ใต้หน้ากากซูเปอร์สตาร์ – ภาค 2 เล่ม 2 ตอนที่ 4-11

ภาค 2 เล่ม 2 ตอนที่ 4-11

“ครับ?”

“ชื่อของเจ้านี่ไงครับ ปีเตอร์”

นี่เป็นชื่อภาษาอังกฤษของอินซอบ แม้จะไม่เคยลองเรียกเลยสักครั้ง แต่ก็ไม่มีทางที่อีอูยอนจะไม่รู้

“ตั้งแต่วันนี้ไปนายมาอยู่กันฉันนะปีเตอร์”

อินซอบมองลายบนพื้นของลิฟต์อย่างตั้งใจ เพราะเขาไม่รู้ว่าจะเอาตาไปวางไว้ตรงไหน

“ว่าไงครับ คิดว่าปีเตอร์อยากอยู่กับผมหรือเปล่าครับ”

อีอูยอนเอาตุ๊กตาหมีมาวางตรงหน้าอินซอบก่อนจะยิ้มอย่างอ่อนโยน

“ปะ ปีเตอร์เองก็…”

อินซอบจะพูดแทนตุ๊กตา แต่หน้ากลับเห่อร้อนขึ้นมา เพราะรู้สึกเหมือนว่าเขากำลังใช้สรรพนามบุรุษที่สามเรียกแทนตัวเอง

“ต้องอยู่อย่างสุขสบายที่บ้านของคุณอีอูยอนแน่นอนครับ”

อินซอบรีบพูดต่อว่าเจ้าหมีปีเตอร์น่ะครับขณะที่ยังก้มหน้าอยู่ ความเย็นชาปรากฏในดวงตาของอีอูยอนที่กำลังยิ้มวูบหนึ่ง

จากนั้นเขาก็โพล่งถามขึ้นมา

“คุณอินซอบจำที่บอกกับผมว่าผมต้องได้รางวัลได้ไหมครับ”

“ผมน่ะเหรอครับ”

“วันที่ดื่มเหล้าด้วยกันคราวก่อน คุณร้องไห้เอะอะโวยวายและขู่ผมว่าผมต้องได้รางวัลให้ได้ไงครับ”

“ผมน่ะเหรอครับ?!”

อินซอบหน้าซีด เขาจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าตัวเองก่อเรื่องแย่ๆ แบบไหนเอาไว้ และไม่สามารถโต้แย้งคำพูดของอีอูยอนได้เลย

“ถ้าผมไม่ได้รางวัลคุณจะอายและเสียใจไหมครับ ถึงขนาดร้องไห้เลยหรือเปล่า”

“มะ ไม่ครับ ผมไม่เป็นแบบนั้นแน่นอนครับ”

“งั้นผมควรได้รางวัลหรือเปล่าครับ”

“ต่อให้ไม่ได้ผมก็ไม่สนใจหรอกครับ เพราะคุณอีอูยอนเป็นนักแสดงที่ยอดเยี่ยมอยู่แล้ว มันไม่ได้ขึ้นอยู่กับรางวัลเลย”

“งั้นผมควรจะรับในสิ่งที่เขาให้หรือเปล่าครับ”

อีอูยอนถามคำถามเดิมซ้ำ

“…ถ้าเขาให้ก็รับเถอะครับ”

อินซอบตอบด้วยน้ำเสียงบางเบา ตอนนั้นเองประตูของลิฟต์ที่เคลื่อนมาถึงชั้นใต้ดินชั้นสี่ก็เปิดออก

“ถ้าผมได้รางวัล คุณจะทำอะไรให้ผมเหรอครับ”

อีอูยอนเอ่ยถามด้วยตาเป็นประกายเหมือนเด็กที่รอคำชมจากพ่อแม่ อินซอบครุ่นคิดอย่างจริงจังก่อนจะเปิดปากพูด

“ถ้าคุณบอก ผมจะทำให้ทุกอย่างเลยครับ”

“คุณรู้นี่ครับว่าผมอยากได้อะไร”

“ผมจะทำให้ทุกอย่างจริงๆ ครับ ถ้าผมทำได้ ทุกอย่างเลย”

อีอูยอนทำตาหยี

“ได้ครับ ผมจะเอาถ้วยรางวัลมาขอคุณแต่งงานให้ได้ อย่ากลับคำพูดนะครับ เพราะปีเตอร์เป็นพยานอยู่”

“…ฮ่าๆ”

อินซอบหัวเราะเขินๆ ให้กับคำพูดล้อเล่นนั้น จู่ๆ อีอูยอนที่อุ้มตุ๊กตาหมีและเดินอยู่ข้างหน้าก็หัวเราะออกมา

“หัวเราะทำไมครับ”

“ผมคิดถึงเรื่องเมื่อกี้น่ะครับ ดาราในบริษัทของเรา”

“ขอโทษครับ พอดีผมไม่เคยเล่นอะไรแบบนั้น”

อินซอบคิดว่าวันนี้เขาต้องกลับบ้านไปศึกษาเกี่ยวกับกลอนสามประโยคสักหน่อย

“เพราะอย่างนั้นผมเลยแย่งของรักของหวงที่สำคัญของผมกลับมาได้อีกครับไงครับ”

อีอูยอนกอดของรักของหวงที่ไม่เคยสำคัญไว้ในอ้อมกอดราวกับว่ามันสำคัญมาก

“พอเป็นแบบนี้แล้วดูเหมือนคู่รักธรรมดาเลยนะครับ”

“ใครเหรอครับ”

อีอูยอนชี้อินซอบสลับกับตัวเอง

อินซอบไม่กล้าแม้แต่จะถามว่า ที่ไหน อย่างไร และทำไมถึงมองดูเป็นแบบนั้น

“ก็ปกติแล้วพวกแฟนหนุ่มเขาให้ของขวัญแบบนี้กันเยอะแยะไปนี่ครับ ของที่ใหญ่อย่างเดียวแต่ไม่มีประโยชน์”

“…ให้ผมเอากลับไปเหมือนเดิมไหมครับ”

อินซอบยื่นมือออกไปอย่างระมัดระวัง แต่อีอูยอนไม่แม้แต่จะทำเป็นได้ยินด้วยซ้ำ

“ดีนะครับ ของธรรมดาเนี่ย”

อีอูยอนเป็นคนที่ห่างไกลจากคำว่าธรรมดา ไม่มีอะไรที่ไม่โดดเด่นเลยสักอย่างไม่ว่าจะเป็นรูปร่างหน้าตา น้ำเสียง และอาชีพการงาน อย่าว่าแต่ธรรมดาเลย อีอูยอนที่หนีบตุ๊กตาหมีไว้ที่สีข้างตอนนี้เหมือนหลุดออกมาจากนิตยสารด้วยซ้ำ

แต่ตัวเขาที่ยืนอยู่ข้างๆ อีกฝ่ายกลับ…

อินซอบมองภาพของตัวเองที่สะท้อนอยู่ในประตูกระจก และหลุบตามองด้านล่างด้วยความเศร้า

“จะไปที่ไหนดีครับ”

อีอูยอนเปิดประตูกระจกพลางเอ่ยถาม

“ผมบอกให้คิดไว้ไงครับ เมื่อวานน่ะ”

“…”

อินซอบลืมไปเสียสนิท เขามัวแต่คิดเรื่องที่อีอูยอนโกหกเขาจนไม่ได้คิดถึงเรื่องอาหารเย็นเลย

อีอูยอนเข้าใจความงงงวยที่ปรากฏบนใบหน้าของอินซอบและหัวเราะอย่างขมขื่น

“…คังอูไปก่อนแล้วเหรอครับ”

อินซอบหันไปมองรอบๆ พลางเอ่ยถาม ทันทีที่การทักทายบนเวทีจบลง เขาก็ไม่เห็นตัวคิมคังอูเลย เขาคิดว่าอีกฝ่ายคงจะลงไปก่อน และเอารถไปรออยู่ในที่ที่เคลื่อนตัวออกไปได้ง่าย

“เป็นเดทนะครับ จะไปกันสามคนเหรอ”

พออีอูยอนหยิบสมาร์ทคีย์ออกมากดปุ่ม ไฟหน้าของรถยนต์ก็กะพริบจากที่ที่ไม่ไกลมากนัก ตอนนี้อินซอบรู้ถึงเหตุผลที่อีอูยอนไม่ใช้รถตู้ แต่ขับรถของตัวเองมาที่นี่แล้ว

อีอูยอนเปิดประตูด้านหลังรถ และยัดตุ๊กตาหมีเข้าไป จากนั้นเขาก็เปิดประตูฝั่งที่นั่งข้างคนขับให้อินซอบ อินซอบมองไปรอบๆ เขาลังเลอยู่พักหนึ่งก่อนจะขึ้นไปนั่งบนที่นั่งข้างคนขับ หลังจากขึ้นมานั่งตรงที่นั่งคนขับแล้ว อีอูยอนก็เอ่ยถามระหว่างที่ดึงเข็มขัดนิรภัยลงมา

“มีของที่อยากกินหรือเปล่าครับ”

“ผมกินอะไรก็ได้ครับ”

“ไปกินปลาหมึกผัดที่ไม่ได้กินมานานแล้วกันไหมครับ”

“…”

ข้อเสนอของอีอูยอนทำให้ใบหน้าของอินซอบซีดเผือด เขานึกถึงฝันร้ายก่อนหน้านี้ขึ้นมา

“ล้อเล่นครับ”

อีอูยอนสตาร์ทรถก่อนจะเร่งอินซอบ

“รีบคิดนะครับ ต้องพิมพ์ลงไปในเครื่องนำทางอีก”

“ครับ ผมจะรีบคิดครับ”

อีอูยอนขมวดคิ้วให้กับคำตอบของอินซอบที่ตอบกลับมาทันที

“ทำไมถึงทำตัวเกร็งอย่างนั้นล่ะครับ คุณไม่ใช่พนักงานใหม่ที่กำลังจะไปกินข้าวกับหัวหน้าในที่ทำงานซะหน่อย มีแค่ผมที่ตั้งตาคอยกับเดทวันนี้เหรอครับ”

อีอูยอนถามเย้าแหย่พร้อมกับเลี้ยวตรงมุมของลานจอดรถแคบๆ อย่างชำนาญ

“…ผมเองก็ตั้งตารอเหมือนกันครับ”

อินซอบกำชายเสื้อจนยับยู่ยี่ก่อนจะหลุบตามองด้านล่าง ความจริงแล้วตอนนี้เขาสนใจเรื่องที่อีอูยอนโกหกเขามากกว่าตั้งตารออาหารเย็นหลายเท่า

ลองถามออกไปตรงๆ ตอนนี้เลยดีไหม

“มีเรื่องที่จะพูดหรือเปล่าครับ”

อีอูยอนถามอย่างไม่อ้อมค้อม เพราะรู้สึกได้ถึงสายตาที่มองมา

“…ไม่มีครับ”

อินซอบหันหน้ากลับไป

“แต่ผมมีครับ”

อีอูยอนหมุนพวงมาลัยรถก่อนจะเอ่ย ตอนนั้นเองรถที่พุ่งมาทางขวากลับไม่ยอมเปิดไฟเลี้ยวและแทรกเข้ามา

อีอูยอนเหยียบเบรกก่อนจะใช้แขนกั้นไม่ให้ตัวของอินซอบไหลไปข้างหน้า

“เป็นอะไรหรือเปล่าครับ”

“ครับ ไม่เป็นอะไรครับ”

แม้จะเลี่ยงการชนได้อย่างฉิวเฉียด แต่ก็เกิดความหงุดหงิดขึ้นบนใบหน้าของอีอูยอน ยิ่งไปกว่านั้นฝ่ายที่ต้องถอยรถไปด้านหลังกลับไม่ขยับแม้แต่น้อย

อีอูยอนยื่นมือออกไปจากที่นั่งคนขับ และทำมือเป็นสัญญาณบอกให้อีกฝ่ายขยับรถไปด้านหลัง พอเขาทำแบบนั้นคนขับรถคู่กรณีก็บีบแตรอย่างกวนประสาทแทนคำตอบ อีอูยอนหัวเราะดังเหอะก่อนจะกำพวงมาลัยแน่

“ให้เขาไปก่อนเถอะครับ”

อินซอบพูดอย่างระมัดระวัง ถ้าหากโต้เถียงกัน คนที่จะเสียเปรียบในทุกกรณีมักจะเป็นฝ่ายดาราเสมอ ในฐานะผู้จัดการส่วนตัว อินซอบไม่อยากเห็นอีอูยอนต้องเข้ามาพัวพันกับเรื่องที่ไม่ดี

พออีอูยอนถอนหายใจและถอยรถไปด้านหลัง รถคู่กรณีก็ส่งเสียงดังพร้อมกับขับออกไปจากลานจอดรถเหมือนรออยู่แล้ว

อีอูยอนเข้าเกียร์ D อีกครั้งและหมุนพวงมาลัย เขาดูอารมณ์ไม่ดีเป็นอย่างมาก

“ขอบคุณครับ”

“ขอบคุณเรื่องอะไรครับ”

อีอูยอนทำหน้าเหมือนได้ยินคำพูดที่คาดไม่ถึง

“ก็ที่คุณช่วยมีน้ำใจเพราะผมไงครับ”

อินซอบจำคำพูดของอีอูยอนที่บอกว่าไม่อยากจะจับพวงมาลัยรถ เพราะไอ้พวกคนที่ขับรถแย่ได้อย่างชัดเจน

อีอูยอนเปลี่ยนไปทำสีหน้าแปลกๆ แม้อินซอบจะไม่แน่ใจว่าอีกฝ่ายกำลังกลั้นขำ หรือกลั้นความโมโหเอาไว้ แต่เขาก็มั่นใจว่าอารมณ์ที่พลุ่งพล่านขึ้นมาทุเลาลงแล้ว

“ใช่แล้วครับ ถ้าไม่มีคุณอินซอบ ผมอาจจะแกล้งทำเป็นไม่รู้ และชนท้ายไปแล้วล่ะครับ”

เมื่อไม่นานมานี้มีโฆษณาเพื่อสาธารณประโยชน์รณรงค์เรื่องขับขี่ปลอดภัยถูกเสนอมาให้อีอูยอน ซึ่งมีจุดประสงค์เพื่อเพิ่มภาพลักษณ์เท่านั้น เพราะส่วนมากมักจะไม่ได้ค่าตัว นี่เป็นการทำการตลาดในเรื่องของภาพลักษณ์ได้อย่างยอดเยี่ยมในฐานะดารา แต่กรรมการผู้จัดการคิมกลับปฏิเสธโฆษณาคราวนี้ทันควัน เพราะเขาเชื่อว่าการฝากโฆษณาแบบนั้นให้กับฆาตกรที่ฆ่ารถเบนช์ เป็นเรื่องที่ใช้ไม่ได้ในฐานะมนุษย์

“คำพูดที่ว่านิสัยที่แท้จริงจะโผล่ออกมาตอนขับรถดูท่าจะจริงนะครับ มีคนขับรถเหี้ยจริงๆ อยู่เยอะเลย เหนื่อยหน่อยนะครับ”

อีอูยอนเลื่อนกระจกลงตรงหน้าตู้เก็บเงินค่าจอดรถแล้วเอ่ยทักทาย น้ำเสียงที่สุภาพอ่อนโยนนั้นไม่ต่างอะไรกับเสียงที่พูดถึงคนแย่ๆ เลยแม้แต่น้อย

อีอูยอนเลื่อนกระจกขึ้นหลังจากที่คิดเงินเสร็จ

“ผมขับเองดีไหมครับ”

อินซอบมองอีอูยอนอย่างกังวลพลางเอ่ยถาม อีอูยอนหัวเราะออกมา

“ไม่ต้องหรอกครับ มีคุณอินซอบอยู่ข้างๆ ผมไม่มีทางทำเรื่องแบบนั้นแน่นอนครับ”

อีอูยอนดูอารมณ์ดีอย่างมาก ลมที่พัดเข้ามาผ่านช่องของกระจกที่ถูกเปิดทำให้ผมของอีอูยอนยุ่งเหยิง พอพวกเขาสบตากัน อีอูยอนก็ยิ้มร่า

“ตอนนี้คุณมองผมตรงๆ แล้วแฮะ”

“ครับ?”

“ก็วันนี้คุณเลี่ยงที่จะสบตาผมทั้งวันเลยนี่ครับ ผมปวดใจนะ”

อีอูยอนพูดถึงบาดแผลที่ตัวเองได้รับอย่างตรงไปตรงมาด้วยน้ำเสียงสดใส เขามองอินซอบที่ทำตัวไม่ถูก และครุ่นคิดว่าจะร้องไห้ออกมาตอนนี้เลยดีไหม ตอนนั้นเองเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น

“ขอผมรับโทรศัพท์สักครู่นะครับ”

อินซอบขออนุญาตก่อนจะหยิบโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋า อีอูยอนเหลือบมองชื่อของคนที่โทรมา

“ฮัลโหล ชเวอินซอบครับ”

[อินซอบ…อยู่กับอีอูยอนหรือเปล่า]

“ครับ! ผมอยู่กับคุณอีอูยอนครับกรรมการผู้จัดการ!”

อินซอบตะโกนเสียงดังอยู่ข้างๆ อีอูยอน เขาได้ยินเสียงถอนหายใจเบาๆ จากปลายสาย

“เกิดเรื่องอะไรเหรอครับ”

[เห็นข่าวหรือยัง]

“ข่าวอะไรเหรอครับ”

อินซอบถามกลับด้วยความตกใจ อีอูยอนยื่นโทรศัพท์ของตัวเองให้อินซอบโดยไม่พูดอะไร อินซอบรีบเข้าไปในเว็บไซต์เสิร์ชเอนจิ้นและเช็กหน้าข่าวสังคม จากนั้นเขาก็ไล่สายตาไปตามหน้าบันเทิง

“เอ่อ…”

[‘แชยอนซอเข้าโรงพยาบาลด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์’]

อินซอบใช้มือที่สั่นเทากดอ่านข่าว แม้จะยังไม่รู้สถานการณ์ที่แน่ชัด แต่เนื้อหาข่าวบอกว่าตอนนี้เธอกำลังถูกย้ายไปที่โรงพยาบาลจากการโดนชนท้ายอย่างกะทันหันในระหว่างที่ไปถ่ายละคร และไม่มีอันตรายอะไรถึงชีวิต

“เธอไม่ได้เป็นอะไรใช่ไหมครับ”

อินซอบเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเป็นกังวล และรถก็จอดติดไฟแดงอยู่ที่สี่แยกพอดี

[อืม ฉันลองโทรศัพท์คุยกับทางนั้นแล้ว ดูเหมือนจะไม่มีตรงไหนที่หัก แค่ฟกช้ำดำเขียวเล็กน้อยเท่านั้น]

อินซอบถอนหายใจอย่างโล่งใจ

“โล่งอกไปทีนะครับ”

ชเวอินซอบไม่เคยรู้จักแชยอนซอเลย นี่เป็นความสัมพันธ์ที่แม้จะเดินผ่านกันไปมาที่สถานีโทรทัศน์ แต่ก็ไม่เคยทักทายกันสักครั้ง อีอูยอนทอดสายตามองอินซอบที่แม้จะมีความสัมพันธ์แบบนั้น แต่ก็แสดงความโล่งใจออกมาจากใจจริงนิ่งๆ

[แต่อาจต้องเข้าโรงพยาบาลเพื่อตรวจนั่นตรวจนี่น่ะ]

“อย่างนั้นเหรอครับ”

อีอูยอนถามกลับ เพราะเขารู้ว่าการพูดเรื่องที่สำคัญที่สุดในตอนท้ายสุดเป็นศิลปะในการพูดของกรรมการผู้จัดการคิม

[…เธอนั่งรถไปกับผู้อำนวยการฝ่ายอีน่ะ]

“แล้วเขาตายเหรอครับ”

[แกนี่…ไม่ ผู้อำนวยการฝ่ายอีไม่ได้บาดเจ็บตรงไหน ก็เลยตั้งใจว่าจะไม่ลงข่าวอุบัติเหตุ แต่เพราะรถที่ชนเป็นรถที่นั่งข่าวขับ ก็เลยเป็นข่าวทันที โชคไม่ดีจริงๆ]

อีอูยอนทำหน้านิ่วคิ้วขมวดก่อนจะแย่งโทรศัพท์ของตัวเองที่อยู่ในมือของอินซอบมาดูข่าว อินซอบมองอีอูยอนด้วยความหวั่นใจ

[แน่นอนว่าฉันไม่ได้จะบังคับให้นายไป หรืออะไรแบบนั้น แต่มีคนกำลังจับตามองอยู่นะ ดังนั้น…]

อย่างไรก็ตามผู้อำนวยการอีน่าจะปกปิดว่าเป็นผู้เกี่ยวข้อง และใช้อีอูยอนเบี่ยงเบนสายตาของคนอื่น แม้จะเป็นแผนการที่มองเห็นได้อย่างชัดเจน แต่กรรมการผู้จัดการคิมที่ได้รับโทรศัพท์มาก็ทำได้แค่ขอร้องอีอูยอน

ปัญหาก็คืออีอูยอนเป็นคนที่ไม่อดทนจนถึงที่สุดกับสิ่งที่ตัวเองเกลียด กรรมการผู้จัดการคิมพูดต่ออย่างระมัดระวัง

[ไปสักครั้งเถอะ นายสวมหน้ากาก แล้วก็ไปอย่างที่คนเขาทำกัน…]

“เข้าใจแล้วครับ ผมจะไปครับ”

[โอเค ไปนะ…ว่าไงนะ]

กรรมการผู้จัดการคิมถามซ้ำด้วยความตกใจ เหมือนได้ยินในสิ่งที่ไม่ควรจะได้ยิน

“ผมบอกว่าจะไปครับ ช่วยส่งชื่อโรงพยาบาลกับหมายเลขห้องมาทางข้อความด้วยนะครับ มีพวกนักข่าวอยู่ด้วยใช่ไหมครับ”

[เออ ก็อยู่น่ะสิ …จะไปจริงๆ เหรอ]

“ก็คุณโทรศัพท์มาสั่งให้ไปนี่ครับ แต่ขี้ขลาดจังเลยนะครับ ที่โทรมาหาคุณอินซอบก่อน แทนที่จะเป็นผม”

คำพูดของอีอูยอนทำให้อินซอบตื่นตระหนก และแทรกมาจากด้านข้างว่า ‘ไม่ได้ขี้ขลาดนะครับ’

[ไม่หรอก ก็ขี้ขลาดจริงๆ นั่นแหละ…อีอูยอนนายไม่ได้กินยาอะไรแปลกๆ ใช่หรือเปล่า]

นี่เป็นคำถามที่กรรมการผู้จัดการคิมมักจะถามเพื่อตรวจสอบเสมอ เมื่อเขาได้ยินจากพวกอัยการว่ามีการเข้าตรวจค้นยาเสพติด แน่นอนว่าเขาก็ถามแบบนี้ในวันที่อีอูยอนพาแมวที่บาดเจ็บไปโรงพยาบาลรักษาสัตว์ด้วยเช่นกัน

“กินวันละเม็ดครับ”

[ไอ้บ้านี่ อย่าล้อเล่นสิ! ไม่รู้เหรอว่าช่วงนี้มันวุ่นวายน่ะ]

“ผมกำลังขับรถอยู่ ไว้จะโทรไปใหม่นะครับ”

อีอูยอนวางสาย อินซอบเก็บโทรศัพท์มือถือลงกระเป๋าอีกครั้ง ทันทีที่สัญญาณไฟเปลี่ยนเป็นสีเขียว รถก็เริ่มขยับ

“ขอโทษนะครับ เอาไว้เราค่อยกินข้าวเย็นกันนะครับ”

“ไม่เป็นไรครับ”

“ผมจะไปส่งที่บ้านเองครับ”

“ไม่ต้องหรอกครับ จอดตรงสถานีรถไฟที่อยู่ข้างหน้าก็ได้ เดี๋ยวผมกลับเองครับ”

อีอูยอนไม่พูดอะไร เขาเปิดไฟฉุกเฉินและจอดรถตรงข้างทาง อินซอบตกใจกับการจอดรถอย่างกะทันหันและหันหน้ากลับมา

“ถ้าคุณไม่ให้ไป ผมก็จะไม่ไปครับ”

ใต้หน้ากากซูเปอร์สตาร์

ใต้หน้ากากซูเปอร์สตาร์

Status: Ongoing

นิยายวายแปลเกาหลี ดารา x ผู้จัดการ วงการบันเทิง นายเอกใสซื่อ พระเอกเจ้าเล่ห์ และ “คลั่ง” รักหนักมาก

ข้อเสียเพียงหนึ่งเดียวของ ‘อีอูยอน’ นักแสดงที่ได้ชื่อว่าเป็นสุภาพบุรุษผู้แสนดี และไม่เคยมีแอนตี้แฟน คือการเปลี่ยนผู้จัดการส่วนตัวบ่อย

หลังจากเปลี่ยนผู้จัดการไปแล้ว 5 คนในปีเดียว ‘ชเวอินซอบ’ แฟนคลับของอีอูยอนก็ได้เข้ามาเป็นผู้จัดการส่วนตัวคนใหม่ และสามารถปรับตัวเข้าได้กับทุกรสนิยมที่จู้จี้จุกจิกของอีอูยอนได้อย่างไร้ที่ติ

ทว่าสำหรับอีอูยอนแล้ว ผู้จัดการส่วนตัวแบบนั้นน่าสงสัยเป็นที่สุด

เขารู้สึกสนใจในการกระทำของอีกฝ่าย ในขณะเดียวกันความรู้สึกบางอย่างก็เริ่มก่อตัวขึ้นโดยไม่รู้ตัว

ทว่าในตอนที่เขารู้สึกดีกับอินซอบมากขึ้นเรื่อยๆ อีกฝ่ายก็ (ลอบ) แทงข้างหลัง (เบาๆ) และพยายามจะหนีไป

“ถ้าผมปล่อยคุณอินซอบไป แล้วผมจะอยู่ยังไงล่ะครับ”

TW : Coercion / Dubious Consent / Dirty talk / Toxic relationship / Violence / Rape

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท