ใช่ หากพูดออกไปก็อาจจะทำให้เกิดปัญหาอย่างอื่น แต่หากไม่พูด สวีลิ่งอี๋ก็ต้องเป็นแพะรับบาป!
คำพูดของสืออีเหนียงทำให้ฮองเฮาทรงคิดหนัก
ผ่านไปครู่หนึ่ง นางก็ไม่รู้ว่าควรทำเช่นไร เพียงตรัสถามว่าสวีลิ่งอี๋จะทำอย่างไรต่อไป
หากฮ่องเต้ทรงมีความคิดอื่นจะทำเช่นไร?
จะทรงชี้แนะให้กับสวีลิ่งอี๋?
ฮ่องเต้กำลังฟังอยู่หลังม่าน ตอนนี้ข่าวลือเรื่องที่พาหญิงของหัวหน้าค่ายของแคว้นเหมียวเจียงมา แพร่สะพัดมาถึงพระราชสำนักแล้ว มันไม่ใช่เรื่องที่สตรีในพระราชวังจะเข้าไปแทรกแซงได้…
คิดไปคิดมา ก็ต้องโทษคนที่เป็นคนก่อเรื่องคนนั้น
“ล้วนแต่เป็นความผิดของคุณชายห้า ทำให้พวกเจ้าต้องลำบาก!”
ถึงแม้ว่าคุณชายห้าจะไม่ดีแค่ไหน แต่เขาก็เป็นน้องชายของฮองเฮา นางสามารถตำหนิเขาได้ แต่ตัวเองจะทำท่าทีไม่พอใจไม่ได้
“ฮองเฮาตรัสเกินไปแล้วเพคะ” สืออีเหนียงตอบกลับ “คุณชายห้ายังเด็ก คบคนพาล พาลพาไปหาผิด คบบัณฑิต บัณฑิตพาไปหาผล เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น ต่อไปเขาทำสิ่งใดก็คงจะระมัดระวังตัวมากขึ้น แต่ว่าเรื่องนี้แพร่ออกไปเช่นนี้…แล้วท่านโหวก็ยังเป็นคนไม่ชอบพูด หม่อมฉันหวาดกลัวอย่างยิ่งเพคะ”
ฮองเฮายิ้มอย่างขมขื่น “เจ้าไม่ต้องกังวลมากเกินไป” นางเหลือบมองไปที่ผ้าม่านอีกครั้งแล้วปลอบใจสืออีเหนียงอย่างเหม่อลอย “ท่านโหวเป็นคนเช่นไร ทุกคนล้วนรู้ดี”
สืออีเหนียงทำสีหน้าโศกเศร้า
เมื่อฮองเฮาเห็นว่าพูดเรื่องนี้ชัดเจนแล้ว กลัวว่าหากพูดต่อไปมันคงไม่ดี นางจึงถามไถ่ถึงสุขภาพของไท่ฮูหยิน พอรู้ว่าท่านแม่สบายดี ก็ยกถ้วยชาขึ้นมา
สืออีเหนียงรีบลุกขึ้นแล้วขอตัวลา
ฮ่องเต้ก็เดินออกจากห้องข้างใน
“ฮ่องเต้ จะทำเช่นไรดีเพคะ” ฮองเฮาจ้องมองไปที่ฮ่องเต้อย่างกังวลใจ “คิดไม่ถึงว่าน้องห้าจะทำเรื่องเช่นนี้ได้!”
ฮ่องเต้ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะตรัสว่า “หากเป็นเหมือนที่ฮูหยินหย่งผิงโหวพูด เราว่าปล่อยให้หย่งผิงโหวจัดการเองดีกว่า เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องในครอบครัวของสกุลสวี ข้ากับเจ้าไม่ควรเข้าไปยุ่ง”
ฮองเฮาไม่ได้ตรัสสิ่งใด
สมเหตุสมผล
เรื่องของครอบครัว คนนอกไม่ควรเข้าไปแทรกแซง
นางถอนหายใจ จู่ๆ ก็รู้สึกว่าเรือนหน่วนเก๋อนี้กว้างใหญ่เกินไป พลันรู้สึกหนาวเย็น
*****
ฮ่องเต้ที่ทรงแอบอยู่ห้องข้างในแต่กลับได้ยินพวกนางพูดคุยกันอย่างชัดเจน และฮองเฮาที่ทำท่าทีระมัดระวังและเอือมระอา ยังมีข่าวลือเรื่องนั้นเรื่องนี้ ทั้งหมดนี้ ทำให้สืออีเหนียงรู้สึกไม่สบายใจเป็นอย่างมาก
นางกลับมาที่เหอฮวาหลี่อย่างรวดเร็ว จากนั้นก็รีบไปที่เรือนของไท่ฮูหยิน
สวีลิ่งอี๋รอนางอยู่ที่นั่น
เมื่อสาวใช้ยกชาเข้ามา ไท่ฮูหยินก็ไล่พวกนางออกไปแล้วรีบพูดว่า “เรียกเจ้าเข้าไปในพระราชวังทำไมกัน พูดคุยอะไรบ้าง”
“พูดคุยเรื่องเด็กเจ้าค่ะ” สืออีเหนียงไม่ทันได้ดื่มชา นางเล่าเหตุการณ์ในตอนนั้นให้ไท่ฮูหยินและสวีลิ่งอี๋ฟัง
พวกเขาสองคนยิ่งฟังก็ยิ่งทำสีหน้าเคร่งขรึม ถึงตอนสุดท้าย ไท่ฮูหยินก็มีสีหน้าซีดเซียว
“เจ้าสี่ เรื่องนี้เจ้าต้องไปพูดกับฮองเฮาด้วยตัวเอง เมื่อรู้ว่าฮ่องเต้ทรงคิดเช่นไร เราถึงจะจัดการได้!”
“ไม่จำเป็นขอรับ!” สวีลิ่งอี๋พูดด้วยสีหน้าที่เย็นชา “ความหมายของฮ่องเต้นั้นชัดเจนอยู่แล้ว”
“แต่…”
“ท่านแม่!” สีหน้าของสวีลิ่งอี๋เหนื่อยล้า “ข้ารู้ว่าในใจของท่านยังนึกถึงองค์ชายเจ็ด ผู้ที่เสด็จมาถึงก็เอ่ยปากขอทานเอ็นเนื้อตุ๋นผู้นั้น…แต่นั่นมันเป็นเรื่องอดีตไปแล้ว”
ไท่ฮูหยินหันหน้าหนีแต่ก็ไม่พูดอะไร
มีสาวใช้เปิดม่านเข้ามารายงาน “ไท่ฮูหยิน ฮูหยินสองมาเจ้าค่ะ!”
ทั้งสามคนตกใจ
ไท่ฮูหยินรีบพูด “รีบเชิญนางเข้ามาเร็วเข้า”
สตรีที่สวมชุดสีขาวพระจันทร์ก็เดินเข้ามา
“พี่สะใภ้สอง!” สืออีเหนียงยิ้มแล้วเอ่ยทักทายนาง
“น้องสะใภ้สี่” ฮูหยินสองพยักหน้าให้สืออีเหนียง จากนั้นก็เดินเข้าไปคำนับไท่ฮูหยินและสวีลิ่งอี๋
“อี๋เจิน เจ้ากลับมาแล้วหรือ” ไท่ฮูหยินถามด้วยความเป็นห่วง “มีเรื่องอันใดหรือไม่” จากนั้นก็มองไปข้างหลังนาง “เจินเจี่ยเอ๋อร์เล่า ไม่ได้กลับมากับเจ้าด้วยหรือ”
“ข้าได้ยินข่าวลือจึงรีบกลับมาเจ้าค่ะ” ฮูหยินสองพูด “กลัวว่าเจินเจี่ยเอ๋อร์จะตกใจจึงให้นางอยู่ที่เขาซีซาน”
ไท่ฮูหยินพยักหน้าแล้วพูดว่า “มานั่งบนเตียงเตาเร็ว อากาศหนาว ระวังจะเป็นหวัดเอาได้”
ฮูหยินสองเดินเข้าไปนั่งบนเตียงเตา
สืออีเหนียงไปชงชาเข้ามา
ฮูหยินสองก็พูดกับไท่ฮูหยิน “…ข้าคิดอยู่ทั้งคืน คิดว่าเรื่องนี้ต้องเกี่ยวข้องกับสกุลโอวอย่างแน่นอน” สืออีเหนียงยกชาให้นาง นางเอ่ยขอบคุณแล้วพูดต่อ “หากเกิดอะไรขึ้นกับสกุลเรา พวกเขาคือคนที่จะได้รับผลประโยชน์มากที่สุด”
“เหมือนที่พี่สะใภ้สองพูดขอรับ” สวีลิ่งอี๋เล่าเรื่องราวให้ฮูหยินสองฟัง “มีข่าวลือมากมาย ตอนนี้แม้แต่ในพระราชวังก็ล่วงรู้แล้ว สืออีเหนียงก็พึ่งจะกลับมาจากพระราชวัง” จากนั้นก็เล่าเหตุการณ์ที่สืออีเหนียงเจอในพระราชวังให้ฮูหยินสองฟัง
“มือเท้าของสกุลโอวช่างเร็วเสียจริง” ฮูหยินสองพึมพำ “ซื้อเด็กกลับไปที่ฝูเจี้ยน รอให้เขาโตแล้วค่อยพากลับมา…ถึงตอนนั้น องค์ชายสองสามพระองค์ก็โตเป็นผู้ใหญ่แล้ว…การกระทำของสกุลโอวไม่เพียงแต่เลวร้าย แล้วยังไม่ใช่แค่ระยะสั้น กลัวว่าพวกเขาจะมีแผนอื่นๆ ที่เราไม่รู้ ท่านโหวต้องระวังตัวนะเจ้าคะ!”
หมายความว่าสกุลโอวต้องการจะแย่งตำแหน่ง
สวีลิ่งอี๋พยักหน้าเบาๆ สีหน้าของเขาเย็นชา “ข้าประมาทเอง! ครั้งนี้หากไม่ใช่เพราะว่าคนของสกุลหวังจับตามองคนของสกุลโอวอยู่แล้วล่ะก็ เกรงว่าเราคงจะยังไม่รู้เรื่องนี้”
“นี่คือวาสนาของท่านโหว ทำให้แผนการอันชั่วร้ายของสกุลโอวไม่สำเร็จลุล่วง” ฮูหยินสองกล่าวต่อ “เดิมทีเรานั้นอยู่ในที่สว่าง สกุลโอวอยู่ในที่มืดอยู่แล้ว แน่นอนว่าเราต้องเสียเปรียบพวกเขา แต่ตอนนี้รู้เจตนาของสกุลโอวแล้ว ท่านโหววางใจได้แล้วเจ้าค่ะ!”
“พี่สะใภ้สองไม่ต้องเป็นห่วง เรื่องนี้ข้าจะพิจารณาอย่างรอบคอบอีกครั้ง” สวีลิ่งอี๋พูดด้วยสายตาที่แน่วแน่ “ทุกคนไม่ได้สู้กันแค่ระยะสั้นๆ ยังมีเวลาอีกมากมาย”
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้ามีแผน ท่านโหวลองฟังดูก่อนเถิด” นางพูดพลางมองไปที่สวีลิ่งอี๋ รอให้เขาตอบกลับ
“พี่สะใภ้สองมีแผนอะไรขอรับ” สวีลิ่งอี๋เอียงหูออกไป ทำท่าทีตั้งใจฟังฮูหยินสองอย่างจริงจัง
ฮูหยินสองเหลือบมองสืออีเหนียงแล้วพูดอย่างจริงจัง “ไม่สู้ท่านโหวยอมรับเลี้ยงเด็กคนนี้!”
ฮูหยินสองเหลือบมองไท่ฮูหยิน จากนั้นก็มองไปที่สืออีเหนียงแล้วหยุดพูด
สวีลิ่งอี๋ไม่พูดไม่จา เขาทำสีหน้าครุ่นคิด
สืออีเหนียงหันหน้ามองสวีลิ่งอี๋แล้วทำท่าทีคล้อยตามเขา
ผ่านไปครู่หนึ่ง ในห้องก็เงียบสงัด
“ในเมื่อทุกคนไม่ได้สู้กันในแค่ระยะเวลาสั้นๆ ข้าคิดว่า เราไม่ควรขยายสถานการณ์ให้กว้างเกินไป” ฮูหยินสองทำสีหน้าแน่วแน่ ทำให้นางดูมั่นใจและใจเย็น นางพูดช้าๆ “หากเราอธิบาย คนอื่นอาจจะสงสัยว่าเราแก้ตัว หากเราแก้ตัว มันก็จะเกี่ยวข้องกับท่านโหว จากนั้นก็เกี่ยวข้องกับคุณชายห้า แล้วยังมีเรื่องของหลิ่วฮุ่ยฟัง ท่านซุนโหวผู้เฒ่า ล้วนแต่เป็นเรื่องที่ทำให้ผู้คนวิพากษ์วิจารณ์ เกรงว่ามันจะทำให้ตุลาการแพร่ข่าวลือออกมามากกว่าเรื่องที่ท่านโหวมีบุตรนอกสมรสเสียอีก หากเราทำให้ข่าวลือสงบลงได้ ก็เกรงว่าฮ่องเต้จะคิดว่าสกุลสวีมีอำนาจมากเกินไป แต่หากเราทำให้ข่าวลือสงบลงไม่ได้ ก็เกรงว่าสกุลโอวจะมีท่าที่เย่อหยิ่งกว่าเดิม หาเรื่องทำร้ายสกุลสวีของเรามากขึ้นกว่าเดิม”
“หากเรายอมรับเด็กคนนี้ หนึ่งคือเราสามารถปิดปากของราษฎรได้ สองคือเราสามารถเดาใจของฮ่องเต้ หากฮ่องเต้อยู่ข้างเรา ไม่ว่าตุลาการจะใส้ร้ายเราแค่ไหนก็ทำอะไรเราไม่ได้ แต่หากฮ่องเต้ไม่อยู่ข้างเรา เขาถือโอกาสนี้ทำให้เราลำบากใจ…” นางหยุดพูดแล้วเหลือบมองสวีลิ่งอี๋ “เราจะได้เตรียมตัวตั้งแต่เนิ่นๆ…เพราะว่าสกุลโอวอยู่ฝูเจี้ยน แล้วยังมีสกุลหวัง…เราจะนั่งรอความตายไม่ได้ ทำให้ตัวเองตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนั้นไม่ได้”
สืออีเหนียงได้ยินเช่นนี้ก็ใจเต้น นางหันไปมองสวีลิ่งอี๋
แต่กลับเห็นเขาก้มหน้าอย่างไร้ซึ่งอารมณ์ใดๆ มองสีหน้าของเขาไม่ออก
นางมองไปที่ไท่ฮูหยินอีกครั้ง
ไท่ฮูหยินเม้มริมฝีปากแน่น สีหน้าของนางซีดเซียวยิ่งกว่าเดิม
ในห้องบรรยากาศตึงเครียด
“พี่สะใภ้สองพูดถูกขอรับ” เงียบไปครู่หนึ่ง สวีลิ่งอี๋เงยหน้าขึ้นมองฮูหยินสอง “รอให้ข้าคิดไตร่ตรองดูก่อน” เขายิ้ม “พี่สะใภ้สองพึ่งกลับมาจากซีชาน คงยังไม่ได้ทานข้าวเที่ยงใช่หรือไม่ พวกเราเองก็รอสืออีเหนียงกลับมาจากพระราชวัง ยังไม่ได้ทานเหมือนกัน ทุกคนคงจะหิวกันแล้ว สืออีเหนียง เจ้าบอกให้สาวใช้ยกอาหารเข้ามาเถิด” เขาทำท่าทีเหมือนไม่อยากพูดเรื่องนี้อีก
เสียงที่อ่อนโยนของเขาทำให้บรรยากาศในห้องผ่อนคลายลง
สืออีเหนียงย่อเข่าคำนับ เรียกสาวใช้ยกอาหารเข้ามา นางได้ยินเสียงหัวเราะของฮูหยินสองดังมาจากข้างหลัง “ท่านโหวรอบคอบมากเจ้าค่ะ ข้าหิวแล้วจริงๆ”
*****
กลับมาที่เรือน สืออีเหนียงรับใช้สวีลิ่งอี๋เปลี่ยนเสื้อผ้าเงียบๆ
“เป็นอะไร ไม่พูดไม่จา” สวีลิ่งอี๋ลูบหัวนาง
สืออีเหนียงรู้สึกสับสนอยู่ จึงไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรดี
“กลัวหรือ” สวีลิ่งอี๋มองไปที่นางด้วยสายตาที่ลึกซึ้ง
สืออีเหนียงพยักหน้า ไม่ได้กลัว แต่กังวลมากกว่า…สักพักนางก็ส่ายหน้า จะบอกว่าไม่กลัวก็ไม่ใช่ เพราะเมื่อครู่ตอนทานข้าว ตนมือสั่นอยู่ตลอด…จึงพยักหน้าอีกครั้ง
สวีลิ่งอี๋หัวเราะ
ดึงนางเข้ามากอดไว้ในอ้อมแขน
“ไม่ต้องกลัว ข้ารู้ดี” เขารู้สึกว่าตัวเองปลอบใจนางแปลกๆ จึงพูดอีกว่า “พี่สะใภ้สองพูดถูก แต่ไม่ได้ถูกทั้งหมด หากฮ่องเต้ไม่อยู่ข้างเรา เรื่องต่างๆ ก็จะยุ่งยาก แต่หากทำเหมือนที่พี่สะใภ้สองบอก มันก็เสี่ยงเกินไป วิธีที่ดีที่สุดก็คือหาทางให้ฮ่องเต้ทรงอยู่ข้างเรา…”
สืออีเหนียงมองสวีลิ่งอี๋ด้วยความตกใจ
เรื่องนี้พูดง่าย แต่มันไม่ใช่เรื่องง่าย ไม่เช่นนั้น จะมีคำพูดที่ว่า ‘เสร็จนาฆ่าโคถึก เสร็จศึกฆ่าขุนพล[1]’ ได้เช่นไร!
“จะว่าไปแล้ว ฮ่องเต้ไม่อยากให้สกุลสวีมีอำนาจมากเกินไป” เขาพูดเบาลง “หากเราสามารถทำให้ฮ่องเต้เลิกหวาดกลัวเรื่องนี้ไปได้ เราก็จะเอาชนะการโจมตีของสกุลโอวได้” สีหน้าของเขาเคร่งขรึม “คำพูดของพี่สะใภ้สองเตือนข้า ฮ่องเต้กลัวขุนนางที่มีความสามารถ ไม่ว่าจะทำอะไรย่อมได้เปรียบเป็นที่สุด และวางใจขุนนางบริสุทธิ์ที่ทำตามกฎเกณฑ์เป็นที่สุด จะว่าไปแล้ว ถึงแม้ว่าสกุลโอวจะทำให้เราสะดุดล้ม แต่พวกเขาก็ให้โอกาสเราได้แสดงความสามารถ”
“ท่านโหวหมายความว่า…” แค่ช่วงเช้า เกิดเรื่องอะไรขึ้นตั้งมากมาย สืออีเหนียงกังวล นางยังคงตกใจอยู่กับคำพูดของฮูหยินสอง สมองของนางหยุดชะงักชั่วคราว
สวีลิ่งอี๋ยิ้มอย่างแผ่วเบา “เหมือนกับที่พี่สะใภ้สองพูด หากเราแก้ตัวเรื่องเด็กต่อหน้าทุกคน หรือว่าใช้ความสัมพันธ์ที่เรามีมาหลายปีในการหยุดข่าวลือ มันจะทำให้ฮ่องเต้ไม่วางพระทัย ในทางกลับกัน หากเราไม่ทำอะไร สกุลโอวอาจจะคิดว่าเราแข็งแกร่งขึ้น แล้วทำการเคลื่อนไหวครั้งใหญ่ขึ้นอีก ฮ่องเต้ทรงกลัวว่าสกุลสวีจะยิ่งใหญ่ เขาจะปล่อยให้สกุลโอวทำสำเร็จได้เช่นไร เพื่อรักษาความสัมพันธ์ที่สมดุลนี้เอาไว้ เขาจะต้องอยู่ข้างเราแน่นอน” พูดจบ เขาก็หรี่ตาลงแล้วยิ้มอย่างเย็นชา “หากเราจัดการเรื่องนี้ได้อย่างเรียบร้อย บางทีเราอาจจะไม่ต้องลำบากอีกต่อไป…”
——————–
[1]เสร็จนาฆ่าโคถึก เสร็จศึกฆ่าขุนพล สำนวนหมายถึง สิ่งที่ทำประโยชน์ให้กับตัวมาเก่าก่อน พอหมดประโยชน์ไม่จำเป็นต้องใช้ก็ไม่ดูแลซ้ำผลักไส สิ่งที่เคยทำมาก็หมดความหมาย