หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา A World Worth Protecting – บทที่ 741 ขโมยปลาในน้ำขุ่น!

บทที่ 741 ขโมยปลาในน้ำขุ่น!

บทที่ 741 ขโมยปลาในน้ำขุ่น!
เรือบินรบลำสูญเสียแหล่งพลังงานไปและร่วงลงมาจากชั้นบรรยากาศของดวงดาว มันพุ่งตรงสู่พื้นดินกำลังจะพุ่งเข้าชนทิวเขา กงซุนโหว ผู้อาวุโสสูงสุดของสำนักพันวิญญาณ กำลังติดตามเรือบินรบลำนี้มาอย่างขะมักเขม้น เขามุ่งหน้าออกไปยังชั้นบรรยากาศรอบนอก โดยอาศัยกระบวนเวทสายฟ้าของตนในการติดตามตำแหน่งของเรือบินรบ วินาทีนั้นเองนัยน์ตาของชายร่างสูงใหญ่ก็กระตุก

คุณสมบัติเฉพาะตัวของชั้นบรรยากาศบนดาวดวงนี้ทำให้กงซุนโหวไม่อาจเจาะจงตำแหน่งของเรือบินรบได้ เขารู้เพียงตำแหน่งคร่าวๆ ของมันเท่านั้น แต่เมื่อเรือบินรบร่วงลงมาจากชั้นบรรยากาศ เขาก็สามารถสัมผัสถึงตำแหน่งของมันได้ในทันที กงซุนโหวพุ่งตัวออกมาจากชั้นบรรยากาศและเคลื่อนย้ายตำแหน่งของตนโดยไม่รอช้า

เรือบินรบสำนักพันวิญญาณอยู่ตรงหน้าเมื่อกงซุนโหวปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง มันกำลังพุ่งลงไปสู่ดิน เสียงแหลมสูงหวีดแทงอยู่ในอากาศ ฟังดูคล้ายเสียงสายลมแปรปรวนที่อยู่รอบกายเขา

“ไม่นะ!”

ใบหน้าของกงซุนโหวซีดเผือด ไม่มีเวลาคิดไตร่ตรองแล้ว เขาปล่อยพลังปราณออกมาเต็มที่ขณะพุ่งตรงไปหาเรือบินรบ เพื่อจะหยุดการชนให้ได้!

แม้ว่าสำนักพันวิญญาณจะร่ำรวยกว่าสำนักเกลียวคลื่นสวรรค์หลายเท่าตัว แต่ก็มีเรือบินรบเพียงสามลำเท่านั้นที่สามารถเดินทางข้ามจักรวาลได้ การที่ลำใดลำหนึ่งถูกทำลายไปย่อมเป็นความเสียหายใหญ่หลวงต่อสำนัก

ด้วยเหตุนี้กงซุนโหวจึงต้องเร่งความเร็วจนสุด เขามาปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าเรือบินรบที่กำลังจะตกถึงพื้น จากนั้นจึงยกมือทั้งสองขึ้นก่อนจะประกบฝ่ามือทั้งคู่ลงบนเรือบินรบ บุรุษร่างสูงใหญ่ผู้นี้พยายามจะหยุดเรือบินรบไม่ให้ตกถึงพื้นด้วยพลังปราณของตนเอง

เสียงสายฟ้าดังสนั่นเลื่อนลั่นอยู่ในอากาศ ใบหน้าของกงซุนโหวซีดขาว เส้นเลือดบนแขนเกร็งแข็งปูด ส่วนเส้นเลือดบนใบหน้าก็ผุดขึ้นมาเห็นได้ชัดเจน เขาปลดปล่อยพลังปราณออกมาอย่างต่อเนื่องขณะที่ถูกน้ำหนักของเรือบินรบกดทับให้ถอยหลังลงมาเรื่อยๆ ในที่สุดเท้าของกงซุนโหวก็สัมผัสพื้น ทำเอาแผ่นดินเลื่อนลั่นและแตกออกจากกัน รอยแยกนั้นเริ่มจากตรงที่กงซุนโหวลงมาลากยาวออกไปร่วมหลายพันเมตร ไม่นานนัก แผ่นดินก็ทนรับแรงกดดันจากกงซุนโหวไม่ไหวจนยุบลงไปตรงใต้เท้าเขา

ผู้อาวุโสสูงสุดส่งเสียงคำรามเมื่อน้ำหนักที่ตัวเขารับเอาไว้เริ่มคลายลง ในที่สุดเขาก็สามารถควบคุมเรือบินรบเอาไว้ได้ด้วยพลังปราณอันแข็งแกร่ง กงซุนโหวค่อยๆ วางเรือบินรบไว้ข้างกาย ก่อนจะใช้สัมผัสสวรรค์ตรวจสอบความเสียหายทั้งๆ ที่ยังหอบหายใจอยู่ แม้ว่าจะทำใจมาบ้างแล้วว่าจะได้เห็นสิ่งใด แต่เมื่อได้มาเห็นจริงๆ ตัวของกงซุนโหวก็ยังสั่นเทิ้มด้วยแรงโทสะ

ด้านในของเรือบินรบพังเละเทะ เห็นได้ชัดว่ามีชิ้นส่วนหายไปมากมาย และมีบางส่วนที่หายไปอย่างไร้ร่องรอย ส่วนที่หายไปนั้นเป็นส่วนที่มีราคาแพงที่สุดของเรือบินรบทั้งสิ้น มีกระทั่งรอยกัดอยู่บนส่วนที่เหลืออยู่ ภาพนั้นทำเอากงซุนโหวปวดใจเป็นอย่างยิ่ง

สำนักภายใต้การนำของเขาบดขยี้อารยธรรมมานับไม่ถ้วน แถมยังคร่าชีวิตสรรพสิ่งไปมากมาย เขาใช้ทรัพยากรที่ปล้มสะดมและสะสมมานานนับปีอย่างจำกัดจำเขี่ย จนกระทั่งสำนักสามารถสร้างเรือบินรบขึ้นมาได้สามลำ มาบัดนี้…หนึ่งในเรือบินรบล้ำค่าของเขากลับถูกรื้อแยกชิ้นส่วนอย่างน่าสะพรึง กงซุนโหวรู้สึกหายใจติดขัด โดยเฉพาะ…เมื่อคิดว่าศิลาดารามายาล้ำค่าถูกขโมยไปจนสิ้น ความเจ็บปวดที่รู้สึกอยู่ตอนนี้ละม้ายคล้ายกับการถูกฉีกร่าง พลังปราณหมุนวนอย่างบ้าคลั่งอยู่ในอก ใบหน้าของกงซุนโหวเกรี้ยวกราดสุดประมาณ ก่อนที่จะเงยหน้าขึ้นมองฟ้าและคำรามลั่นออกมา

“ข้าไม่สนใจว่าเจ้าเป็นใคร สำนักพันวิญญาณจะตามหาเจ้าจนพบ เราจะป่นกระดูกเจ้าให้เป็นผงและทำลายทั้งร่างกายและวิญญาณของเจ้าให้สูญสิ้น!”

น้ำเสียงของเขาสะท้อนก้องถึงชั้นบรรยากาศจนไปเข้าหูหวังเป่าเล่อ ผู้ที่ยังไปได้ไม่ไกลนัก

มีแต่เจ้าคนเดียวหรืออย่างไรที่ปล้นอารยธรรมอื่นได้ คนอื่นปล้นเจ้าบ้างไม่ได้หรือ หวังเป่าเล่อจ้องเขม็งและหยุดนิ่งอยู่กับที่ ชายหนุ่มกำลังชั่งใจว่าควรจะกลับไปสอนมารยาทให้เจ้าผู้ฝึกตนคนนี้สักหน่อยดีหรือไม่ จากนั้นจึงคิดถึงผลที่จะตามมาหากเขาทำเช่นนั้น ผลกระทบของมันอาจทำให้ยากต่อการวางแผนปล้นครั้งที่สอง เขาจึงทำเพียงพ่นลมออกจากจมูกและตัดสินใจเมินคำขู่ของผู้ฝึกตนคนนั้นเสีย ก่อนจะหันหลังมุ่งหน้ากลับไปยังสำนักเกลียวคลื่นสวรรค์

หวังเป่าเล่อแอบย่องเข้าไปให้เขตหวงห้ามเมื่อกลับมาถึง ชายหนุ่มกลับไปยังห้องนอน นั่งลง และเริ่มสำรวจดูสมบัติที่เก็บมาได้ ยิ่งเห็นข้าวของเยอะเท่าใดดวงตาของเขาเป็นประกายกล้ามากขึ้นเท่านั้น

ม้าจะอ้วนได้หากได้ลอบเล็มหญ้าอย่างลับๆ ในยามค่ำคืน ภาษิตนั้นจริงอยู่ไม่น้อย ของที่ข้าได้มาในคืนนี้มากพอๆ กับที่สำนักเกลียวคลื่นสวรรค์ประมูลไปในคราวที่แล้วเลย!

หวังเป่าเล่อเริ่มการหลอมเรือบินรบของตนเองด้วยความรื่นเริงใจยิ่ง ชายหนุ่มมีทรัพยากรมากเพียงพอแล้วในตอนนี้ ในช่วงหลายวันต่อมา หวังเป่าเล่อจึงจมจ่อมอยู่กับการหลอมชิ้นส่วนต่างๆ ให้เรือบินรบของตนเอง โดยไม่ได้สนใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นในโลกภายนอกสักเท่าใดนัก

ชายหนุ่มยังวิตกกังวลกับผลพวงจากการปล้นของเขาอยู่บ้าง แต่ถึงกระนั้น เขาก็ยังเชื่อว่าตนได้จัดการเรื่องนี้อย่างรอบคอบที่สุดแล้ว แม้ว่าจะไม่ได้เชี่ยวชาญการปล้นการนัก แต่หวังเป่าเล่อก็รู้ดีว่าสำนักมองเรื่องการปล้นกับการปล้นฆ่าต่างกันอย่างสิ้นเชิง สิ่งแรกเป็นเพียงการเสียทรัพย์ แม้จะเจ็บปวดแต่ก็มีเพียงชื่อเสียงของสำนักเท่านั้นที่เสียหาย แต่อย่างหลังนั้นเท่ากับเป็นการประกาศสงครามก็ว่าได้

คนนอกก็คงจะมองคล้ายๆ กัน ระดับความอาฆาตมาดร้ายน่าจะแตกต่างกันอย่างชัดเจน หากใครสักคนได้ยินว่าเพื่อนบ้านถูกปล้นชิงสิ่งมีค่าไป พวกเขาก็คงจะระมัดระวังตัวมากขึ้น แต่กลับกัน หากได้ยินว่าเพื่อนบ้านถูกสังหาร ปฏิกิริยาของพวกเขาก็คงไม่ได้มีเพียงการเพิ่มความระมัดระวังตัวแน่นอน

ผลพวงการปล้นของหวังเป่าเล่อเป็นไปตามที่ชายหนุ่มได้คาดการณ์ไว้ แทบเป็นไปไม่ได้เลยที่จะปกปิดว่าเรือบินรบของสำนักพันวิญญาณถูกปล้น ยิ่งไปกว่านั้นสำนักก็มีศัตรูอยู่หลายกลุ่ม ไม่นานนักเรื่องการปล้นเรือบินรบก็เป็นที่พูดถึงไปทั่วดาว ข่าวแพร่ไปไวไม่ต่างจากไฟลามทุ่ง

ทุกสำนักไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่ต่างก็พูดถึงเรื่องนี้ กระทั่งบรรดาศิษย์ในสำนักเกลียวคลื่นสวรรค์ก็ยังพูดคุยกัน พวกเขาเลือกใช้ถ้อยคำกันอย่างระมัดระวัง แต่ก็ยังไม่วายมีน้ำเสียงเยาะเย้ยความสูญเสียของผู้อื่น

“เจ้าได้ยินข่าวหรือยัง เรือบินรบของสำนักพันวิญญาณที่ขนขุมทรัพย์กลับมาเพียบถูกปล้น ไม่เพียงแต่ของที่ถูกขโมยเท่านั้น ชิ้นส่วนเรือบินรบจำนวนมากยังถูกแยกออกไปด้วย!”

“เรื่องเช่นนี้ไม่ได้เกิดขึ้นมาหลายปีแล้วนา…”

“สำนักพันวิญญาณหยิ่งยโสเหลือเกิน ใครจะไปคิดว่าจะเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นกับพวกเขา ฮะฮ่า ข้าไปถามข่าวมาแล้ว ได้ยินมาว่าพวกเขาทำลายอารยธรรมเล็กๆ หนึ่งลงและชิงศิลาดารามายามาได้เป็นภูเขาเชียว พวกเขาลงแรงไปหนักมาก แต่สุดท้ายก็มีคนชุบมือเปิบเอาศิลาไปเสียง่ายๆ!”

หวังเป่าเล่ออาจกำลังมุ่งมั่นกับการหลอมเรือบินรบของตน แต่ก็ยังออกไปข้างนอกบ้างและยังทำหน้าที่ซ่อมแซมเรือบินรบของสำนักเกลียวคลื่นสวรรค์อยู่ เขาได้ยินการพูดคุยของบรรดาศิษย์อยู่เนืองๆ แล้วก็มักจะขมวดคิ้วตอบอยู่เสมอ

“สำนักพันวิญญาณอยู่ในกลุ่มสำนักแนวภูเขาที่ห้า แม้ว่าพวกเราจะไม่สามารถยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือพวกเขาที่ถูกปล้นได้ แต่ก็ควรจะต้องระมัดระวังและพูดถึงการปล้นครั้งนี้ภายในอาณาเขตของสำนักของเราเท่านั้น เราต้องพูดจาอย่างระมัดระวังเมื่ออยู่ภายนอก ในเวลาเดียวกัน เราก็ต้องระมัดระวังตัวให้มากขึ้นเพื่อจะได้ไม่ประสบเหตุเช่นเดียวกันนี้!”

หวังเป่าเล่อมีสีหน้าเคร่งขรึมขณะที่พูดอย่างจริงจัง บรรดาศิษย์ที่คุยเรื่องนี้อยู่แอบตัวสั่นอยู่เบาๆ พวกเขาหลุบศีรษะลงต่ำก่อนจะพึมพำเห็นด้วย ผู้อาวุโสสูงสุดก็เห็นด้วยกับสิ่งที่หวังเป่าเล่อพูดเช่นกัน อันที่จริงแล้ว เขาถึงกับเรียกรวมบรรดาผู้อาวุโสทั้งเจ็ดเพื่อพูดคุยปรึกษาเรื่องนี้กันอย่างละเอียด

“ผู้อาวุโสสูงสุด ข้าน้อยมีเรื่องอยากจะเสนอ พวกเราควรไถ่ถามสำนักพันวิญญาณว่าพวกเขาต้องการความช่วยเหลือในการตามหาตัวผู้ก่อการหรือไม่ ไม่สำคัญว่าเราจะเต็มใจช่วยจริงๆ หรือเพียงพูดไปอย่างนั้นเอง เพราะมันอาจช่วยป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์เช่นเดียวกันนี้ขึ้นกับสำนักเกลียวคลื่นสวรรค์ของเราในภายภาคหน้าได้” หวังเป่าเล่อกระแอมกระไอก่อนจะพูดออกมาอย่างขึงขังระหว่างการประชุม ราวกับว่าชายหนุ่มเป็นห่วงสำนักเกลียวคลื่นสวรรค์อย่างแท้จริง

ผู้อาวุโสสูงสุดยิ้มพลางบอกปัดข้อเสนอของหวังเป่าเล่อ

“ข้าติดต่อสหายเต๋ากงซุนทันทีที่ได้ยินข่าว แต่กงซุนโหวดูเหมือนจะสงสัยทุกคนในตอนนี้ เขาจึงปฏิเสธความช่วยเหลือของข้า”

“เราจะโทษเขาก็ไม่ได้ เป็นเรื่องที่ค่อนข้างอับอายอยู่พอสมควร…โจรสลัดจักรวาลที่ควรเป็นผู้ปล้น ตอนนี้กลับถูกปล้นเสียเอง” ผู้อาวุโสอีกคนยิ้มอ่อนขณะกล่าว

“เป็นไปได้สูงว่ามีใครบางคนในสำนักนั้นลอบปล่อยข้อมูลเรื่องเรือบินรบที่กำลังจะกลับมา มีเรือบินรบจำนวนมหาศาลเดินทางกลับมายังดาวบ้านเกิดทุกๆ วัน อธิบายไม่ได้เลยว่าทำไมเรือบินรบของพวกเขาจึงตกเป็นเป้า” หวังเป่าเล่อพยักหน้าก่อนจะวิเคราะห์สถานการณ์ที่ฟังดูฉลาดเฉลียว

ความคิดเห็นของหวังเป่าเล่อไปพ้องกับสิ่งที่สำนักอื่นๆ คาดเอาไว้เช่นกัน นานมากแล้วที่เกิดการปล้นเรือบินรบขึ้นในดาวเคราะห์ดวงเนตรสวรรค์ อีกทั้งเป้าหมายนั้นยังเฉพาะเจาะจงเป็นอย่างยิ่ง ราวกับผู้ก่อเหตุรู้ว่าเรือบินรบลำนั้นมีของมีค่าอยู่มากที่สุดก็ไม่ปาน

เรื่องน่าขบขันที่โจรสลัดจักรวาลถูกปล้นกลายมาเป็นเรื่องชวนหัวในบรรดาสำนักที่เป็นศัตรูกับสำนักพันวิญญาณ โดยเฉพาะสำนักหลอมวารี ซึ่งพยายามเป็นอย่างยิ่งที่จะโหมไฟให้เรื่องนี้ลุกลามขึ้นไปอีก

หลังจากนั้นสำนักพันวิญญาณก็กลายมาเป็นสำนักที่น่าอดสูที่สุด พวกเขาเสียของที่ลงแรงปล้นมาอย่างยากลำบาก เรือบินรบก็ถูกแยกชิ้นส่วน แถมยังต้องอดทนกับการถูกล้อเลียนจากสำนักเช่นสำนักหลอมวารีอีกด้วย ยิ่งไปกว่านั้น ไม่ว่าพวกเขาจะสืบสวนอย่างหนักเพียงใด ก็ไม่พบร่องรอยหลักฐานที่อธิบายการปล้นหรือชี้ตัวผู้ก่อการได้แม้แต่น้อย ด้วยโทสะอันแรงกล้า กงซุนโหวถึงกับสอบปากคำพี่น้องในสำนักของตนเอง ทว่าสุดท้ายก็ไร้ผล…

กงซุนโหวรำคาญใจเป็นอย่างยิ่ง เขาสงสัยว่าสำนักหลอมวารีจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับการปล้นในครั้งนี้ แต่ก็ไม่มีหลักฐานมายืนยันข้อสงสัย สุดท้ายเขาจึงเตรียมที่จะสืบสวนอย่างลับๆ เรื่องนี้ดูราวกับว่าไม่มีทางจะสิ้นสุดลงไปได้ หนึ่งเดือนผ่านไป หวังเป่าเล่อซึ่งนั่งอยู่ภายในห้องของตนก็ผงกศีรษะขึ้นมาอย่างฉับพลัน นัยน์ตาของชายหนุ่มส่องประกาย เขาเลียริมฝีปาก

ข้าใช้วัตถุดิบหมดเกลี้ยงแล้ว…

หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา A World Worth Protecting

หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา A World Worth Protecting

Status: Ongoing

เรื่อง : หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา (三寸人间)ผู้เขียน : เอ่อร์เกิน (耳根) ผู้แปล : Thunderbird Translators ค.ศ. 3029 วิทยาการบนโลกมนุษย์พัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว จนแต่ละประเทศไม่มีเขตพรมแดนกั้นอีกต่อไป โลกได้ผสานรวมกลายเป็นหนึ่งเดียว เริ่มต้นยุคสมัยแห่งสหพันธรัฐ ตอนนั้นเอง กระบี่ยักษ์เล่มหนึ่งตกลงมาจากห้วงอวกาศ ปักเข้าใจกลาง ดวงอาทิตย์ ฝักกระบี่แตกออกเป็นเศษชิ้นส่วนจำนวนมาก กระจัดกระจายไปทั่ว ทั้งจักรวาลรวมถึงบนโลก และก่อให้เกิดแหล่งพลังงานรูปแบบใหม่อันไร้ขีดจำกัด พลังงานนี้มีชื่อเรียกกันว่า ปราณวิญญาณ ‘หวังเป่าเล่อ’ หนุ่มร่างท้วมผู้ทะเยอทะยาน ใฝ่ฝันจะได้เป็นผู้นำสหพันธรัฐ ด้วยหวังว่าจะไม่มีใครมารังแกเขาได้อีกต่อไป และเมื่อเดินทางเข้ามาศึกษาใน สำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ เขาก็ใช้ความรู้เหล่านั้นบวกกับความหน้าหนาหน้าทน ของตัวเอง วางกลยุทธ์อันฉลาดล้ำกำราบศัตรูคนแล้วคนเล่า ใครหน้าไหนก็ไม่อาจมาขัดขวางเส้นทางสู่การเป็นหนึ่งในใต้หล้าของชายอ้วนผู้นี้ได้ เว้นเสียแต่คำสาปประจำตระกูล ที่บอกไว้ว่าหวังเป่าเล่อจะต้องตาย หากเขาไม่ผอมลงก่อนอายุสามสิบปี ในเมื่อบรรพบุรุษร่างจ้ำม่ำมายืนรอให้เขาไปอยู่ด้วยขนาดนี้ ชายหนุ่มจึงต้องทั้งฝึกตนและลดน้ำหนักไปพร้อมๆ กัน!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท