไม่ หวังเป่าเล่อหรี่ตาลง ซ่อนแววตาเยียบเย็นเอาไว้ภายใน ชายหนุ่มพุ่งตัวออกจากห้องและใช้กระบวนท่าสารัตถะพุ่งตัวขึ้นฟ้าไปอย่างลับๆ การปล้นครั้งต่อไปของเขาจะเป็นการปล้นครั้งใหญ่ ชายหนุ่มยังขาดทรัพยากรชุดสุดท้ายอยู่ และเขาจะหยุดหลังจากการปล้นครั้งนี้สำเร็จลุล่วง

ยิ่งไปกว่านั้น หวังเป่าเล่ออยากให้เกิดความวุ่นวายขึ้น ชายหนุ่มต้องการให้สำนักชั้นสูงสังเกตเห็นเหตุการณ์และเข้ามามีส่วนร่วมด้วย

หวังเป่าเล่อมีความสามารถพอที่จะทำตามแผนที่วางไว้ให้สำเร็จลุล่วง และเขาก็กล้าพอที่จะทำอีกด้วย ชายหนุ่มมีกระบวนท่าสารัตถะที่จะช่วยเขาพรางตัว จึงไม่จำเป็นต้องกลัวการสืบสวนใดๆ แต่สำนักที่คิดจะใช้เขาเป็นแพะรับบาปนั้น…ควรกลัว เพราะทันทีที่พวกเขาถูกเปิดโปงว่ามีส่วนในการปล้น ความเกรี้ยวกราดของสำนักชั้นสูงและสำนักอื่นๆ ที่โดนปล้นจะต้องพุ่งเข้าใส่คนเหล่านั้นราวกับเป็นกำปั้นเหล็ก พวกเขาจะแก้ต่างว่าเคยทำเพียงครั้งเดียวก็ย่อมได้ แต่คงไม่มีใครเลือกที่จะเชื่อ

เพราะ…แม้การหาตัวคนร้ายจะเป็นเรื่องสำคัญ แต่ในความเป็นจริงแล้ว มันก็ไม่ได้สลักสำคัญถึงเพียงนั้น สิ่งเดียวที่สำคัญในโลกซึ่งให้ค่าผลกำไรมากกว่าสิ่งอื่นใดทั้งหมด และวางรากฐานการพัฒนาอารยธรรมของตนด้วยการรุกรานรวมถึงปล้นชิงอารยธรรมอื่นๆ คือการหาตัวคนที่จะชดเชยให้พวกเขามากกว่าสิ่งที่พวกเขาสูญเสียไปชนิดทบทวีคูณ ซึ่งเท่านี้ก็เพียงพอแล้ว

ดังนั้นเมื่อเวลามาถึง ต่อให้ใครสักคนมองแผนของหวังเป่าเล่อออก ก็คงเลือกที่จะนิ่งเฉยเสีย

“เราจะได้เห็นกันว่าใครกันแน่ที่จะเป็นแพะรับบาปตัวสุดท้าย” หวังเป่าเล่อยิ้มเยาะก่อนจะแปรสภาพเป็นหมอกควันและเร่งความเร็วจากไป

……………………………

หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา A World Worth Protecting

หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา A World Worth Protecting

Status: Ongoing

เรื่อง : หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา (三寸人间)ผู้เขียน : เอ่อร์เกิน (耳根) ผู้แปล : Thunderbird Translators ค.ศ. 3029 วิทยาการบนโลกมนุษย์พัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว จนแต่ละประเทศไม่มีเขตพรมแดนกั้นอีกต่อไป โลกได้ผสานรวมกลายเป็นหนึ่งเดียว เริ่มต้นยุคสมัยแห่งสหพันธรัฐ ตอนนั้นเอง กระบี่ยักษ์เล่มหนึ่งตกลงมาจากห้วงอวกาศ ปักเข้าใจกลาง ดวงอาทิตย์ ฝักกระบี่แตกออกเป็นเศษชิ้นส่วนจำนวนมาก กระจัดกระจายไปทั่ว ทั้งจักรวาลรวมถึงบนโลก และก่อให้เกิดแหล่งพลังงานรูปแบบใหม่อันไร้ขีดจำกัด พลังงานนี้มีชื่อเรียกกันว่า ปราณวิญญาณ ‘หวังเป่าเล่อ’ หนุ่มร่างท้วมผู้ทะเยอทะยาน ใฝ่ฝันจะได้เป็นผู้นำสหพันธรัฐ ด้วยหวังว่าจะไม่มีใครมารังแกเขาได้อีกต่อไป และเมื่อเดินทางเข้ามาศึกษาใน สำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ เขาก็ใช้ความรู้เหล่านั้นบวกกับความหน้าหนาหน้าทน ของตัวเอง วางกลยุทธ์อันฉลาดล้ำกำราบศัตรูคนแล้วคนเล่า ใครหน้าไหนก็ไม่อาจมาขัดขวางเส้นทางสู่การเป็นหนึ่งในใต้หล้าของชายอ้วนผู้นี้ได้ เว้นเสียแต่คำสาปประจำตระกูล ที่บอกไว้ว่าหวังเป่าเล่อจะต้องตาย หากเขาไม่ผอมลงก่อนอายุสามสิบปี ในเมื่อบรรพบุรุษร่างจ้ำม่ำมายืนรอให้เขาไปอยู่ด้วยขนาดนี้ ชายหนุ่มจึงต้องทั้งฝึกตนและลดน้ำหนักไปพร้อมๆ กัน!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท