ตอนที่ 208 ราชาแห่งการบันทึกเสียง
ลูกชายสองคนของฟางเว่ยหมินอยู่ที่บ้าน เมื่อเห็นหวังหรงและแม่ก็จ้องมองมาที่พวกหล่อนและเกือบจะเข้าไปทุบตี
ฟางเว่ยหมินไม่คิดเชิญแม่และลูกสาวนั่งลงและไม่ได้รินชาหรือน้ำให้พวกหล่อน เขาถามอย่างเย็นชาว่า “เตรียมเงินมาพร้อมแล้วเหรอ?”
แม่หวังหรงยิ้มอย่างประจบสอพลอ “เตรียมมาแล้ว แต่เพียงห้าพันเท่านั้นเองค่ะ”
หยางรั่วหลานโมโหในทันที “หมายความว่ายังไง? นี่เล่นขายของกันอยู่เหรอ? ค่าชดเชยสามหมื่นหยวนกลายเป็นห้าพันแล้ว?”
ลูกชายทั้งสองของฟางเว่ยตั่งพูดด้วยใบหน้ามืดมน “เราไม่ต้องการเงินแล้ว แต่พวกคุณเตรียมโดนไล่ออกจากแผนกไฟฟ้าได้เลย!”
แม่หวังหรงตื่นตระหนก “พวกเราไม่ได้พยายามต่อรองนะคะ พวกเราต้องการปรึกษากับพวกคุณว่าให้ห้าพันก่อน แล้วเราจะชำระคืนสองหมื่นห้าพันที่เหลืออย่างช้าๆ ทุกเดือน และชำระคืนภายในแปดปี พวกคุณคิดเห็นอย่างไรกันคะ?”
สมาชิกในครอบครัวฟางเว่ยตั่งสุมหัวกันกระซิบกระซาบ
จากนั้นฟางเว่ยตั่งผู้เป็นหัวหน้าครอบครัวก็กล่าวว่า “ต้องชำระคืนอย่างน้อยสองหมื่นหยวนก่อน และอีกหนึ่งหมื่นหยวนที่เหลือจะต้องชำระภายในสามปี หากไม่ดำเนินการ คุณจะต้องรับผลที่ตามมา”
หวังหรงและแม่ไม่มีทางเลือก ต้องไปหาหวังเหวินฟางอีกครั้ง
แม่หวังหรงบ่นว่า “ถ้าคุณไม่ให้เรายืมเงิน ครอบครัวเราก็จะตกงาน”
หวังเหวินฟางพยายามดิ้นรนเป็นเวลานาน ขโมยสมุดธนาคารที่บ้านและถอนเงินหนึ่งหมื่นห้าพันหยวน แล้วมอบให้กับหวังหรงและแม่
หล่อนพูดกับหวังหรงด้วยความเสียใจ “วันหลังเธอหยุดเลยนะ ถ้ายังเป็นแบบนี้ต่อไปอีก ฉันจะบ้าตายแล้ว!”
หวังหรงก้มหน้าลงและพูดอย่างรู้สึกผิดว่า “ต่อไปฉันจะไม่ทำมันอีก ขอบคุณนะคะคุณอา”
แม่ลูกรับเงินไปแล้วหนึ่งหมื่นห้าพันหยวน บวกกับอีกห้าพันหยวนที่ฟางจั๋วหรานมอบให้แม่เฒ่าหวัง แล้วกลับไปที่บ้านของฟางถิงอีกครั้ง
พวกหล่อนมอบให้เงินสองหมื่นหยวนแก่ฟางเว่ยตั่ง และเขียนใบแสดงหนี้อีกหนึ่งหมื่นหยวน
สองแม่ลูกกำลังจะจากไป แต่ถูกพี่ชายคนโตของฟางถิงเรียกให้หยุด “พ่อแม่และน้องสาวของผมถูกพวกคุณทุบตีโดยเสียเปล่าหรือ?”
สองแม่ลูกหวังหรงมองไปที่พี่ชายของฟางถิงด้วยความกลัวและไม่กล้าพูด
พี่ชายคนรองของฟางถิงหักข้อนิ้วของเขา “อย่างน้อยให้เราเอาคืนสักหน่อย ถือซะว่ายอมรับความผิดพลาด”
เมื่อสองแม่ลูกออกมาจากบ้านตระกูลฟาง ใบหน้าไม่มีร่องรอยการบาดเจ็บก็จริง แต่ร่างกายของพวกหล่อนกลับมีรอยฟกช้ำ
ความรู้สึกจากการถูกเตะต่อยโดยพี่ชายสองคนของฟางถิงมันช่างทรมานนัก
แม่ของหล่อนต้องได้รับความละอายใจ และยังแตกหักกับฟางจั๋วหราน
หลังจากต้องจ่ายค่าบทเรียนสูงขนาดนี้ กลับได้เงินมาห้าพันหยวนเท่านั้น
ส่วนหวังเหวินฟางถูกบังคับเอาเงินหนึ่งหมื่นห้าพันหยวนไปให้พวกเขา เพื่อช่วยพี่ชายของหล่อนให้พ้นความลำบาก
หากฟางเว่ยกั๋วรู้เข้า ก็ไม่รู้จะเกิดอะไรขึ้น
ทุกอย่างนี้ล้วนเกิดจากหมาป่าตาขาวอย่างฟางจั๋วหราน
ถ้าเข้าเต็มใจให้เงินสามพันหยวนโดยไม่ลังเล ก็จะไม่เกิดเรื่องนองเลือดแบบนี้!
ยิ่งหวังเหวินฟางคิดเรื่องนี้ หล่อนก็ยิ่งโมโหมากขึ้น จึงไปที่โรงพยาบาลของฟางจั๋วหราน ชี้หน้าเขาแล้วพูดว่า “แกใจร้ายมาก คุณยายทำงานหนักมากก็เพื่อแก มันทำไมเหรอที่ท่านมาขอเงินหลายหมื่นจากแก? แกไม่เพียงแต่ให้ท่านไม่เต็มจำนวน แต่ยังทำลายชื่อเสียงของท่านด้วย เชื่อหรือเปล่าว่าฉันเองก็สามารถทำให้แกเสื่อมเสีย ทำให้แกไม่สามารถอยู่ที่วิทยาลัยแห่งนี้ต่อไปได้นะ!
ฟางจั๋วหรานพูดอย่างเย็นชา “งั้นคุณรีบลงมือเถอะ จะมาส่งเสียงอยู่ที่นี่ทำไม! ไม่งั้นเกรงว่าผมจะเผลอเล่นเทปบันทึกเสียงที่แม่เฒ่าหวังบังคับขอเงินผมเงินสามหมื่นหยวนก่อนเชิญป้ากวาดถนนมา แล้วหลังจากนั้นชื่อเสียงของแม่เฒ่าหวังคงดังกระฉ่อนเข้าไปอีก”
หวังเหวินฟางจ้องมองด้วยความโกรธ แต่ไม่กล้าที่จะหยิ่งยโสอีกต่อไป
ฟางจั๋วหรานยิ้มดูถูกหล่อน ทิ้งหล่อนไว้ข้างหลังแล้วจากไป
หลังจากเลิกงานและกลับถึงบ้าน เขาก็โทรหาฟางเว่ยกั๋ว
ขอแค่หวังเหวินฟางรับสาย เขาก็จะวางสาย
หลังจากเป็นแบบนี้หลายครั้ง หวังเหวินฟางก็รู้สึกไม่พอใจ “ใครกันน่ารำคาญจริงๆ โทรมาไม่พูดแล้วก็วางสาย”
สิ่งที่หล่อนพูดทำให้ฟางเว่ยกั๋วสงสัย “ถ้ามีสายเข้ามาอีก ผมจะเป็นคนรับเอง”
พอเขาพูดจบ เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นอีกครั้ง
ฟางเว่ยกั๋วรับสาย “สวัสดีครับ”
ไม่มีเสียงใดๆ จากปลายสาย
ฟางเว่ยกั๋วขมวดคิ้วและพูดว่า “บางทีอาจจะเป็นเด็กจากครอบครัวผู้นำสักคนที่เล่นโทรศัพท์”
ขณะที่เขากำลังจะวางสาย เสียงของหวังเหวินฟางก็ดังขึ้นจากข้างใน เขาจึงยกโทรศัพท์แนบหูอีกครั้ง
หวังเหวินฟางยืนอยู่ข้างๆ เขา และได้ยินเสียงดังออกมาจากโทรศัพท์
เสียงที่เล่นทางโทรศัพท์คือบทสนทนาที่หล่อนไปหาฟางจั๋วหรานวันนี้
คิดไม่ถึงว่าฟางจั๋วหรานจะร้ายกาจขนาดนี้ เขาบันทึกเสียงในตอนนั้นจริงๆ!
หล่อนมองฟางเว่ยกั๋วด้วยใบหน้าซีดเซียว
หลังจากเล่นเทปบันทึกเสียงเสร็จ ฟางจั๋วหรานก็วางสายโทรศัพท์
รอยยิ้มประชดประชันปรากฏขึ้นบนริมฝีปากของเขา
เมื่อตอนที่เขายังเป็นเด็ก หวังเหวินฟางมักจะเย็นชาและรุนแรงต่อเขา โดยทำต่อหน้าอย่างลับหลังอีกอย่าง
อยู่ต่อหน้าฟางเว่ยกั๋วปฏิบัติกับเขาดีกว่าลูกชายตัวเองเสียอีก แต่ลับหลังมักทำให้เขาทรมานจิตใจ
เขาบ่นกับฟางเว่ยกั๋วแต่ฟางเว่ยกั๋วไม่เคยเชื่อ และบอกว่าเขาช่างไร้เดียงสาเหมือนแม่ของเขาเองและคิดมากเกินไป
ไม่รู้ว่าฟางเว่ยกั๋วจะรู้สึกอย่างไรเมื่อเขาได้ยินการบันทึกสนทนานั้น โดยเฉพาะประโยคของหวังเหวินฟางที่ว่า “เชื่อหรือเปล่าว่าฉันเองก็สามารถทำให้แกเสื่อมเสีย ทำให้แกไม่สามารถอยู่ที่วิทยาลัยแห่งนี้ต่อไปได้!” หากได้ยินแล้วจะรู้สึกอย่างไร
อีกด้านหนึ่งของโทรศัพท์ ฟางเว่ยกั๋วมองไปที่หวังเหวินฟางอย่างตกใจ “แม่ของคุณต้องการขอเงินสามหมื่นหยวนจากจั๋วหรานจริงๆ! แล้วคุณยังต้องการทำลายชื่อเสียงของเขาด้วย!”
หวังเหวินฟางปฏิเสธซ้ำแล้วซ้ำเล่า “ไม่ ฉันไม่ได้ทำ มันไม่เกี่ยวกับฉัน แม่ของฉันทำเพราะพี่ชายและพี่สะใภ้ของฉันไม่มีทางเลือก สำหรับฉัน ฉันไม่เคยคิดที่จะทำให้ชื่อเสียงของจั๋วหรานเสื่อมเสีย ตอนนั้นฉันแค่พูดจาไร้สาระก็เท่านั้น “
ฟางเว่ยกั๋วหยุดนิ่งไปชั่วคราวและพูดว่า “คราวนี้ช่างมันเถอะ คราวหน้าถ้าครอบครัวหวังของคุณยังกล้าที่จะล้อเล่นกับความรู้สึกของจั๋วหรานก็อย่าหาว่าผมใจร้าย!”
แม้เขาจะไม่ชอบลูกชายคนโตที่มีอารมณ์เย็นชา แต่นั่นก็คือลูกของเขาเอง ฟางเว่ยกั๋วก็ยังมีความรักต่อฟางจั๋วหราน
หวังเหวินฟางถอนหายใจด้วยความโล่งอก “จะไม่มีครั้งต่อไปค่ะ ฉันสัญญา”
……
ฝนตกห่าใหญ่จนน้ำจะท่วมมาสองวันแล้ว
ในสองวันที่ผ่านมา หลินม่ายได้ทำอาหารอร่อยๆ ให้ทุกคนกินในรูปแบบต่างๆ
ทำให้บ้านคุณย่าฟางมีแต่เสียงหัวเราะชอบใจ
ในวันที่สามที่ฝนเบาลงมาก หลินม่ายจึงกางร่มและไปที่อวิ๋นเจิ้นตามลำพัง แน่นอนว่าเธอเห็นหลินเพ่ยในโรงเรียนมัธยมอวิ๋นเจิ้น
หลินเพ่ยก็ยังเหมือนเดิม ยังคงแต่งตัวสวยงาม พูดคุยและหัวเราะกับเด็กหนุ่มสองสามคน และใช้ชีวิตอย่างสุขสบายดี
ปฏิกิริยาแรกของหลินม่ายคือการโทรหาสำนักข่าวประจำจังหวัดเพื่อเปิดโปงเรื่องนี้
แต่ก่อนที่เธอจะลงมือ เธอก็ล้มเลิกความคิดนั้นไป
ครอบครัวหลินไม่มีเส้นสายที่จะสามารถส่งหลิยเพ่ยไปที่โรงเรียนมัธยมอวิ๋นเจิ้นได้
หลินเพ่ยต้องพึ่งพาตัวเองได้เพียงอย่างเดียวในการเรียนที่โรงเรียนมัธยมอวิ๋นเจิ้น
ไม่ใช่ว่าหลินม่ายประเมินหลินเพ่ยต่ำไป แต่หล่อนไม่มีทักษะอื่นใดนอกจากการล่อลวงหนุ่มๆ
หล่อนต้องเอาตัวเข้าแลกเท่านั้น ถึงสามารถเข้าโรงเรียนมัธยมอวิ๋นเจิ้นได้
ถ้าเป็นอย่างนั้นเธอจะรีบไปขอให้นักข่าวแทรกแซงไม่ได้ ต้องรู้ว่าสุนัขรับใช้คนนั้นเป็นใครก่อน เพื่อจะได้ดำเนินการได้ง่าย
มิฉะนั้นหากแหวกหญ้าให้งูตื่นจนทำให้สุนัขรับใช้คนนั้นหนีไป มันอาจเป็นการทำให้หลินเพ่ยรู้ตัวในครั้งต่อไป
ส่วนจะรู้ได้ว่าใครเป็นสุนัขรับใช้ก็ไม่ใช่เรื่องยาก หลินม่ายคิดจะเริ่มต้นจากหลินเพ่ย
ไม่นานก็ถึงเวลาเลิกเรียนตอนเที่ยง หลังจากกริ่งเลิกเรียนดังขึ้น ครูก็ออกไปก่อน ตามมาด้วยนักเรียนที่ออกจากห้องเรียนเป็นกลุ่มละสามหรือสี่คน
หลินเพ่ยเดินออกจากห้องเรียนพร้อมกับเพื่อนร่วมชั้นชายที่ดูมีพื้นฐานครอบครัวดี
เด็กหนุ่มคนนั้นถามเสียงนุ่ม “หลินเพ่ย วันนี้ไปกินขาหมูกัน เธอบอกว่าไม่ได้กินขาหมูมานานแล้วไม่ใช่หรือ”
หลินเพ่ยพูดอย่างเขินอาย “ขาหมูมันแพง ฉันไม่กล้ากินหรอก”
ฝ่ายชายทุบหน้าอกของเขา “ฉันเลี้ยงเอง”
หลินเพ่ยอายเข้าไปอีก “รู้สึกเกรงใจนายจังเลย!”
เด็กหนุ่มพูดอย่างภาคภูมิใจ “เกรงใจอะไร ไปๆๆ ไปกินขาหมูกัน”
เด็กหนุ่มคนนั้นดึงแขนเสื้อหล่อนจูงหล่อนออกไปนอกโรงเรียน
โรงอาหารของโรงเรียนไม่ขายขาหมู ถ้าอยากกินขาหมู จะต้องไปที่ร้านอาหารของรัฐเล็กๆ นอกโรงเรียน
แม้ภูมิหลังทางครอบครัวของเด็กชายคนนี้จะไม่เลว แต่การได้กินขาหมูสักมื้อนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย
เพื่อที่จะเชิญหลินเพ่ยให้กินขาหมูตุ๋น เขาต้องใช้เงินออมของเขาอย่างไม่เต็มใจจะใช้
ทั้งสองคนเดินออกจากประตูโรงเรียน และหลินเพ่ยก็ได้ยินใครบางคนเรียกชื่อหล่อน
เป็นเสียงที่หล่อนจำฝังใจ และเกลียดมากอีกด้วย
นั่นก็คือเสียงของหลินม่าย!
……………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
ยัยหรงกับแม่ไม่ต้องโทษพี่หมอเลย ถ้าพวกหล่อนไม่กระสันอยากได้พี่หมอเป็นเขยจนต้องบังคับเขาขนาดนี้ เขาจะร้ายกับพวกหล่อนไหม?
รอบคอบกันดีมากเลยทั้งพี่หมอทั้งม่ายจื่อ เหมาะสม ๆ ต้องเก็บหลักฐานก่อนที่จะแฉใครสักคน
ไหหม่า(海馬)